ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 136 ปีศาจอสูรครึ่งมังกร
“พี่ใหญ่ ท่านรู้จักเขา?” หญิงสาวร่างอรชรพลันถามออกไปหนึ่งประโยค
“คนผู้นี้เป็นหนึ่งในสิบของศิษย์นิกายปีศาจที่เข้ามาในแดนลึกลับนี้ เพราะบนตัวมีกลิ่นไอของปีศาจ ดังนั้นข้าจึงจำเขาได้”
เงาดำนี้ก็คือผู้ที่ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นตั้งแต่เข้ามาในแดนลึกลับ เขาผู้นั้นก็คือ ‘สือชวน’
แต่ไม่รู้ว่าสีหน้าเขาในตอนนี้ซีดกว่าแต่ก่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะเดียวกันสายตาที่มองมาทางสองพี่น้องตระกูลหลานก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูแปลกประหลาด
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์นิกายปีศาจ เขาเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร หรือว่าแอบตามพวกเรามา! ช่างเถอะ! ไม่ว่าเขาจะตามเรามา หรือเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม พวกเราก็ไม่อาจให้เขาออกไปจากที่นี่ได้” หญิงสาวร่างอรชรจ้องมองสือชวนที่ยังคงไม่กล่าวอะไรออกมาสักคำ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย
“ถึงแม้น้องเล็กจะไม่พูด ข้าก็ไม่ยอมให้เขามีชีวิตต่อไปเช่นกัน” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรหัวเราะกล่าวออกมา เขาตวัดดาบในมือก่อนที่จะมีแสงดาบยาวสามสี่จั้งม้วนตัวออกไปยังด้านหน้าของสือชวนอย่างรวดเร็ว และเกือบจะฟันเขาออกเป็นสองส่วน
เสียงดัง “เพล้ง!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของสือชวนยังคงไม่เปลี่ยน แต่ขยับแขนใช้มือข้างหนึ่งคว้าแสงดาบไว้และขยี้จนแตกกระจาย
ฉากนี้ทำให้สีหน้าของสองพี่น้องตระกูลหลานเปลี่ยนไปทันที
ขณะนั้นเอง สือชวนก็ได้แบฝ่ามือไปยังทั้งสองด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย และยังกล่าวออกมาอย่างคลุมเครือ
“เอา…มา…”
“เอาอะไรมา?” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรกล่าวด้วยสีหน้าที่หนักอึ้ง
“ที่เจ้า…เอาไป…เมื่อครู่…” สือชวนยังคงกล่าวอย่างคลุมเครือ
“เจ้าพูดถึงคราบมังกรชิ้นนั้น!” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรจ้องมองด้วยแววตาดุร้าย
“ไม่ให้…ข้าจะกิน…พวกเจ้า!” น้ำเสียงของสือชวนไม่มีความปราณีเลยแม้แต่น้อย แต่รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป
“กินพวกข้า! เจ้าเห็นข้าสองพี่น้องเป็นอะไร คิดจริงๆ หรือว่าความสามารถที่แสดงออกมาเมื่อครู่นี้จะสามารถหลอกพวกข้าได้” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรโมโหขึ้นมาเป็นอย่างมาก เมื่อเขาตบไปยังถุงหนังบนเอวก็มีเสียงน้ำดังขึ้นมา น้ำทะเลสีฟ้าจำนวนหนึ่งพุ่งออกมาจากในนั้น ครู่เดียวมันก็ม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นโอบล้อมเขาไว้
ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรปรากฏตัวขึ้นจากน้ำทะเลในทันที เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วอักขระสีน้ำเงินแต่ละตัวก็ปรากฏออกมาเต็มร่างเขา ขณะเดียวกันเท้าทั้งสองก็พร่ามัวกลายเป็นหางปลาสีเขียวอ่อนที่มีขนาดใหญ่
