ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 147 กลับ
แต่ถึงอย่างไรหัวบินนี้ก็เป็นของสือชวน ออกไปแล้วคงไม่สามารถให้มันปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนได้
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็ใช้จิตสื่อสารกับหัวบิน หลังจากที่พูดกำชับมันไปสองประโยคแล้วก็ตบถุงหนังบนเอวทันที
แสงสีดำจำนวนหนึ่งม้วนตัวออกมาดึงหัวบินเข้าไปในนั้น
ถึงแม้ว่าในสถานการณ์ปกติแล้ว ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณจะใช้เก็บปีศาจโดยเฉพาะ แต่ตอนนี้มันก็ยอมให้หัวบินซุกหัวอยู่ได้ชั่วคราว
รอออกไปจากแดนลึกลับก่อนแล้วค่อยหาถุงที่ใช้หล่อเลี้ยงหัวบินนี้โดยเฉพาะ
หลิ่วหมิงนั่งเข้าฌานอยู่ในโพรงไม้ต่ออีกสักพัก จนเมื่อรู้สึกว่าร่างกายไม่มีปัญหาใดๆ แล้วถึงได้ลุกเดินจากไปอย่างไม่รีบร้อน
เหลืออีกไม่กี่วันทางเข้าแดนลึกลับก็จะถูกปิด เขาเองก็ไม่กล้ายืดเยื้ออีกต่อไป ดังนั้นจึงค่อยๆ ลอยขึ้นไปบนต้นไม้ จากนั้นก็พุ่งออกไปยังที่ไกลๆ ราวกับลูกธนู
เพราะว่าขากลับนี้เขาไม่ต้องไปสนใจกับวัตถุจิตวิญญาณข้างทางใดๆ ดังนั้นความเร็วของเขาจึงแตกต่างจากขามาโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่าเพื่อระมัดระวังกับดักต่างๆ เขาย่อมไม่กล้าใช้พลังทั้งหมดเพื่อเร่งเดินทาง
ถึงกระนั้นก็ตามเขาใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวก็สามารถพุ่งผ่านพื้นที่ป่ามาได้มากกว่าครึ่งหนึ่งอย่างปลอดภัย และยังไม่เจอคนดักซุ่มโจมตีหรือการขัดขวางใดๆ
ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจ แต่หลังจากคิดดูอย่างถี่ถ้วนก็พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง
สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างจากสองวันก่อนมาก เพราะเวลาที่กระชั้นชิด เกรงว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนของศิษย์ที่เหลืออยู่คงจะรวมตัวกันที่บริเวณปากทางเข้าแล้ว
ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้เป็นธรรมดาที่จะไม่มีคนซุ่มโจมตี
ไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่นั่นตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ศิษย์แต่ละคนอย่างก็ลงมือกันอย่างดุเดือด หรือว่าต่างก็สงวนท่าทีกัน
ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังคิดอยู่นั้น พลันมีเสียงดังกึกก้องมาจากด้านข้าง ราวกับว่ามีสัตว์ขนาดมหึมากำลังพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
หลิ่วหมิงหยุดลงบนต้นไม้ด้วยความงงงวย และหรี่ตาต้องมองไปยังที่มาของเสียง
เขาเห็นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งถูกผลักจนเอียง จากนั้นก็มีหุ่นวานรยักษ์สีดำสูงสามจั้งพุ่งมาจากด้านหลัง หลังจากที่มันเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็หยุดตรงใต้ต้นไม้ที่หลิ่วหมิวอยู่
ต่อมาก็มีน้ำเสียงที่ดูแปลกใจดังมาจากร่างของวานรยักษ์
“ศิษย์น้องไป๋ เจ้านั่นเอง ช่างบังเอิญเสียจริง!”
