ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 137 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
บนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงชันและอันตราย หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์เสียบกระบี่ยาวหิมะขาวลงไปในฝัก และหยิบโอสถจิตวิญญาณมาทานลงไป จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเพื่อเข้าฌาน
บนพื้นที่ห่างจากหินก้อนใหญ่ไปไม่ไกล กลับมีศพวิหคยักษ์สีดำยาวสามจั้งถูกฟันเป็นสองส่วนวางอยู่ที่นั่น ขนเหล็กสีดำของมันหายไปบางส่วน ร่างของมันเต็มไปด้วยบาดแผล และยังมีเลือดไหลทะลักออกมาอยู่ไม่หยุด
หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด สีหน้าหญิงสาวถึงได้ฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีเสียงดังลั่นมาจากด้านล่างของยอดเขา หมอกโลหิตพวยพุ่งลอยขึ้นมา
เสียงดัง “เพล้ง!”
เซวี่ยชื่อโผล่ออกมาจากหมอกโลหิตด้วยท่าทีกระเซอะกระเซิง เขาเดินโซเซจนเกือบจะล้มลงไปบนพื้นตรงบริเวณหินก้อนใหญ่
หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ลืมตาสวยงามทั้งคู่ขึ้น แต่พอกวาดสายตามองดูชายชุดคลุมสีเลือดแล้วก็ถามออกไปอย่างราบเรียบ
“ดูจากสภาพของเจ้า คงจะจัดการเหยี่ยวขนเหล็กอีกตนได้แล้วใช่ไหม”
“ใช่ ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว มิเช่นนั้นข้าคงไม่อาจรอดกลับมาได้” เซวี่ยชื่อตั้งหลักยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็จ้องมองหญิงสาวก่อนที่จะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดุเดือด
ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้วดูเหมือนว่าหญิงสาวผู้นี้จะสร้างความลำบากให้เขาเป็นอย่างมาก
“ฮึ! ถ้าไม่ใช่ว่าข้าโจมตีเหยี่ยวขนเหล็กตนนั้นจนบาดเจ็บสาหัส แล้วค่อยให้เจ้าล่อมันออกไป เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าจะรับมือวิหคจิตวิญญาณที่มีพลังเทียบเท่ากับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบได้!” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“ถึงแม้เจ้าจะใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อก็ควรจะบอกข้าก่อนไหม” เซวี่ยยังคงถามด้วยความโมโห
“ถามหน่อย? ถ้าข้าบอกแผนเจ้าก่อนจริงๆ เจ้าจะยอมไปล่อวิหคปีศาจตนนั้นแต่โดยดีหรือ? พอถึงตอนนั้นสิ่งที่เป็นได้มากที่สุดก็คือเจ้านั่งมองข้าต่อสู้กับเหยี่ยวขนเหล็กสองตัวด้วยความตื่นเต้นดีใจ” หญิงสาวตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
“ทั้งหมดนี่เป็นแค่สิ่งที่เจ้าคาดเดาขึ้นมาเท่านั้น เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะทำเรื่องแบบนี้!” เซวี่ยชื่อได้ยินก็โมโหขึ้นกว่าเดิม
“ต่อให้จะเป็นแค่การคาดเดาของข้าแล้วจะทำไม หรือว่าตอนนี้เจ้าจะแตกคอกับข้า!” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์หรี่ตาทั้งสอง แล้วกล่าวด้วยสายตาที่เปล่งประกายแสงเย็นสะท้าน
ชายชุดคลุมสีเลือดได้ยินเช่นนี้ก็หน้าเขียวปัดขึ้นมาทันที เขาจ้องมองหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนกล่าวออกไป
“ได้…รื่องนี้ให้จบลงแค่นี้ พวกเราแบ่งไข่เหยี่ยวขนเหล็กกันค่อยเถอะ!”
“ควรจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ไปกันเถอะ!” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์หัวเราะอย่างเยือกเย็น จากนั้นนางก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว แล้วเหาะไปยังต้นไม้ใหญ่สูงสี่สิบกว่าจั้งที่อยู่ไม่ไกลออกไป
บนต้นไม้ใหญ่นั้นมีรังนกขนาดใหญ่สองรังที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวหลายจั้งตั้งอยู่ติดๆ กัน มันถูกสร้างขึ้นมาจากกิ่งไม้แห้ง
เซวี่ยชื่อเห็นเช่นนี้ก็รีบกระตุ้นหมอกโลหิตออกมาปกคลุมร่างแล้วตามออกไป
รังนกรังหนึ่งมีไข่สีเทาขนาดเท่าลูกแตงโมวางอยู่สองใบ อีกรังหนึ่งมีแค่ใบเดียวเท่านั้น
“ไม่คาดคิดว่าจะมีสามใบจริงๆ! อย่างนี้ก็ดีจะได้ไม่เป็นปากเป็นเสียงกัน” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์เห็นเช่นนี้ก็กล่าวพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบผ้าย่อส่วนออกมาโดยไม่พูดอะไรมาก นางเก็บไข่ไว้ในห่อผ้านั้นแล้วก็ลอยจากไปโดยไม่สนใจใยดีเซวี่ยชื่อเลย
เซวี่ยชื่อจ้องมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่จากไปโดยไม่คิดที่จะเอ่ยปากห้ามปรามเลยแม้แต่น้อย จนเมื่อหญิงสาวลอยลับไปจากยอดเขาแล้ว เขาถึงคำรามเสียงออกมาด้วยความอาฆาตแค้น จากนั้นก็หยิบเอาไข่ที่เหลือใบนั้นไป
ผ่านไปสักครู่ หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ที่กำลังขี่เมฆเทาลอยลงไปด้านล่างพลันกล่าวขึ้นมาอย่างราบเรียบ
“เจ้าแน่ใจนะ คนผู้นี้อันตรายเป็นอย่างมาก ถ้าข้าไว้ชีวิตเขา ข้าคงจะต้องจ่ายค่าตอบแทนป็นจำนวนมาก?”
“ความแข็งแกร่งของหอสายธารโลหิตเป็นรองแค่นิกายจันทราสวรรค์เท่านั้น เซวี่ยชื่อเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ของหอสายธารโลหิตในรุ่นนี้ ทำไมถึงแสดงความสามารถออกมาแค่นี้ล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งของเจ้ามีอานุภาพที่น่าตกใจล่ะก็ เกรงว่าเขาคงจะคิดหาทางจัดการกับเจ้าแล้ว”
เสียงเพิ่งจะสิ้นสุด ถุงหนังใบหนึ่งที่อยู่บนเอวของหญิงสาวก็เคลื่อนไหว แสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากในนั้น หลังจากมันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นนกแก้วหลากสีสันตัวหนึ่ง หลังจากที่มันเกาะลงบนไหล่ของนางแล้ว ก็วางมาดอาวุโสพูดภาษามนุษย์ออกมา
“แต่ครั้งนี้เจ้าได้ไข่เหยี่ยวขนเหล็กสองใบก็นับว่าได้รับผลประโยชน์มามากแล้ว ภายใต้ความช่วยเหลือของข้า สามารถฟักมันออกมาและเลี้ยงเป็นวิหคจิตวิญญาณได้ไม่ช้าก็เร็ว พอถึงเวลานั้นเจ้ามีพวกมันคอยช่วยเหลือ ประกอบกับวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งของเจ้า เชื่อว่าในแผ่นดินอวิ๋นชวนนี้ ต่อไปคงจะหาคู่ต่อสู้รุ่นเดียวกันได้ยาก เลี้ยงเหยี่ยวขนเหล็กพร้อมกันสองตนก็นับว่าเป็นเรื่องที่ถึงขีดจำกัดแล้ว ต่อให้เอามาเพิ่มอีกใบก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ใยต้องเสี่ยงอันตรายด้วยเล่า”
“ดี ถ้าอย่างนั้นเรื่องไข่จิตวิญญาณข้ามอบให้เจ้าจัดการ คิดว่าเจ้าคงไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ได้ยินก็พยักหน้า แล้วก็กระตุ้นเมฆเทาให้เหาะลงไปยังหน้าผาสูงชะโงกเงื้อมแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล
ที่นั่นมีต้นไม้สีเขียวแก่แลดูแปลกประหลาดอยู่ต้นหนึ่ง บนนั้นมีผลไม้อมน้ำสีแดงม่วงที่ดูคล้ายกับกับองุ่น
เมื่อหญิงสาวเหาะมาถึงด้านหน้าของมัน นางก็ใช้มือที่สวยราวกับหยกเด็ดผลไม้อมน้ำออกมาพวงหนึ่ง
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “ซิ้วๆ!” ไหมสีเงินจำนวนมากพุ่งออกมาจากผนังโดยไม่ได้บอกล้วงหน้า
สร้างความตื่นตระหนกตกใจให้กับหญิงสาวเป็นอย่างมาก แต่กระบี่ยาวหิมะขาวบนหลังก็พุ่งออกมา คมกระบี่ถูกดึงออกมาหลายชุ่น ขณะเดียวกันแสงสีขาวเย็นสะท้านก็ม้วนตัวออกมาด้วย
เสียงดัง “เพล้ง!”