“พี่ใหญ่ระวังหน่อย คนผู้นี้ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติ!” หญิงสาวร่างอรชรก็ตบถุงหนังเรียกน้ำทะเลออกมาจำนวนมากเช่นกัน ก่อนที่จะคืนร่างที่แท้จริงของเผ่าเจ้าสมุทร และขมวดคิ้วกล่าว
“วางใจเถอะ! ก็แค่มนุษย์ที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณคนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้จะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่เมื่อข้าคืนร่างเดิมแล้วก็สามารถฆ่าเขาได้ง่ายราวกับยกฝ่าเท้า!” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรกล่าวด้วยสีหน้าที่โหดเหี้ยม จากนั้นก็ปักดาบยาววาววับไว้บนน้ำทะเลด้านหน้า และค่อยๆ กางแขนทั้งสองโอบไปที่สือชวน
หลังจากมีเสียงดัง “หวึ่ง!” บริเวณที่สือชวนอยู่ พลังอันน่ากลัวก็พุ่งออกมามหาศาล ขณะเดียวกันก็มีแรงบีบพุ่งเข้าไปที่เอว และมันกะจะบีบให้เขาเละเป็นน้ำ
แต่เมื่อเผชิญกับพลังบีบแน่นเช่นนี้ สีหน้าของสือชวนก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เพียงแค่มีเสียงดัง “ฟู่!” ออกมา เปลวไฟอันคุโชนก็ปรากฏขึ้น ขณะเดียวกันเส้นผมสีดำก็กลายเป็นสีแดงทั้งหัวภายในพริบตาเดียว และมันตั้งชันขึ้นมาราวกับเปลวเพลิง กลิ่นไอบนตัวเขาก็แลดูแปลกประหลาดมากขึ้น
ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารวบรวมพลังเวทย์ภายในร่างกายแล้วเริ่มร่ายคาถาออกมา
ตรงอากาศบริเวณรอบๆ สือชวนก็ดังขึ้นมาหวึ่งๆ ขึ้นมา บางแห่งก็เริ่มบิดเบี้ยวและพร่ามัว
แต่สือชวนที่อยู่ท่ามกลางเปลวไฟทำราวกับมองไม่เห็นสิ่งนี้ แต่ดวงตาของเขาเริ่มเรียวรี และมีประกายแสงสีแดงออกมาจางๆ
“ไม่เอา…ออกมา งั้นข้าก็จะ…กินให้หมด!” สือชวนพูดพึมพำสองประโยค ฉับพลันไฟบนตัวก็คุโชนขึ้นมา ร่างของเขาลางเลือนหายไปจากพลังบีบแน่นมหาศาล
ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรรู้สึกแค่ว่าเปลวไฟม้วนตัวในฉับพลัน จากนั้นก็รู้สึกร้อนตรงหน้าอก แขนแหลมคมที่เต็มไปด้วยเกล็ดเจาะทะลุเข้าไปตรงหน้าอก ม่านแสงสีน้ำเงินที่ปกคลุมร่างเขาอยู่ไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย
“อ๊ากกก!”
ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรร้องออกมาอย่างเวทนา เขารู้สึกได้ทันทีว่าพลังเวทย์หายไปหมดทั้งตัว และสือชวนที่โผล่ออกมาตรงหน้าภายในพริบตาก็กลายเป็นอสูรครึ่งคนครึ่งมังกรแลดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก
ใบหน้าของเขายังดูเป็นมนุษย์ปกติ แต่กลับมีเขามังกรยาวหลายชุ่นคู่หนึ่งปรากฏอยู่ท่ามกลางเส้นผมสีแดง ขณะเดียวกันร่างกายกว่าครึ่งหนึ่งล้วนเต็มไปด้วยเกล็ดสีแดง มือทั้งสองก็กลายเป็นกรงเล็บมังกรอันแหลมคม
“ไม่ เจ้า…เจ้าคือมังกรแดงตนนั้น ทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนเป็นแบบนี้ได้…” หญิงร่างอรชรที่เดิมทีคิดที่จะไปช่วยพี่ชายด้วยความตกใจ แต่หลังจากดูลักษณะของสือชวนอย่างละเอียดแล้ว ก็ต้องหลุดปากออกมาด้วยความตกใจ และถอยหลังออกไปสองก้าว จากนั้นก็กัดฟันหมุนตัวกลายร่างเป็นกลุ่มแสงสีขาวพุ่งหนีออกไปตรงทางเข้า