“ที่แท้ก็คือศิษย์พี่เถี่ย!” หลิ่วหมิงจ้องมองหุ่นวานรยักษ์ที่ค่อนข้างคุ้นตาแล้วพลันตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
หุ่นวานรยักษ์ก็ยิ้มตอบกลับมาในฉับพลัน และขณะนี้ประตูสี่เหลี่ยมก็ปรากฏออกมาที่บริเวณหน้าท้องของหุ่นวานรในทันที จากนั้นใบหน้ากลมๆ ของชายหนุ่มก็โผล่ออกมา
เขาก็คือเถี่ยเยวี่ย ศิษย์หุบเขาเก้าช่องที่เขาได้พบเจอเป็นคนแรกหลังจากที่เข้าไปยังใจกลางแดนลึกลับ
“ฮ่าๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าด้วยสติปัญญาอันเฉียบแหลมของศิษย์น้อง จะต้องไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นในระหว่างที่อยู่ใจกลางแดนลึกลับ และสุดท้ายเจ้าก็ปลอดภัยจริงๆ ดูท่าแล้วศิษย์น้องก็กำลังคิดที่จะไปปากเข้าใช่ไหม พวกเราเดินทางไปด้วยกันเถอะ ไม่แน่ข้างหน้าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นก็เป็นได้ พวกเราจะได้คอยช่วยเหลือกันและกัน” เถี่ยเยวี่ยกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูปกติ
“ก็ดีเหมือนกัน! ในเมื่อนิกายของพวกเราได้ร่วมมือกันแล้ว ถ้าพวกเราเดินทางไปด้วยกันย่อมปลอดภัยมากขึ้น” หลิ่วหมิงคิดไปมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตกปากรับคำโดยไม่ลังเล
“ดีมาก มีศิษย์น้องไป๋เดินทางไปด้วยล่ะก็ ข้าก็ไม่ต้องเดินทางโดยหลบซ่อนอยู่ในหุ่นตัวนี้แล้ว” ชายหนุ่มใบหน้ากลมได้ยินก็ดีใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีการใดทำให้หน้าท้องของหุ่นแยกออกมาเป็นทางเดิน จากนั้นก็ไถลออกมาจากในนั้น
“อะไรนะ! ก่อนหน้านี้พี่เถี่ยใช้หุ่นตัวนี้เดินทางมาโดยตลอดหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย
ถึงแม้เขาจะไม่เคยฝึกวิชาเกี่ยวกับหุ่นมาก่อน แต่ก็รู้ว่าการควบคุมหุ่นอยู่ตลอดเวลาจะทำให้สิ้นเปลืองพลังเวทย์และพลังจิตเป็นอย่างมาก
“เป็นเช่นนี้จริงๆ! ตั้งแต่ที่ข้าถูกศิษย์หอสายธารโลหิตคนหนึ่งซุ่มโจมตีในป่า ทำให้ข้าสึกว่าการอยู่ในร่างหุ่นนี้จะปลอดภัยกว่ามาก แต่เจ้าหุ่นตัวนี้หนักเกินไป และก็เดินทางมานานแล้ว ข้าเองก็เริ่มรู้สึกรับไม่ค่อยไหว” เถี่ยเยวี่ยถอนหายใจแล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูจำใจ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูจากพลังจิตอันแข็งแกร่งของพี่เถี่ย เกรงว่าท่านคงถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของศิษย์รุ่นเดียวกันในนิกายใช่ไหม!” หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวออกไปโดยไม่ต้องคิด
“เฮ่อๆ แต่ก่อนข้าได้พบเจอกับความโชคดีบางอย่างถึงได้มีพลังจิตอย่างตอนนี้ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องอันดับล่ะก็ ข้าถูกจัดอยู่อันดับสามของบรรดาศิษย์ในหุบเขาเก้าช่องเท่านั้น” เถี่ยเยวี่ยหัวเราะกล่าวออกมา
“อันดับสาม? แล้วสองคนก่อนหน้านั้นคือ…” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกสนใจขึ้นมา
เป็นเพราะพรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังจึงทำให้พลังจิตของเขาแข็งแกร่งกว่าศิษย์ทั่วไปเท่าตัว แต่ถ้าเทียบกับฝ่ายตรงข้ามล่ะก็ เกรงว่าเขาคงไม่อาจเทียบได้ และตอนนี้ได้ยินเถี่ยเยวี่ยบอกว่าในหุบเขาเก้าช่องยังมีคนที่มีพลังจิตแข็งแกร่งกว่าเขาอีกสองคน สิ่งนี้ย่อมทำให้ใจของหลิ่วหมิงรู้สึกสั่นสะท้าน
