ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 159 เวลาสามเดือน
“วางใจเถอะ! ข้าจะไม่ใช้พลังเวทย์ของอาจารย์จิตวิญญาณโจมตีอย่างแน่นอน ถ้าเจ้าไม่ยอมรับล่ะก็ข้าก็จะไม่บังคับ และก็ออกไปเสียตั้งแต่บัดนี้ ข้าจะทำเหมือนกับว่าเจ้าไม่เคยมาหาข้า” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ เขาย่อมเข้าใจคำว่า ‘ไม่เคยมาหา’ แน่นอนมันหมายความว่าชายฉกรรจ์แซ่เหลยผู้นี้จะไม่ตอบรับคำขอร้องใดๆ จากเขาอีก
ดังนั้นเขาจึงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วอยู่หลายรอบ จากนั้นถึงได้ค่อยๆ ยืดตัวตรงขึ้นมา และกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมเป็นพิเศษ
“ในเมื่ออาจารย์ลุงจะต้องทดสอบพลังของศิษย์ให้ได้ ถ้าอย่างงั้นศิษย์ก็ขอให้อาจารย์ลุงลงมือเถอะ!”
“เฮ่อๆ! ดีมาก มันต้องอย่างนี้สิ! เพียงแค่รับการโจมตีจากข้าแล้วไม่เป็นอะไร ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำเรื่องอะไร ข้าก็จะตอบรับไว้ก่อน” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหัวเราะแล้วกล่าวออกมา จากนั้นเขาก็ขยับแขนและค่อยๆ ชี้นิ้วไปทางหลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงเห็นฉากนี้ก็รีบทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ไอดำจำนวนมากพวยพุ่งออกจากร่างของเขา และกลายเป็นหนวดสัมผัสโบกสะบัดไปมา ขณะเดียวกันมืออีกข้างก็ตบไปยังหน้าอก ทันใดนั้นแสงสีดำสามจุดก็เปล่งประกายออกมาก่อนที่โล่แสงที่ดำจะมาบังอยู่ตรงหน้าเขา
ขณะนี้แสงสายฟ้าก็ได้เปล่งประกายขึ้นบนนิ้วมือของชายฉกรรจ์แซ่เหลย เมื่อสายฟ้าเส้นเล็กพุ่งยิงออกจากปลายนิ้วของเขา มันก็กลายเป็นอสรพิษสายฟ้าขนาดเท่าปากชามและพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงด้วยเสียงฟ้าผ่าอันดังก้อง
ยังไม่ทันที่อสรพิษสายฟ้าจะพุ่งเข้าถึงตัวหลิ่วหมิง ก็มีกลิ่นไหม้ม้วนตัวออกมาจากอากาศด้านบนก่อน
หลิ่วหมิงเรียกกระบี่จันทราหยกออกมาโดยไม่ต้องคิด เมื่อกระบี่จันทราหยกปรากฏออกมามันก็ฟันปราณกระบี่ออกไปสามสาย
เขาแค่วาดมืออีกข้างไปบนอากาศ คมวายุหกเส้นก็ปรากฏออกมาพร้อมกัน จากนั้นมันก็พุ่งยิงออกไปด้วยเสียงที่ดัง “ฟิ้วๆ!”
หลังจากมีเสียงดังกึกก้อง คมวายุจำนวนมากก็ฟันลงบนตัวอสรพิษสายฟ้าติดต่อกัน นอกจะทำให้มันหยุดชะงักเล็กน้อยแล้ว ยังทำให้มันค่อยๆ ระเบิดตัวสลายไป
ขณะนี้ปราณกระบี่สีเขียวสามสายรวมกันเป็นหนึ่งแล้วฟันลงบนตัวอสรพิษสายฟ้า
ทั้งสองระเบิดตัวบนอากาศด้วยเสียงดัง “ตู๊ม!”