ประจักษ์ชัดว่าพี่ชายของนางได้รับบาดเจ็บจนไม่มีโอกาสรอดแล้ว และนางแค่คนเดียวไม่อาจรับมือกับปีศาจอสูรครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรได้
สือชวนที่กลายเป็นปีศาจอสูรมังกรนั้น ใบหน้าของเขาไร้ความรู้สึกใดๆ กรงเล็บที่ปักเข้าไปในเนื้อเพียงแค่กระตุกทีเดียว ก็มีเสียงดัง “พรึ่บ!” คลื่นเปลวเพลิงพุ่งออกมาจากบนนั้น พริบตาเดียวร่างไร้พลังของชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรก็จมหายเข้าไปในนั้นก่อนที่จะกลายเป็นศพที่ไหม้เกรียม จากนั้นร่างของสือชวนก็เคลื่อนไหวแล้วหายไปท่ามกลางกลางแสงสีแดงจางๆ
หญิงสาวร่างอรชรเคลื่อนไหวไม่กี่ที่ก็มองเห็นปากทางเข้าและกำลังจะพุ่งไปยังทางเดินนั้น แต่พลันมีเสียงระเบิดดังขึ้น ก่อนที่เงาร่างจางๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า ‘สือชวน’ ปรากฏตัวออกมาราวกับปีศาจ และยืนขวางปากทางไว้
สีหน้าของหญิงสาวซีดขาวจนยากจะหาที่เปรียบได้ แต่หลังจากที่หยุดนิ่งไปพักหนึ่ง นางก็ตีลังกาลอยถอยไปสิบกว่าจั้งภายในพริบตาเดียว จากนั้นก็มีเสียงขยี้ยันต์จนแตกดังออกมาติดต่อกัน ม่านแสงหลากสีหลายชั้นปรากฏออกมา และน้ำทะเลที่ตามอยู่ด้านหลังก็หมุนวนล้อมตัวนางไว้
“ของที่เจ้าอยากได้อยู่บนตัวพี่ชายข้า ผู้อาวุโสเองก็เห็นแล้วว่าพวกเราสองคนพี่น้องไม่ใช่มนุษย์ ท่านจะปล่อยข้าไปได้หรือไม่!” หญิงสาวร่างอรชรจ้องมองสือชวน แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ผู้ที่เข้ามา…ที่นี่…ตาย” แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายขึ้นในดวงตารียาวของสือชวน เขากล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
หญิงสาวได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกว่าความโชคดีไม่มีอีกต่อไปแล้ว นางกัดฟันโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากที่แผดเสียงออกมา ก็มียันต์สีฟ้าอ่อนดีดตัวออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นมือทั้งสองก็ทำท่ามืออยู่ไม่หยุด
เสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!”
พอยันต์ทั้งสองผืนลอยออกไปก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีฟ้าระเบิดออกมา อสรพิษวารีสีฟ้าอ่อนสองตัวกระโจนออกมาจากในนั้น มันโจมตีเข้าใส่สือชวนอย่างโหดเหี้ยม
ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังสนั่นดังขึ้นจากน้ำทะเลตรงหน้าหญิงสาว เส้นสีขาวจำนวนมากพุ่งออกไปข้างหน้า
เผชิญหน้ากับการโจมตีอันโหดเหี้ยมเช่นนี้ หน้าของสือชวนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เขาแค่ค่อยๆ อ้าปากกว้างก็มีเสียงคำรามที่ดูไม่เหมือนเสียงคนดังออกมา เปลวไฟบนตัวเขาก็พวยพุ่งขึ้นมาด้วย จากนั้นก็กลายเป็นหัวมังกรแดงที่มีขนาดเท่าบ้านหลังหนึ่ง และมันก็อ้าปากอัปลักษณ์งับอสรพิษวารีทั้งสองตัวและกลืนกินลงไป
ส่วนเส้นสีขาวที่โจมตีตามมาทีหลัง ก็ถูกหัวมังกรเป่าพายุสีแดงอันบ้าระห่ำออกมาทำลายจนแตกละเอียด