“หนึ่งในสองคนนั้นคือศิษย์พี่อวิ๋น ตอนที่ศิษย์พี่อวิ๋นเลือกฝึกฝนวิชานั้น นอกจากจะฝึกฝนวิชาหลักแล้ว ยังฝึกฝนเคล็ดวิชาระดับสูงของนิกายเราที่สามารถเสริมพลังจิตให้แข็งแกร่งขึ้น ในแต่ละขั้นที่ฝึกสำเร็จจะทำให้พลังจิตของเขาแข็งแกร่งมากขึ้น ที่น่าเสียดายก็คือ เงื่อนไขของการฝึกฝนวิชานี้โหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก เกรงว่าบรรดาศิษย์ในนิกายทั้งหมด ก็มีเพียงแค่สองสามคนเท่านั้นที่พอจะสามารถรับเงื่อนไขเหล่านี้ได้ ส่วนอีกคนนั้นสถานะของเขาค่อนข้างพิเศษ ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้” เถี่ยเยวี่ยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเองก็เคยเจอศิษย์พี่อวิ๋นที่ใจกลางแดนลึกลับแล้ว แต่ก็ดูไม่ออกว่าพลังจิตของเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้” คิ้วของหลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน
“ศิษย์พี่อวิ๋นชอบวิชาฝึกร่าง ใครก็ตามที่เห็นวิธีการต่อสู้ของเขา ต่างก็คิดว่าพลังจิตของเขาไม่แข็งแกร่ง” เถี่ยเยวี่ยตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ” หลิ่วหมิงพยักหน้า ประจักษ์ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับคำพูดนี้
ขณะนี้ เถี่ยเยวี่ยทำท่ามือด้วยมือข้างเดียวเพื่อทำให้หุ่นวานรยักษ์กลายเป็นลูกกลมๆ สีดำและเก็บเข้าไป จากนั้นก็ปล่อยหุ่นตั๊กแตนที่ดูอ่อนช้อยออกมา และเขาก็ขึ้นไปขี่อยู่บนหลังของมัน
หลิ่วหมิงจ้องมองหุ่นตั๊กแตนที่ดูคุ้นตาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดคุยกับเถี่ยเยวี่ยอีกไม่กี่ประโยค จากนั้นทั้งสองก็ออกเดินทางไปต่อ
คนหนึ่งกระโดดไปตามกิ่งไม้ราวกับปีศาจ อีกคนหนึ่งขี่หุ่นตั๊กแตนวิ่งไปตามพื้น
……
หนึ่งวันผ่านไป ถ้ำใต้ดินที่อยู่นอกแดนลึกลับ ผู้อาวุโสระดับผลึกทั้งหกคนยังคงนั่งขัดสมาธิบนแท่นหินเพื่อกระตุ้นวัตถุที่อยู่ด้านหน้าอย่างเงียบๆ
แต่ผู้อาวุโสระดับของเหลวสิบกว่าคนต่างก็จ้องมองกลุ่มแสงสีขาวที่เปล่งแสงออกมาเพียงเล็กน้อยด้วยความกระวนกระวายใจ
นับดูเวลาแล้ว วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของเวลาที่กำหนด แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีศิษย์คนใดออกมาเลย เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่วางใจขึ้นมา
ผ่านไปสักพัก กลุ่มแสงสีขาวที่ดูนิ่งสงบก็พลันเปล่งแสงออกมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันก็มีเสียงครึกโครมดังแว่วๆ มาจากในนั้น
“มีคนออกมาแล้ว!” ใครบางคนกล่าวด้วยความดีใจ ทำให้คนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองไปยังแสงสีเขียว
ผู้อาวุโสระดับผลึกหลายคนที่เดิมทีนั่งหลับตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นมาในทันที
แสงหลากสีจำนวนหนึ่งม้วนตัวออกมาพร้อมกับเงาร่างของคนหกคนปรากฏขึ้นบนพื้น
หลังจากที่ทุกคนกวาดสายตามองไป ก็ค้นพบว่าคนทั้งหกเป็นศิษย์ที่เข้าไปแดนลึกลับในก่อนหน้านั้น เหมือนว่าแต่ละนิกายต่างก็มีศิษย์หนึ่งคนอยู่ในนั้น
“ฮุ่ยเหนียง เกิดอะไรขึ้น หรือคนอื่นๆ จะรวมตัวอยู่ที่นั่น ยังมีอีกประมาณเท่าไหร่” ประมุขนิกายปีศาจอดไม่ได้ที่จะก้าวออกไปถามศิษย์หญิงผู้หนึ่งด้วยความรีบร้อน
“เรียนอาจารย์อาท่านประมุข คนอื่นๆ ต่างก็รวมตัวกันแล้ว มีประมาณยี่สิบสี่ถึงยี่สิบห้าคน” เฉียนฮุ่ยเหนียงรีบโค้งคารวะแล้วตอบกลับไป
“ยี่สิบกว่าคน อย่างนี้ก็กลับมาแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น สถานที่นี้ก็เป็นเพียงแค่แดนลึกลับตามธรรมชาติ แต่ทำไมถึงมีคนเสียชีวิตมากมายถึงเพียงนี้” ประมุขนิกายวาตอัคคีได้ยินสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“ดูเหมือนว่าแดนลึกลับแห่งนี้จะไม่ใช่แดนลึกลับตามธรรมชาติที่แท้จริง พวกเราได้เจอกับเรื่องที่ไม่คาดคิดในนั้น” เฉียนฮุ่ยเหนียงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับไปตามความเป็นจริง
“เรื่องที่ไม่คาดคิด?”