แสงเย็นสะท้านปะทะเข้ากับไหมเงิน จนทำให้หญิงสาวต้องถอยออกไปหลายจั้ง นางตะโกนเรียกกระบี่หิมะขาวออกมาถือไว้ในมือด้วยความโมโห
และในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงดังสนั่นดังมาจากผนังหิน ไหมเงินพุ่งยิงออกมามากกว่าเดิม
หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ตวัดกระบี่ยาวในมือ ภายใต้แสงเย็นสะท้านอันน่าครั้นคร้าม มันกลายเป็นม่านกระบี่สี่ห้าชั้นปกป้องอยู่ด้านหน้าของนาง
เสียงดังออกมาติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ม่านกระบี่แต่ละชั้นถูกไหมเงินเจาะทะลุเข้ามาได้ ทำให้นางสั่นกระเทือนจนต้องล่าถอยออกไป
พริบตาเดียวนางก็ถอยออกไปได้หลายก้าว และม่านกระบี่สี่ห้าชั้นก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น
หญิงสาวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ นางก็เลิกคิ้วทั้งสองขึ้นแล้วนำกระบี่มาตั้งขวางไว้ตรงหน้า หลังจากที่สูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปก็คิดที่จะแสดงวิชากระบี่ที่แท้จริงเพื่อรับมือกับไหมเงินเหล่านี้
แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “เพล้ง!” ออกมามาจากผนังหิน และหินทั้งหมดก็แตกกระจายออกมา จากนั้นไหมเงินจำนวนนับพันเส้นพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง มันกลายเป็นหนามสีเงินจำนวนมากพุ่งยิงไปหาหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยหนามสีเงินไปชั่วขณะหนึ่ง มันดูราวกับว่าเป็นพายุฝนสีเงิน
“แย่แล้ว รีบหนี! ของสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถรับมือกับมันได้!” พอนกแก้วสีสันสวยงามเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็กระพือปีกตะโกนขึ้นมา
“ข้ารู้แล้ว!” หญิงสาวตอบรับด้วยใบหน้าซีดขาว และกลิ่นไอบนตัวนางก็พุ่งขึ้นในทันที จากนั้นก็กลายเป็นแสงกระบี่พุ่งถอยออกไป เพียงแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ที่ก็หนีออกไปได้ไกลร้อยกว่าจั้ง
และไหมเงินเหล่านั้นตามติดออกมาได้สี่ห้าสิบจั้งก็ม้วนตัวกลับไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
ขณะนี้หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ถึงได้แหงนหน้ามองขึ้นไปบนยอดเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว
แต่ครู่ต่อมา พลันก็มีเสียงร้องของอสูรต่างๆ ดังขึ้นเป็นระลอกๆ!