ปราณกระบี่สีเขียวกับสายฟ้าสีเงินประสานเข้าหากันภายในพริบตา แต่หลังจากมีเสียงฟ้าร้องดังออกมา สายฟ้าก็ถูกปราณกระบี่สีเขียวทำลายจนขาดออกจากกัน และสายฟ้าที่เหลือก็ผ่าลงบนโล่แสงสีดำตรงหน้าหลิ่วหมิง
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที เขายกแขนขึ้นแล้วแยกนิ้วทั้งห้าออกจากกันก่อนที่จะกดลงบนโล่แสง ขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังเวทย์พรั่งพรูออกมาด้วย
อย่างไรก็ตามโล่แสงสีดำก็ต้านทานได้เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ จากนั้นก็แตกร้าวเป็นเสี่ยงๆ
แต่ตอนนี้สายฟ้าที่เหลือก็มีขนาดเท่านิ้วโป้งเท่านั้น และหนวดสัมผัสที่มาจากไอสีดำบนร่างหลิ่วหมิงก็โบกสะพัดรุนแรงมากขึ้นจนมองเห็นเป็นเงาทับซ้อน
ทันทีที่มีเสียงฟ้าแลบฟ้าผ่าดังขึ้น หนวดสัมผัสกับสายฟ้าที่เหลือก็ถูกทำลายจนแตกกระเจิง
สีหน้าหลิ่วหมิงซีดขาวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ประจักษ์ชัดว่าการเคลื่อนไหวติดต่อกันเมื่อครู่ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อย แต่ก็นับว่าสามารถรับการโจมตีของชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้
“ไม่เลว! ที่แท้เจ้าก็มีความสามารถจริงๆ มิน่าล่ะถึงได้กล้าล่วงเกินเกาชงเพราะผู้หญิงเพียงคนเดียว ครั้งนี้ถือว่าเจ้าผ่านการทดสอบ พูดมาเถอะ! เจ้ามาให้ข้าช่วยเรื่องอันใด” เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ชายฉกรรจ์แซ่เหลยก็มีสีหน้าที่ผ่อนคลายลง และยังกล่าวชื่นชมหลิ่วหมิงด้วย
“ขอบคุณอาจารย์ลุงเหลย ก่อนมาที่นี่ศิษย์ได้รับภารกิจตรวจตราเมืองเสวียนจิง ดังนั้นถึงได้ตั้งใจมาคารวะอาจารย์ลุง” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกโล่งใจ แต่ยังคงกล่าวอย่างนอบน้อม
“ตรวจตราเมืองเสวียนจิง? ตำแหน่งนี้อันตรายและจัดการได้ยาก คาดว่าเจ้าคงไม่คิดทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณในระยะเวลาอันใกล้ถึงได้รับภารกิจนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็นับว่าเจ้าฉลาดที่รู้จักไปจากนิกาย มิเช่นนั้นถ้าเกาชงทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณสำเร็จ เจ้าคงไม่สามารถอยู่ในนิกายได้อย่างสบายใจ” พอชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง เขากลับพยักหน้ากล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าอาจารย์ลุงเหลยตอบรับคำขอของข้าแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยความดีใจ
“เจ้าสามารถรับการโจมตีจากข้าได้ ขอเพียงเจ้าระมัดระวังตัวเพิ่มอีกสักหน่อย คาดว่าคงพอจะปกป้องตนเองให้อยู่ในเมืองเสวียนจิงได้อย่างปลอดภัย แต่ถ้าเจ้าอยากให้ข้ารับปากเจ้าจริงๆ ล่ะก็ เจ้าจะต้องรับปากข้าหนึ่งเรื่อง” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมา
“อาจารย์ลุงพูดมาได้เลย ขอเพียงเป็นเรื่องที่ผู้น้อยสามารถทำได้ ผู้น้อยก็จะทำอย่างสุดความสามารถ” หลิ่วหมิงอึ้งไปสักพักก่อนที่จะกล่าวออกมา
“ง่ายมาก! หลังจากที่เจ้าไปเมืองเสวียนจิงแล้ว ขอให้ช่วยข้าทำเรื่องเล็กน้อยบางอย่าง ตอนที่ข้ายังไม่ได้เป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ติดค้างสหายเก่าผู้หนึ่งอยู่ไม่น้อย ตอนนี้สหายผู้นี้ได้จากโลกนี้ไปแล้ว และลูกหลานของเขากลับย้ายไปอยู่เมืองเสวียนจิง แต่ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะพบกับความยุ่งยากบางอย่าง และยังให้คนนำสิ่งของยืนยันมาให้ข้าไปช่วยเหลือ เจ้าก็คงรู้ดีถึงข้อตกลงของแต่ละนิกายในเมืองเสวียนจิงปีนั้น ข้าเป็นผู้ฝึกฝนระดับสูงไม่อาจทำลายกฎเกณฑ์เพื่อไปเมืองเสวียนจิงได้ และศิษย์ข้างกายของข้าในตอนนี้ ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญต้องจัดการ ก็มีระดับการฝึกฝนที่ไม่เพียงพอ ข้าจึงไม่อาจวางใจให้ไปเมืองเสวียนจิงได้ ดังนั้นถ้าหากเจ้ารับตำแหน่งตรวจตราเมืองเสวียนจิงแล้ว ก็ถือโอกาสช่วยสหายเก่าของข้าจัดการเรื่องยุ่งยากนี้ด้วยเถอะ!