คำพูดนี้ทำให้ประมุขนิกายปีศาจและคนอื่นๆ ต่างก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
เวลาต่อมาผู้อาวุโสแต่ละนิกายต่างก็เรียกศิษย์ตนเองมาเพื่อสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ผลลัพธ์ที่ออกมามีทั้งดีและไม่ดี
เมื่อประมุขนิกายปีศาจรู้เรื่องที่เหลยเจิ้น เฟิงฉาน และคนอื่นๆ หายไป สีหน้าก็หม่นหมองลงไปมาก แต่พอได้ยินว่าเกาชงไม่เป็นอะไร ทั้งยังมีคนที่รอดชีวิตอีกครึ่งหนึ่ง สีหน้าก็ค่อยๆ ดีขึ้นมา
ในขณะนั้นเอง กลุ่มแสงสีขาวกลางอากาศก็ส่งเสียงดังอีกครั้ง และศิษย์กลุ่มต่อมาก็ถูกส่งออกมา
……
เมื่อหลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองอีกครั้ง และหายจากอาการวิงเวียนศีรษะแล้ว ก็ค้นพบว่าตนเองปรากฏตัวกลางถ้ำขนาดใหญ่อีกครั้ง
และประมุขนิกายปีศาจ นักพรตจาง และผู้อาวุโสนิกายต่างๆ ก็มารวมกันด้านหน้าของศิษย์ที่ถูกส่งกลับมด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวยาวๆ ไปหาประมุขนิกายปีศาจ
สองวันก่อน เมื่อเขากับเถี่ยเยวี่ยรีบเดินทางมาถึงบริเเวณปากทางเข้า สถานการณ์ ณ ที่นั้นดูสงบกว่าที่คาดคิดไว้
หนึ่งถึงสองวันก่อนศิษย์หลายนิกายต่างก็เกาะตัวกันเป็นกลุ่มก้อนรออยู่ที่ปากทางเข้าแล้ว
ด้วยเหตุนี้ศิษย์แต่ละนิกายต่างก็หวาดกลัวซึ่งกันและกัน และไม่มีใครกล้าลงมือ มิเช่นนั้นคนอื่นๆ ก็จะร่วมมือกันชั่วคราวเพื่รักษาความสงบ
ดังนั้นหลิ่วหมิงกับเถี่ยเยวี่ยจึงกลับมารวมตัวกับคนในนิกายได้อย่างง่ายดาย และเมื่อรอจนถึงวันสุดท้ายแล้วไม่มีใครกลับมาอีก แต่ละนิกายก็จะส่งศิษย์กลับไปนิกายละหนึ่งคนเหมือนกับตอนที่มา
แต่ละขั้นตอนดำเนินไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีปัญหาใดๆ
ขณะนี้ หลังจากที่หลิ่วหมิงคารวะประมุขนิกายปีศาจ และนักพรตจางแล้ว เขาก็ไปยืนเก็บมืออยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม
หยางเฉียน เฉียนฮุ่ยเหนียง ต่างก็ยืนอยู่ที่นั่นแล้ว
“ดีมาก! ทำได้ไม่เลว พวกเจ้ากลับมาจากแดนลึกลับได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าสร้างคุณูปการให้กับนิกายเป็นอย่างมาก ครั้งนี้นิกายของเรามีคนรอดชีวิตห้าคน ซึ่งนับว่าแข็งแกร่งกว่านิกายอื่นมาก” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้าให้กับหลิ่วหมิง จากนั้นก็กล่าวกับทุกคนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
……………………………………….