สถานที่ที่หญิงสาวมองออกไป มีปีศาจอสูรน้อยใหญ่ก็วิ่งออกมาจากถ้ำเร้นลับต่างๆ อย่างบ้าคลั่ง ในนั้นมีอสรพิษยักษ์ที่มีขนาดยาวหลายจั้ง และก็มีปีศาจหนูที่มีขนาดใหญ่ไม่เกินกำปั้น
และชั่วพริบตาที่ปีศาจอสูรเหล่านี้กรูกันออกมานั้น พวกมันกว่าครึ่งหนึ่งก็ถูกไหมเงินจำนวนมากเจาะทะลุร่างแล้ว บ้างก็ถูกดึงกลับไปในถ้ำ บางก็กระตุกไม่กี่ครั้งแล้วก็กลายเป็นซากศพแห้งๆ
ปีศาจอสูรที่เหลือวิ่งกรูกันลงไปตีนเขาอย่างบ้าคลั่ง แต่วิ่งออกไปได้ไม่ไกลไหมเงินก็พุ่งเจาะทะลุร่างจนเสียชีวิต
มีเพียงแค่ปีศาจอสูรที่บินได้ไม่กี่ตัวเท่านั้น ที่อาศัยจังหวะช่วงชุลมุนบินออกไปจากยอดเขา และส่งเสียงแปลกประหลาดออกมาในขณะที่บินออกไปไกลๆ
ถึงแม้หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์จะเป็นผู้ที่สงบเยือกเย็นมาโดยตลอด แต่เมื่อได้เจอกับสถานการณ์อันน่าหวาดกลัวนี้ ก็อดที่จะอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้
ขณะที่เขาหันหน้าไปตรงไหล่เพื่อที่จะถามนกแก้ว ทันใดนั้นก็เหมือนกับว่าเขาทั้งลูกก็ค่อยๆ สั่นสะเทือน ตามด้วยเสียงที่ดังสะเทือนเลือนลั่น ยอดเขาทั้งลูกก็เริ่มพังทลายลงมา ก้อนหินกลิ้งลงไปด้านล่างเป็นจำนวนมาก และความวุ่นวายที่เต็มไปด้วยเสียงอันดังสะเทือนเลือนลั่นนี้ ไหมเงินพุ่งออกมาจากทั่วทุกพื้นที่ของยอดเขาเป็นจำนวนมากขึ้นกว่าเดิม และมันก็โบกสะบัดอยู่ไม่หยุด
ครั้งนี้ หญิงสาวก็ไม่คิดที่จะถามอะไรนกแก้วบนไหล่อีกต่อไป นางหมุนตัวกลับอย่างไม่ลังเลแล้วรีบเหาะออกไปจากยอดเขา
บนยอดเขาอื่นๆ ก็มีเหตุการณ์เช่นนี้ค่อยๆ เกิดขึ้น ปีศาจอสูรบินได้และบินไม่ได้ต่างก็กรูกันออกมาจากยอดเขาแต่ละลูก พวกมันวิ่งหนีเอาชีวิตอย่างบ้าคลั่ง
เขาตั้งตระหง่านนี้เป็นเขาขนาดใหญ่ที่เป็นใจกลางของแดนลึกลับ ตอนนี้มันดูมันราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมา
……
หลิ่วหมิงถูกม่านแสงสีเขียวปกคลุมไว้ เขาใช้วิชาทะยานเวหาที่รวดเร็วกว่าปกติหลายเท่า เพื่อคิดที่จะหลบหนีไปทางอากาศอย่างรวดเร็ว
และรอบตัวเขาที่อยู่ไม่ไกล มีวิหคปีศาจหน้าดุร้ายที่ไม่ทราบชื่อสิบกว่าตน พวกมันต่างก็หนีเอาชีวิตรอดกันด้วยกลิ่นคาวอันคละคลุ้ง
ในสถานการณ์ปกติ ถ้าหากวิหคปีศาจเหล่านี้อยู่ใกล้อาหารเช่นนี้ก็ย่อมกระโจนเข้าใส่อย่างไม่ลังเล แต่ตอนนี้แม้แต่หัวก็ไม่หันมามองเลย เอาแต่กระพือปีกอย่างบ้าคลั่ง
อึดใจเดียวหลิ่วหมิงก็เหาะออกมาได้ไกลสิบกว่าลี้ ตอนนี้เขาถึงได้หยุดแสงหลบหลีกด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายขึ้นมา จากนั้นก็หันหน้ามองไปยังเขาขนาดใหญ่ตรงด้านหลัง
ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขาเพิ่งจะค้นพบแร่ล้ำค่าก้อนหนึ่งและขณะที่กำลังคุมเชิงกันอยู่กับปีศาจอสูรตัวนิ่มนั้น ก็มีไหมสีเงินโจมตีออกมาทั่วทุกทิศทาง
พริบตาเดียวปีศาจอสูรตัวนิ่มตนนั้นก็ถูกไหมเงินเจาะทะลุตัวจนหน้าซีดขาว และถูกดูดเลือดเนื้อจนกลายเป็นศพแห้งๆ
และโชคดีที่เขากระตุ้นวิชาเถาวัลย์โลหิตไว้ตั้งแต่แรกแล้ว และยังได้กระตุ้นเกราะอาญาสิทธิ์ออกมา เขาสามารถต้านทานไหมเงินเหล่านี้ได้ทัน ในช่วงเวลาที่ยอดเขาพังทลายลงนั้น เขาใช้ยันต์เทพเคลื่อนไหวหนีออกมาจากยอดเขาได้
……………………………………….