หญิงร่างอรชรเห็นเช่นนี้ ใจของนางก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที
และสือชวนกลับแสยะยิ้มออกมา และก้าวยาวๆ ไปหาหญิงสาวในทันที
……
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ศพไหม้เกรียมสองศพที่ถูกกัดแทะไปบางส่วนก็นอนนิ่งอยู่ในถ้ำอย่างเงียบๆ ไม่เพียงแต่สิ่งของบนตัวทั้งหมดจะถูกค้นเอาไปจนหมดสิ้นเท่านั้น สือฉวนที่กลายเป็นปีศาจอสูรครึ่งมังกรก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ศิษย์สองคนที่ถูกเผ่าเจ้าสมุทรพยายามหาวิธีการส่งมายังดักซุ่มอยู่ในนิกายของมนุษย์ กลับเสียชีวิตอยู่ในถ้ำที่ไร้นามแห่งนี้
จุดจบเช่นนี้ คาดว่าคงเป็นเรื่องที่สองพี่น้องคู่นี้คาดไม่ถึงมาก่อน
……
ตรงถ้ำใต้ดินที่เหลยเจิ้นเสียชีวิตในตอนนั้น สิ่งที่ดูคล้ายหัวใจที่มีอักขระสีเงินจำนวนมากปกคลุมไปทั่ว ตอนนี้มันมีขนาดประมาณอ่างล้างหน้าแล้ว ในขณะที่มันยืดหดตัวก็พ่นไหมสีเงินออกมามากกว่าเดิมหลายเท่า ตอนนี้มันแน่ขนัดเต็มทุกพื้นที่ของถ้ำแล้ว
ถ้าหากมีคนติดตามไหมสีเงินเหล่านี้ที่ซอนไชลึกลงไปใต้พื้นดิน จะพบว่าทุกระยะห่างของไหมแต่ละเส้นจะแตกออกมาเป็นสองสามเส้น และยังยืดขยายออกไปทั่วทุกทิศทาง
……
ในถ้ำแคบยาวอีกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงกลางเขายักษ์ ศิษย์หอสายธารโลหิตหน้าตาอัปลักษณ์ผู้หนึ่งกำลังเก็บบุปผาจิตวิญญาณแปลกประหลาดสีสันสวยงามที่ขึ้นเต็มอยู่ทั้งสองข้างผนังถ้ำด้วยความตื่นเต้น
แต่เมื่อเขาจับบุปผาจิตวิญญาณต้นหนึ่งไว้ และคิดจะที่ดึงมันขึ้นมาพร้อมกับรากนั้น กลับไม่สามารถดึงขึ้นมาได้
ศิษย์หอสายธารโลหิตผู้นี้อุทานออกมาด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็ต้องออกแรงดึงให้มากขึ้นถึงสามารถดึงมันออกมาพร้อมกับรากได้ แต่หลังจากที่จ้องดูอย่างละเอียดเขาก็รู้สึกอึ้งในทันที
รากของบุปผาจิตวิญญาณต้นนี้มีไหมละเอียดสีเงินจางๆ พันอยู่อย่างแน่นหนา และปลายของมันอีกฝั่งยังคงเชื่อมอยู่กับผนังถ้ำ
“หรือว่าข้าจะค้นพบวัตถุจิตวิญญาณอีกอย่างหนึ่ง!” ตอนแรกศิษย์หอสายธารโลหิตก็รู้สึกอึ้ง แต่ต่อมาก็คิดด้วยความดีใจ
ขณะที่เขากำลังคิดที่จะตรวจสอบไหมสีขาวนั้น พลันมีเสียงดัง “ซิ้ว!” “ซิ้ว!” ดังมาจากผนังถ้ำ ไหมเงินสิบกว่าเส้นพุ่งยิงออกมาโดยไม่บอกล่วงหน้า
ภายใต้ระยะกระชั้นชิดนี้ ศิษย์หอสายธารโลหิตไม่สามารถทำการป้องกันใดๆ ได้ ไหมเงินเจาะเข้าไปในร่างของเขา จนเขาต้องร้องออกมาอย่างน่าเวทนา อึดใจเดียวเลือดเนื้อทั้งตัวก็ถูกไหมเงินนี้ดูดไปจนหมดสิ้น ทำให้เขากลายเป็นซากศพๆ แห้งที่ปราศจากชีวิต
หลังจากที่ไหมเงินเคลื่อนไหวเล็กน้อยมันก็หายเข้าไปในผนังถ้ำโดยไร้สุ้มเสียง
ถ้ำใต้ดินอีกแห่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล อสรพิษยักษ์สีเหลืองหลายตัวที่มีขนาดยาวสี่ห้าจั้งก็กลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยวนอนตายอยู่ในรังของตนเอง โดยไม่มีการขยับเขยื้อนใดๆ
สถานการณ์เช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นทั่วทุกพื้นบริเวณกลางเขา
……………………………………….