ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 146 สยบปีศาจ
ถึงแม้ว่าการต่อสู้ในก่อนหน้ากับการหลบหนีเมื่อครู่จะทำให้สิ้นเปลืองพลังจิตไปอย่างมาก และศีรษะของเขาก็เริ่มปวดเล็กน้อย แต่เขาก็ยังบังคับจิตให้กวาดมองไปรอบด้านอยู่ไม่หยุด
ความประมาทเลินเล่อในก่อนหน้านี้ ทำให้เขาไม่ได้มองว่าหัวบินตนนั้นใช้วิธีการใดในการหลบซ่อนตัว แต่มันยังคงอยู่ในบริเวณนี้อย่างแน่นอน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาย่อมไม่สามารถวิ่งหนีไปโดยไม่สนใจอะไรไม่ได้ มิเช่นนั้นถ้าเขาวิ่งไปชนกับดักของฝ่ายตรงข้าม อาจจะทำให้เขาไม่มีโอกาสรอดไปได้
ตอนนี้หลิ่วหมิงคาดหวังที่จะให้มีศิษย์นิกายอื่นๆ ผ่านมาเป็นอย่างมาก ขอแค่มีคนเข้ามาพัวพันกับหัวบินตนนี้เพียงเล็กน้อย เขาก็จะสามารถหนีไปได้อย่างสบาย
แต่ความหวังนี้ก็สูญสลายไปหมดสิ้น
พื้นที่บริเวณรอบๆ นี้ อย่าว่าแต่จะมีคนโผล่มาเลย แม้แต่เสียงของวิหคอสูรก็ไม่ได้ยิน มีแค่เสียงลมพัดผ่านต้นไม้เพียงเบาๆ เท่านั้น
หลิ่วหมิงกระทืบเท้าในทันทีก่อนที่ร่างของเขาจะพุ่งขึ้นมา
ในขณะเดียวกัน ก็มีเส้นผมสีดำเกือบร้อยเส้นพุ่งยิงออกมาจากผิวหนังบริเวณลำต้นที่เขาเคยอยู่ และพุ่งไปยังตำแหน่งที่เขายืนอยู่เมื่อครู่
แต่ตอนที่หลิ่วหมิงพุ่งขึ้นฟ้านั้น พลันมีเสียงหัวเราะประหลาดดังขึ้นเหนือศีรษะ ไอดำกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งออกมา หลังจากที่พวกมันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นหัวบินอันอัปลักษณ์ มันเพียงแค่อ้าปากก็เผยให้เห็นปากสีดำขนาดใหญ่ของมัน และพุ่งลงมาเพื่อกัดด้วยสีหน้าที่ดุร้าย
หลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมาก เขาทำท่ามือโดยไม่ลังเล และลูกเปลวไฟจำนวนมากก็พุ่งยิงออกไป
แต่พอมีเสียงดังฟู่ๆ ออกมา ลูกเปลวไฟทั้งหมดเหล่านี้ก็เข้าไปอยู่ในปากของมันแล้ว ไม่คาดคิดว่ามันจะไม่ระเบิดในทันทีแต่กลับมืดดับไป
ในระหว่างนั้นเอง หลิ่วหมิงก็บิดตัวและพุ่งลงมาด้านล่างด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
เสียงดัง “เพล้ง!”
เมื่อหลิ่วหมิงยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว แสงสีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นบนมือเขา และกระบี่สั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว…
ในขณะเดียวกัน โซ่สีเงินบนแขนก็กลายเป็นเงาโบกสะบัดหมุนวนอยู่รอบตัวเขา
ในเมื่อกระบี่จันทราหยกไม่สามารถจัดการหัวบินตนนี้ได้ เขาก็ตัดสินใจเก็บมันเข้าไป เพราะว่าอย่างไรตอนนี้เขาก็สามารถควบคุมอาวุธจิตวิญญาณได้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น
ถึงแม้โซ่ปราบปีศาจเส้นนี้จะไม่ได้ผ่านการเซ่นวิญญาณหลอมสร้างขึ้นมา ทำให้ต้องใช้พลังในการควบคุมเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ต้องลองเสี่ยงดูสักครั้ง
ขณะนี้ หัวบินอ้าปากคำรามและร่อนลงมา ขณะเดียวกันแสงสีดำบนต้นไม้ใหญ่ก็เปล่งประกายออกมา พร้อมกับเส้นผมยาวที่พุ่งยิงออกไปและจมหายเข้าไปในหัวบิน
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือทั้งสองด้วยสีหน้าที่หนักอึ้ง ในบัดดลนั้นลูกเปลวไฟยักษ์สีแดงลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ ขณะเดียวกันโซ่สีเงินบนตัวก็ส่งเสียงดังกังวานออกมา จากนั้นมันก็กลายเป็นเงาโซ่จำนวนมากพุ่งยิงไปยังปากขนาดใหญ่ที่อยู่บนอากาศ
แต่หัวบินบนอากาศกลับหัวเราะแปลกๆ ออกมา ทันใดนั้นมันก็พร่ามัวและแตกตัวเป็นสองส่วน จากนั้นมันก็แตกจากสองส่วนเป็นสี่ส่วน แตกจากสี่ส่วนเป็นแปดส่วน พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นเงาหัวบินเกือบร้อยหัว
ภายใต้การโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งของโซ่สีเงิน มันสามารถทำลายหัวบินไปได้สิบกว่าหัว แต่หัวบินจำนวนที่มากยิ่งกว่ากลับล้อมตัวหลิ่วหมิงจนฟ้ามืดมัวดิน และยังแตกเงาของมันออกมามากขึ้นกว่าเดิม!