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยค่อยๆ กล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ อาจารย์ลุงวางใจเถอะ ขอเพียงศิษย์สามารถทำได้ ศิษย์จะต้องช่วยอาจารย์ลุงตอบแทนน้ำใจนี้ให้ได้” หลังจากหลิ่วหมิงได้ฟังแล้ว ก็คิดใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนที่จะรับปากอย่างรวดเร็ว
“ดีมาก! ข้าเองก็เชื่อมั่นในพลังของเจ้า นี่คือป้ายของศิษย์ตรวจตราเมืองเสวียนจิงกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งนี้ อืม! ข้อมูลของศิษย์ตรวจตราคนก่อนที่หายตัวไปก็อยู่ในนี้ด้วย เจ้านำกลับไปดูเถอะ นอกจากนี้เจ้าต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในเมืองเสวียนจิงภายในสามเดือนนับตั้งแต่ได้รับป้ายนี้ มิเช่นนั้นจะถูกลงตามกฎของนิกาย” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยพยักหน้าแล้วหยิบป้ายหยกสี่เหลี่ยมสีขาวกับแผ่นหยกออกมาจากแขนเสื้อและส่งให้หลิ่วหมิง
“ทราบ! ศิษย์จะต้องไปถึงเมืองเสวียนจิงภายในระยะเวลาสามเดือนให้ได้” หลิ่วหมิงรับของทั้งสองอย่างมาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น
“ไม่มีเรื่องอะไรแล้วเจ้าก็ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากจะอยู่เงียบๆ” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวจบก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้แล้วหลับตาทั้งคู่ลงโดยไม่สนใจหลิ่วหมิงอีกเลย
ถึงแม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่หลังจากคารวะเสร็จแล้วก็ถอยออกไปจากอารามสีเงินด้วยท่าทีนอบน้อม
“ศิษย์พี่เหลย ท่านคิดที่จะมอบตำแหน่งตรวจตราเมืองเสวียนจิงให้ศิษย์หลานไป๋จริงๆ หรือ? ถ้าเกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว ไม่แน่อาจทำให้เกิดเรื่องหมางใจกับท่านได้” ร่างอรชรอ้อนแอ้นเดินออกมาจากหลังเสาต้นหนึ่ง
นางมีใบหน้าสวยงามราวกับหญิงสาวอายุยี่สิบกว่า และนางก็คืออาจารย์จิตวิญญาณสาขาระบำปีศาจที่มีนามว่า ‘หลินไฉอวี่’ ผู้นั้น
“ศิษย์น้องหลิน ข้ารู้ว่าเจ้าก็อยากจะแนะนำศิษย์ของเจ้าไปทำหน้าที่นี้ แต่ศิษย์ตรวจตราเมืองเสวียนจิงคนก่อนก็นับว่ามีพลังแข็งแกร่งมาก คาดไม่ถึงว่าเขาจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ข้าว่าเหตุการณ์ในเมืองเสวียนจิงซับซ้อนขึ้นทุกวัน ศิษย์น้องคิดจริงๆ หรือว่าคนที่ศิษย์น้องแนะนำมาจะเหมาะสมกว่าศิษย์หลานไป๋?” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยลืมตาทั้งคู่กวาดมองหญิงสาวใบหน้างดงามอยู่ครู่หนึ่ง และตอบคำถามนางแค่เพียงส่วนแรก
“มันก็ถูก ศิษย์ของข้าผู้นี้อายุใกล้จะเลยสามสิบแล้ว เพื่อที่จะได้ไอปีศาจบริสุทธิ์มาหนึ่งชุด ถึงได้คิดไปเสี่ยงภัยที่เมืองเสวียนจิง แต่ในเมื่อศิษย์พี่เหลยเห็นว่าศิษย์หลายไป๋เหมาะสมกว่า ก็คิดเสียว่าศิษย์น้องไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ก็แล้วกัน แต่เพราะเรื่องของเหลยเจิ้นทำให้ศิษย์พี่อยู่แต่ในสาขา แม้ว่าทางนิกายจะเรียกประชุมศิษย์พี่ก็ไม่ยอมเข้าร่วม เกรงว่ามันคงจะไม่ค่อยดีนัก!” หลินไฉอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! ดูท่าเรื่องแนะนำศิษย์จะเป็นเรื่องรอง ที่จริงศิษย์น้องได้รับคำสั่งจากท่านประมุขให้มาเกลี้ยกล่อมข้าใช่ไหม?” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“ในนิกายนี้ข้ากับท่านมีความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด ถ้าท่านประมุขไม่ให้ข้ามาแล้วจะให้ใครมาได้ล่ะ!” หลินไฉอวี่กล่าวโดยไม่ต้องคิดแม้แต่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องหลินก็ไปรายงานศิษย์พี่ด้วยว่าข้าไม่ได้เป็นอะไร แม้ว่าการเสียชีวิตของเหลยเจิ้นจะทำให้ข้ารู้สึกไม่ดี แต่ก็ไม่ถึงกับหน่วงเหนี่ยวเรื่องสำคัญของนิกาย เพราะถ้าข้าไม่ยินยอมตั้งแต่แรก ก็คงจะออกหน้าห้ามปรามไม่ให้เหลยเจิ้นไปแดนลึกลับแล้ว ในเมื่อข้าพนันแพ้ ข้าก็ย่อมยอมรับผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วย ทางตระกูลเหลยเองก็ไม่มีวันล้มลงเพราะศิษย์ผู้มีพรสวรรค์เพียงคนเดียว” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวอย่างไม่สนใจใยดี
“ดี! ได้ยินศิษย์พูดเช่นนี้ข้าก็พอใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องขอกลับไปรายงานศิษย์พี่ท่านประมุขก่อน” หลินไฉอวี่ได้ยินก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา
“ใช่สิ! ศิษย์พี่ท่านประมุขทำอย่างไรกับเรื่องของศิษย์ตนเองกับศิษย์หลานไป๋”
พอเห็นหญิงสาวกำลังจะไป ชายฉกรรจ์แซ่เหลยก็เอ่ยปากถามออกมา
“ศิษย์พี่ท่านประมุขเคยพูดเรื่องนี้กับศิษย์น้องอยู่ เพราะว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงศิษย์พี่กุย ศิษย์พี่จง และคนอื่นๆ ดังนั้นท่านประมุขเองก็ไม่อาจออกหน้าก้าวก่ายเรื่องนี้ได้ จึงได้ให้ศิษย์หญิงที่เป็นตัวชนวนเหตุของปัญหาผู้นั้นกลับไปที่ตระกูลของตนเองก่อน เรื่องนอกเหนือจากนี้คงต้องปล่อยไปตามน้ำ” หลินไฉอวี่ขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“ฮึ! ดูท่าไม่ว่าศิษย์หลานไป๋จะสร้างผลงานให้แก่นิกายมากแค่ไหน ศิษย์พี่ท่านประมุขก็ยังมีใจเอนเอียงให้กับศิษย์ของตน อะไรเรียกว่าปล่อยไปตามน้ำ ถ้าหากเกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ศิษย์น้องไป๋ก็ไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยได้ยินก็ทำเสียงฮึดฮัดก่อนที่จะกล่าวออกมา
“เฮ้อ! ศิษย์พี่ท่านประมุขเองก็ลำบากใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ด้วยคุณสมบัติของเกาชงมีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่จะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณอย่างพวกเราได้ แม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกก็มีโอกาสเป็นไปได้ ถึงแม้ศิษย์หลานไป๋จะสร้างผลงานให้นิกาย แต่ทางนิกายก็ได้มอบรางวัลที่สมควรมอบไปไม่ใช่น้อย คุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณของเขาค่อนข้างต่ำไปหน่อย ต่อให้มีร่างจิตวิญญาณปัญญาสวรรค์ แต่ถ้าไม่สามารถกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ก็ไม่สามารถมีอนาคตที่ดีได้ ศิษย์พี่ท่านประมุขคงไม่หยุดยั้งความแข็งแกร่งของนิกายเพียงเพราะศิษย์จิตวิญญาณแค่คนเดียวหรอก ดังนั้นสิ่งที่ท่านทำในตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ท่านทำอย่างสุดความสามารถแล้ว ตอนนี้นับว่าเป็นเรื่องดีที่ให้ศิษย์หลานไป๋ไปจากนิกาย ไม่แน่หลังจากที่เกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว อาจจะไม่สนใจเรื่องบุญคุณความแค้นนี้ก็เป็นได้” หญิงสาวแซ่หลินกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
“ถ้าหากเป็นเกาชงเมื่อสามปีก่อน ข้าอาจจะเชื่อ แต่ด้วยอุปนิสัยของเขาในตอนนี้น่ะหรือ…เฮ่อๆ! ช่างเถอะ! ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องนี้มาก แต่ถ้าเกาชงโทษข้าเพราะเรื่องศิษย์ตรวจตรานี้จริงๆ ล่ะก็ ศิษย์น้องคิดว่าข้าสนใจหรือ!” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา
……………………………………….