ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 158 ศิษย์ตรวจตรา
ภารกิจสุดท้ายเป็นภารกิจที่อันตรายที่สุด
เพราะเดิมทีเสวียนจิงก็เป็นสถานที่มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนอยู่ด้วยกัน ในหลายปีก่อนนิกายต่างๆ เคยตกลงกับราชสำนักว่าเมืองหลวงอย่างเสวียนจิงจะต้องไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของนิกายใดๆ และผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขึ้นไปห้ามเข้าไปเหยียบเมืองนี้แม้แต่ก้าวเดียว
เพื่อรักษาข้อตกลงนี้ นิกายแต่ละนิกายสามารถทิ้งศิษย์ตรวจตราไว้ในเมืองเสวียนจิงได้แค่คนเดียวเท่านั้น เพื่อตรวจตราดูว่านิกายอื่นๆ ทำผิดข้อตกลงหรือไม่
เพราะเหตุนี้ถึงทำให้เมืองเสวียนจิงกลายเป็นดินแดนแห่งความผาสุกของผู้ฝึกฝนอิสระและผู้ฝึกฝนจากแคว้นอื่นๆ แม้กระทั่งผู้ฝึกฝนนอกรีตกับผู้ฝึกฝนที่หนีความผิดมา ก็เปลี่ยนสถานะตนเองแล้วเข้าไปอยู่ในเมืองเสวียนจิง และแอบตั้งกลุ่มแก๊งขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้ศิษย์ตรวจตราที่แต่ละนิกายส่งมาเมืองเสวียนจิง ต่างก็ถูกคนบางคนจับตามองและลอบสังหาร ซึ่งมักจะเกิดเหตุลอบสังหารหรือรุมโจมตีอยู่บ่อยๆ บางนิกายมีศิษย์ตรวจตราเสียชีวิตปีละหลายคนเลยทีเดียว
เรื่องแบบนี้ย่อมทำให้แต่ละนิกายรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก พวกเขาร่วมมือกันกวาดล้างผู้ฝึกฝนเหล่านั้นอยู่หลายครั้ง ถึงแม้ว่าจะสามารถกำจัดพวกมันได้ แต่ศิษย์ตรวจตราที่ถูกส่งมาทั้งหมดกลับไม่สามารถปรากฏตัวในเมืองเสวียนจิงได้อย่างเปิดเผย ซึ่งต่างก็เปลี่ยนสถานะของตัวเองแล้วดักซุ่มอยู่ในเมืองเสวียนจิง
เช่นนี้แล้วจึงจะทำให้ศิษย์ตรวจตราของแต่ละนิกายมีความปลอดภัยขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ศิษย์ตรวจตราเมืองเสวียนจิงก็ยังคงเป็นตำแหน่งที่อันตรายเป็นอย่างมาก มีศิษย์เสียชีวิตหนึ่งคนในแต่ละปีก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ มีน้อยมากที่สามารถทำภารกิจได้ครบสี่ปีและกลับไปนิกายอย่างปลอดภัย
แน่นอนว่าภารกิจอันตรายเช่นนี้ ทางนิกายย่อมให้รางวัลอย่างงาม เมื่อรับภารกิจครบสี่ปีแล้วจะมอบแต้มคุณูปการเกือบหมื่นแต้มให้เป็นรางวัล ซึ่งมันเพียงพอที่จะนำไปแลกกับไอปีศาจบริสุทธิ์หนึ่งชุด
แต่เงื่อนไขการรับภารกิจนี้ ขอเพียงแค่เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางขึ้นไปก็เพียงพอแล้ว
อย่างไรซะหน้าที่ของศิษย์ตรวจตราก็แค่ตรวจดูความสงบของเมืองเสวียนจิงเท่านั้น ไม่ใช่ไปต่อสู้กับผู้คนแต่อย่างใด
เหตุที่หลิ่วหมิงสนใจภารกิจนี้ เป็นเพราะว่าสถานที่ปฏิบัติภารกิจกับสถานที่ซ่อนความลับในใจเขาคือที่เดียวกัน และศิษย์ตรวจตราไม่เพียงแต่สามารถไปมาได้อย่างอิสระ แต่พอเข้าไปเมืองเสวียนจิงแล้ว แม้แต่นิกายก็ไม่สามารถรับรู้ถึงสถานการณ์ของเขาที่เป็นชัดเจนได้
แม้จะบอกว่าเมืองเสวียนจิงเป็นเมืองที่ผู้ฝึกฝนนอกรีตเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ แต่ก็ด้วยเหตุนี้ถึงได้มีตลาดมืดที่มีที่ชื่อเสียงที่สุดของแคว้นต้าเสวียนกับงานแอบประมูลขายของสีเทา ในนั้นมักจะปรากฏของล้ำค่าที่แม้แต่อาจารย์จิตวิญญาณก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ ไม่แน่มันอาจจะมีปราณปีศาจบริสุทธิ์ที่เขาอยากได้ด้วย