หลิ่วหมิงหน้าเขียวขึ้นมาเล็กน้อย ขณะที่ยังคิดไม่ออกว่าจะกำจัดหัวบินอย่างไรนั้น หัวบินทั้งหมดกลับส่ายไปมาก่อนที่จะมีเสียงดังก้องไปทั่วฟ้า!
เส้นผมสีดำจำนวนมากกลายเป็นแสงสีดำพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงจากทั่วทุกสารทิศ
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัดแล้วก็โยนลูกเปลวไฟยักษ์ออกไปในทันที จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ก่อนที่โซ่สีเงินจะโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งแล้วกลายเป็นกำแพงสีเงินจางๆ ล้อมรอบตัวเขาไว้
ครู่ต่อมากำแพงสีเงินก็สั่นสะท้าน และก็มีเสียงระเบิดดังออกมาคล้ายกับเสียงของฝนตกกระทบรั้ว
ร่างหลิ่วหมิงค่อยๆ สั่นสะเทือนจนต้องถอยไปครึ่งก้าวอย่างช่วยไม่ได้ แต่ตาทั้งสองกลับจ้องมองไปยังเงาของหัวบินที่อยู่ตรงทิศทางบางแห่งด้วยตาที่เป็นประกาย ขณะเดียวกันก็ตะโกนคำว่า “ไป” ออกมา
ในบัดดลนั้น ลูกเปลวไฟยักษ์กลางอากาศก็พุ่งไปหาเงาหัวบินตนนั้นในทันที
หัวบินตนนั้นเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวออกมา หลังจากที่มีเสียงดัง “ฟู่” มันก็กลายเป็นไอดำและหายไป
และในขณะเดียวกัน เงาหัวบินที่ลอยวนอยู่เต็มท้องฟ้าก็หายวับไปกับตา
ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกาย เขาชี้ไปยังลูกเปลวไฟยักษ์แล้วตะโกนคำว่า “ระเบิด” ออกมา จากนั้นโซ่สีเงินก็ดีดตัวออกมาก่อนที่จะกลายเป็นแสงสีเงินพุ่งยิงออกไป
เสียงดัง “ตู้ม!”
ลูกเปลวไฟยักษ์ระเบิดตัวออกมากลางอากาศ และกลายเป็นกระสุนไฟขนาดเท่าลูกไข่ไก่หลายสิบลูกก่อนที่จะพุ่งยิงลงมาอย่างหนาแน่น มันปกคลุมพื้นที่รัศมีสิบกว่าจั้ง
เสียงดัง “เพล้ง!”
กระสุนไฟลูกหนึ่งระเบิดตัวออกมาในพื้นที่ที่ดูว่างเปล่า แต่ก็ทำให้หัวบินเผยตัวออกมาด้วยท่าทีที่ซวนเซ
ในขณะนั้นเองแสงสีเงินก็เปล่งประกายขึ้น!
โซ่ปราบปีศาจมาถึงด้านหน้าของมันราวกับรออยู่นานแล้ว จากนั้นมันก็พร่ามัวกลายเป็นเงาจำนวนมากพุ่งลงมารัดพันหัวบินตนนี้ไว้อย่างแน่นหนา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบดึงปลายโซ่ด้วยความดีใจ ภายใต้การตวัดตัวของโซ่ปราบปีศาจ มันสามารถรัดพันหัวบินไว้และดึงเข้ามาด้านหน้าเขาได้
จากนั้นเขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่ลังเล ยันต์สีเหลืองสามผืนปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วมือของเขา เขาเอามันไปแปะบนหน้าผากของหัวบินด้วยความรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
ในช่วงเวลานั้นเอง เรื่องที่คาดไม่ถึงก็บังเกิดขึ้น!
พอหัวบินที่ดูเหมือนจะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เห็นยันต์มาแปะบนหน้าผากของตนเอง มันก็แสยะปากยิ้มพร้อมกับมีเสียงดังออกมา จากนั้นมันก็กลายเป็นไอสีดำและกระโจนไปยังด้านหน้าหลิ่วหมิงอย่างพร่ามัว และหายวับเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิง
เกราะเถาวัลย์บนตัวหลิ่วหมิงชิ้นนั้นก็ดูเหมือนกับว่าไม่สามารถต้านทานหัวปีศาจตนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
ฉากอันรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบนี้ แม้แต่หลิ่วหมิงก็ไม่สามารถตอบสนองได้ทันท่วงที สีหน้าเขาซีดขาวขึ้นมาเมื่อรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น
เรื่องเล่าลือเกี่ยวกับหัวปีศาจที่ชอบกลืนกินจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตผุดขึ้นมาในหัวเขาทันที
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม หลิ่วหมิงก็ไม่อาจงอมืองอเท้ารอความตายได้ เขากัดฟันในฉับพลันแล้วทำท่ามือด้วยมือเดียวอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะใช้พลังเวทย์บีบเอาหัวบินออกมาจากตัว
แต่ในขณะนั้นเอง ทะเลจิตวิญญาณของเขากลับพลันร้อนขึ้นมา จากนั้นก็มีเสียงดัง “ฟู่!” ไอดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากตัวของเขา จากนั้นมันก็หมุนติ้วๆ รวมตัวกันเป็นปีศาจหัวบินอีกครั้ง
แต่ใบหน้าของหัวบินในตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด ตาทั้งสองของมันจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หล่นฟุบลงพื้นด้วยอาการที่สั่นสะท้าน และเอาใบหน้าฝังลึกลงไปในดินพร้อมกับอ้าปากส่งเสียงร้องแหบแห้งออกมาโดยที่ไม่กล้าโงหัวขึ้นมาแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นก็ยิ่งอึ้งหนักกว่าเดิม
แต่หลังจากที่เขาคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว ก็พลันสะบัดแขนเสื้อแล้วยันต์สีเหลืองสามผืนก็พุ่งยิงออกมา
ภายใต้การจ้องมองอย่างเคร่งขรึมของเขา ก็มีเสียง “เพล้ง!” “เพล้ง!” “เพล้ง!” ดังขึ้น และยันต์ทั้งสามผืนก็ระเบิดตัวออกมาเป็นตาข่ายแสงปกคลุมหัวบินไว้
หัวบินกลับยังคงคว่ำหน้าอยู่ด้านล่างและสั่นสะท้านอยู่ไม่หยุด โดยไม่คิดที่จะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจนั้น ก็พลันรู้สึกงงงวยไปด้วย
แต่โอกาสอันนี้อย่างนี้เขาย่อมไม่ปล่อยให้มันพลาดไปอย่างเด็ดขาด หลังจากที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาแล้ว ก็พลันกัดนิ้วมือตนเองและร่ายคาถาออกมา
ในเมื่อสาขาเก้าทารกเป็นสาขาที่มีความสามารถในการควบคุมปีศาจ และเขาก็เป็นศิษย์สาขานี้ ถึงแม้จะไม่เคยฝึกฝนวิชาที่เกี่ยวข้อง แต่เคล็ดวิชาผนึกจำกัดง่ายๆ เพื่อสยบปีศาจนั้น ยังคงหาอ่านได้จากคัมภีร์โบราณต่างๆ ได้ ซึ่งเขาเองก็จำได้ไม่น้อย
เขาใช้นิ้วที่ถูกกัดจนเป็นแผลวาดไปมาในอากาศอยู่ไม่หยุด อักขระแต่ตัวที่ถูกเขียนขึ้นโดยโลหิตของเขาก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา หลังจากที่เขากระตุ้นพลังเวทย์มันก็หมุนวนแล้วก็กลายเป็นค่ายกลอักขระสีเลือดขนาดเล็ก
หลิ่วหมิงคำรามเสียงต่ำออกมา มือทั้งสองทำท่ามือเพื่อกระตุ้นพลังเวทย์พร้อมกัน และค่ายกลอักขระสีเลือดก็ค่อยๆ ลอยไปหาหัวบิน