ส่วนภัยอันตรายของภารกิจศิษย์ตรวจตรานั้น เขาเชื่อว่าเพียงแค่เขาเปลี่ยนสถานะ และเพิ่มความระมัดระวังอีกเล็กน้อย สถานะที่แท้จริงของเขาก็จะไม่ถูกเปิดโปิงออกมาโดยง่าย
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ขอเพียงแค่ไม่ใช่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณขึ้นไปเขาจะไม่กลัว เพราะศิษย์ทั่วไปมีไม่กี่คนที่สามารถรับมือกับเขาได้
และภารกิจแรกกับภารกิจที่สองมีขอบเขตจำกัดที่กว้างไปหน่อย มันไม่เอื้อต่อแผนการณ์ที่เขาวางไว้ในตอนท้าย
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว หลังจากที่คิดชั่งน้ำหนักถึงข้อดีข้อเสียของแต่ละภารกิจแล้ว ก็ตัดสินใจได้ในที่สุด เขารีบเดินไปยังโต๊ะหินเพื่อรับภารกิจนี้ในทันที
“อะไรนะ! ศิษย์น้องไป๋จะรับภารกิจศิษย์ตรวจตราเมืองเสวียนจิงเป็นเวลาสี่ปี!” ผู้ดูแลหอดำเนินการก็นับว่าเป็นผู้ที่รู้จักกับหลิ่วหมิงดี แต่พอได้ยินหลิ่วหมิงพูดเช่นนี้ เขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจอย่างอดไม่ได้
“ทำไมล่ะ! หรือว่าคุณสมบัติของศิษย์น้องไม่สอดคล้องกับเงื่อนไขหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยรอยยิ้ม
“มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่ด้วยด้วยสถานะของศิษย์น้องไป๋ในตอนนี้ใยต้องรับภารกิจนี้ด้วยเล่า? ถึงแม้ศิษย์น้องจะมีพลังแข็งแกร่ง แต่ถ้าต้องไปเมืองเสวียนจิงจริงๆ ล่ะก็ มันก็ยังอันตรายอยู่ดี” ผู้ดูแลหอดำเนินการกล่าวเตือนหลิ่วหมิงอย่างอดไม่ได้
“ภารกิจนี้อันตรายแค่ไหน บนป้ายผลึกก็ได้อธิบายไว้หมดแล้ว ไม่เป็นไรหรอก! ศิษย์น้องคิดว่าสามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้” หลิ่วหมิงยืนยันอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาย่อมไม่เปลี่ยนใจไปด้วยเหตุผลเช่นนี้
“ในเมื่อศิษย์น้องไป๋จะต้องรับภารกิจนี้ให้ได้ ศิษย์พี่เองก็ไม่อาจคัดค้าน แต่ตำแหน่งศิษย์ตรวจตราไม่เหมือนกับทั่วไป หลังจากศิษย์น้องรับภารกิจนี้แล้วยังต้องไปหาอาจารย์อาเหลยที่สาขากลลับสวรรค์ อาจารย์อาเหลยเป็นผู้ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับศิษย์ตรวจตราในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะ หากท่านคิดว่าเจ้าไม่เหมาะสมล่ะก็ เจ้าก็ไม่อาจรับภารกิจนี้ได้ อีกอย่างข้อมูลเกี่ยวกับศิษย์ตรวจตราคนก่อนกับป้ายบ่งบอกสถานะก็ไปเอาได้ที่อาจารย์อาเหลยเท่านั้น” ชายดูแลหอดำเนินการได้ยินก็รับป้ายประจำตัวของหลิ่วหมิง และใช้กระบองสั้นแตะลงไปไม่กี่ครั้ง จากนั้นถึงได้กล่าวขึ้นมา
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่เตือน ศิษย์จะไปหาอาจารย์ลุงเหลยสักครั้ง” หลิ่วหมิงรับป้ายประจำตัวคืนมาแล้วรีบกล่าวขอบคุณในทันที
เวลาต่อมาหลิ่วหมิงก็หมุนตัวออกไปจากหอดำเนินการ และเรียกเมฆเทาเพื่อเหาะไปยังเขากลลับสวรรค์
ผ่านไปไม่นาน เขาก็มาอยู่ตรงเชิงเขาสาขากลลับสวรรค์ และถูกศิษย์ลาดตระเวนสองคนขัดขวางไว้
“ศิษย์น้องไป๋ต้องการพบอาจารย์เหลย?” ศิษย์ทั้งคนนี้ต่างก็มีระดับการฝึกฝนที่ไม่เลว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็เข้าร่วมการประลองใหญ่ด้วยเช่นกันจึงจำหลิ่วหมิงได้ แต่พอได้ยินความต้องการของหลิ่วหมิง พวกเขากลับแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา
“ทำไมล่ะ! หรือว่าอาจารย์อาเหลยไม่ได้อยู่บนเขา” หลิ่วหมิงถามด้วยความงุนงง
“มันไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ช่วงนี้อาจารย์อารมณ์ไม่ค่อยดี ไม่ยอมพบแขกง่ายๆ” ศิษย์เขากลลับสวรรค์ผู้หนึ่งลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา
“อ๋อ! ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ต้องขอรบกวนศิษย์พี่ทั้งสองรายงานท่านสักหน่อย บอกว่าตอนนี้ศิษย์น้องรับภารกิจศิษย์ตรวจตราถึงได้มาขอพบท่าน” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่ยังคงกล่าวอย่างนอบน้อม
“เฮ่อๆ! ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ พวกข้าคงไม่กล้าเสี่ยงล่วงเกินอาจารย์เหลยเพื่อทำเรื่องเช่นนี้ แต่ศิษย์น้องไป๋เพิ่งจะสร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้กับนิกาย ไม่แน่อาจารย์เหลยอาจจะเมตตาบ้าง” ศิษย์เขากลลับสวรรค์ทั้งสองสบตากันครู่หนึ่ง แล้วหนึ่งในนั้นก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวขอบคุณอีกครั้ง
จากนั้นศิษย์เขากลลับสววรค์ผู้หนึ่งก็ทะยานฟ้าไปยังยอดเขา อีกผู้หนึ่งก็สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับแดนลึกลับกับหลิ่วหมิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลิ่วหมิงเองก็บอกเล่าสิ่งที่เขาได้พบได้เห็นในแดนลึกลับให้กับศิษย์ผู้นี้ฟังโดยเป็นเรื่องจริงบ้างไม่จริง ทำให้ศิษย์สาขากลลับสวรรค์ผู้นี้ฟังอย่างเพลิดเพลิน
เมื่อเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ศิษย์ที่ไปรายงานก็เหาะลงมาจากเขา และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์น้องไป๋ช่างมีเกียรติมากจริงๆ พออาจารย์เหลยได้ยินว่าศิษย์น้องขอเข้าพบ ท่านก็รีบตอบตกลงในทันที”
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ดังนั้นเวลาต่อมาเขาก็เหาะตามศิษย์เขากลลับสวรรค์ผู้นั้นขึ้นไปบนยอดเขาพร้อมกัน
เทียบกับเขาเก้าทารกแล้ว เขากลลับสวรรค์นับว่าสูงและอันตรายกว่ามาก สถานที่ส่วนใหญ่เป็นหน้าผาสูงชะโงกเงื้อม เส้นทางบนเขาบางแห่งไม่สามารถเดินได้ ศิษย์นิกายสายนอกบางคนต้องจับเชือกยาวๆ จำนวนหนึ่งเพื่อปีนป่ายขึ้นไปบนเขา
หลิ่วหมิงมองศิษย์นิกายสายนอกเหล่านี้จากบนอากาศด้วยความประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เขม้นมองไปบนยอดเขา
ผ่านไปไม่นาน เขากับศิษย์เขากลลับสวรรค์ก็ร่อนลงด้านหน้าอารามสีเงินแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนยอดเขา
บนประตูอารามแห่งนี้มีป้ายขนาดใหญ่แขวนอยู่หนึ่งแผ่น และมีอักขระโบราณสีทองที่เขียนคำว่า ‘กลลับสวรรค์’ อยู่บนนั้น
ด้านหลังของอารามสีเงิน จะมีหอขนาดต่างๆ อยู่มากมาย
“อาจารย์เหลยรออยู่ข้างในแล้ว ศิษย์น้องไป๋เข้าไปได้เลย ข้ายังต้องไปลาดตระเวนต่อไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนศิษย์น้องได้แล้ว” ศิษย์เขากลลับสวรรค์กล่าว
“รบกวนท่านแล้ว ศิษย์พี่รีบไปทำงานของท่านเถิด” หลิ่วหมิงโค้งตัวกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
จากนั้นศิษย์เขากลลับสวรรค์ผู้นี้ก็ทำท่ามือขี่เมฆเหาะลงไปจากเขา หลิ่วหมิงจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางแล้วเดินเข้าประตูใหญ่ด้วยสีหน้าสงบ