หัวบินเองก็ดูเหมือนกับว่าจะรับรู้ได้ถึงการมาของค่ายกลอักขระ ในที่สุดมันก็เงยหน้าขึ้นมาจากพื้นดิน แต่ยังคงอยู่นิ่งกับที่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ค่ายกลอักขระสีเลือดเปล่งประกายออกมาแล้วจมหายเข้าไปกลางหน้าผากของหัวบิน
หัวบินส่งเสียงร้องด้วยความเวทนา ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด จากนั้นแสงสีเลือดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าผาก นอกจากนี้ยังมีอักขระสีแดงจางๆ ที่ไม่ทราบชื่อปรากฏออกมาด้วย
และในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของพลังจิต ไม่คาดคิดว่าเขาเหมือนจะสื่อสารกับจิตของหัวปีศาจนี้ได้ลางๆ
หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจที่การแสดงวิชาของเขาประสบความสำเร็จ
ถึงแม้ว่าเคล็ดวิชาที่เขาแสดงเมื่อครู่จะเรียบง่าย แต่เป็นการผนึกหัวปีศาจได้ดีที่สุด พอแสดงวิชาสำเร็จแล้วต่อให้เป็นหัวปีศาจเก้าทารกก็สามารถควบคุมได้
แต่เงื่อนไขเบื้องต้นของการแสดงวิชานี้คือผู้ที่แสดงวิชาต้องทำให้มันสำเร็จในครั้งเดียว โดยที่ไม่มีการต่อต้านใดๆ จากหัวปีศาจ มิเช่นนั้นก็แทบจะไม่มีโอกาสที่จะทำสำเร็จเลย
เป็นเพราะเขาเห็นหัวบินแสดงท่าทีอันน่าแปลกประหลาดนี้จึงได้ยอมเสี่ยงดูสักครั้ง ไม่คาดคิดว่าจะสยบปีศาจตนนี้ได้จริงๆ มิเช่นนั้นล่ะก็ เขาคงได้แต่หนีไปไกลๆ ในช่วงที่ยันต์ยังสำแดงฤทธิ์อยู่
หลิ่วหมิงลองสื่อสารกับหัวบินอยู่หลายครั้งด้วยความดีใจ และเมื่อรู้สึกว่าตราประทับของหัวบินเชื่อมโยงกับจิตของเขาอย่างชัดเจน และไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว เขาถึงทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วชี้ไปกลางอากาศ
หลังจากที่มีเสียงดังขึ้น!
ตาข่ายแสงทั้งสามก็กะพริบหายไป หัวบินกะพริบตาปริบๆ แล้วค่อยๆ ทะยานขึ้นมาอย่างโอนอ่อนผ่อนตาม
หลิ่วหมิงทดลองควบคุมให้หัวบินบินขึ้นบินลงอยู่หลายครั้ง และให้บินวนรอบตัวเขาอยู่หลายรอบ หลังจากที่เห็นมันทำตามอย่างไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ แล้วเขาก็รู้สึกวางใจ
เขาเองก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่นานมากนัก จึงได้พาหัวบินเหาะจากไปในทันที
ครึ่งค่อนวันผ่านไป หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอยู่ในโพรงไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง ตอนที่เขาลืมตาทั้งสองขึ้นมาอีกครั้งนั้น พลังเวทย์ทั้งหมดของเขาก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว
ตั้งแต่เขาเริ่มเข้าฌาน หัวบินก็เฝ้าอยู่ตรงปากทางเข้าอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด ราวกับว่าไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามเขารู้สึกมีความสุขกับเรื่องที่เขาสามารถสยบหัวปีศาจตนนี้ได้
เสียดายที่เขาไม่เคยฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ใช้สำหรับสื่อสารกับหัวปีศาจโดยเฉพาะ ตอนนี้เขารู้สึกได้ลางๆ ว่าหัวปีศาจตนนี้ยำเกรงเขามาก และสามารถสั่งให้มันไปทำเรื่องง่ายๆ บางอย่างได้ แต่เขากลับไม่สามารถหาเหตุผลที่ชัดเจนในการกระทำของมันได้
ดูท่าคงต้องรอกลับไปที่นิกายแล้วหาเคล็ดวิชาสื่อสารมาฝึกฝนถึงจะหาเหตุผลที่แท้จริงได้
หลิ่วหมิงสังเกตดูหัวบินที่ว่านอนสอนง่ายไปด้วย และคิดใคร่ครวญไปด้วย
……………………………………….