อารามทั้งหลังมีขนาดกว้างห้าสิบถึงหกสิบจั้ง ด้านหน้าของเก้าอี้ที่อยู่ในสุดมีชายรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดสีดำกำลังหันไปมองกระบี่ยักษ์สีเงินที่ใช้แขวนประดับประดาอยู่บนผนัง รูปร่างที่ไม่เคลื่อนไหวของเขาทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงความมั่นคงและหนักแน่นดังขุนเขา
“ศิษย์ไป๋ชงเทียนคารวะอาจารย์ลุงเหลย” หลิ่วหมิงเดินไปข้างหน้าแล้วกล่าวคารวะอย่างหนักแน่น
แต่ชายชุดดำกลับแหงนหน้ามองกระบี่ยักษ์บนผนังราวกับไม่ได้ยินเสียงของเขา
หลิ่วหมิงแอบแบะปาก แต่ก็ทำได้เพียงโค้งคารวะค้างด้วยท่าทีนอบน้อม และไม่ขยับเขยื้อน
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย ทั้งสองยังคงสงบนิ่งราวกับเป็นรูปปั้น อารามทั้งหลังเงียบสงัดไปชั่วระยะหนึ่ง
ผ่านไปราวๆ ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าว ไหล่ของชายชุดดำก็ค่อยๆ ขยับ ในที่สุดเขาก็หันตัวกลับมา และเขาก็คือ ‘อาจารย์ลุงเหลย’ ผู้นั้นนั่นเอง
ชายฉกรรจ์แซ่เหลยพินิจดูหลิ่วหมิงด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นั่งลงและกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ไม่เลว! สมกับเป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงจากการทดสอบความเป็นความตาย มีความสงบมั่นคงใช้ได้ แต่ถ้าอาศัยแค่ความสงบมั่นคงล่ะก็ คงไม่อาจมีชีวิตรอดจากแดนลึกลับได้ใช่ไหม”
“อาจารย์ลุงเหลยสั่งสอนได้ถูกต้อง ศิษย์ดวงดีถึงได้ออกจากแดนลึกลับอย่างปลอดภัย” พอหลิ่วหมิงได้ยินน้ำเสียงที่ดูไม่เป็นมิตรของ ‘อาจารย์ลุงเหลย’ ผู้นี้ ก็ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ แต่ยังคงตอบกลับอย่างระมัดระวัง
“ดวงดี! พูดเช่นนี้ก็แสดงว่าหลานเหลยเจิ้นของข้าคงดวงไม่ดี ถึงไม่สามารถออกจากแดนลึกลับได้?”พอชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าหม่นหมองลง
“มิกล้า! ศิษย์มิกล้าคิดเช่นนี้อย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงแอบถอนใจ แต่ยังคงตอบกลับอย่างถ่อมตัว
“ฮึ! ถ้าอาศัยแค่พลังล่ะก็ เหลยเจิ้นหลานข้าที่มีพลังอัสนีผู้นั้น ย่อมไม่เป็นรองศิษย์แกนนำผู้ใดอย่างแน่นอน แต่คนทั้งห้าที่รอดจากแดนลึกลับกลับไม่ใช่เขา สิ่งนี้ทำให้ข้าอยากรู้ว่าศิษย์เขาเก้าทารกที่มีผลงานเยี่ยมยอดผู้นี้ แท้จริงแล้วจะมีพลังเท่าไหร่?” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหรี่ตาทั้งสองแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ความหมายของอาจารย์ลุงเหลยคือ…” หลิ่วหมิงแอบขมวดคิ้วแล้วถามออกมาอย่างไม่ตั้งใจ
“ง่ายมาก! หลายวันนี้ข้าอารมณ์ไม่ค่อยดีต้องการหาคนมาประมือด้วย ข้าไม่สนว่าเจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด แต่ถ้าเจ้ารับการโจมตีจากข้าไม่ได้ เจ้ามาทางไหนก็ไสหัวกลับไปทางนั้น!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยตะคอกด้วยสีหน้าที่เดือดดาล
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ผ่านไปสักพักถึงได้ฝืนยิ้มแล้วกล่าวออกมา
“อาจารย์ลุงอย่าล้อข้าเล่นเลย ด้วยระดับการฝึกฝนของท่าน ผู้น้อยอย่างข้าจะรับมือได้อย่างไร”
……………………………………….