ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 162 เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ
- Home
- ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ
- ตอนที่ 162 เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ
ถึงแม้ภาพวาดของปรมาจารย์ลิ่วยินภาพนั้นจะเห็นแค่แผ่นหลัง แต่รูปร่างและการแต่งตัวเหมือนกับผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่มีผิด
แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร! ปรมาจารย์ลิ่วยินเป็นผู้ก่อตั้งนิกายปีศาจได้จากโลกนี้ไปเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว ทำไมถึงมาปรากฏตัวในสถานที่แปลกประหลาดนี้ได้
“นับว่าเจ้าฉลาดมากที่มองแค่แวบเดียวก็จำข้าได้ แต่ข้าไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของปรมาจารย์ลิ่วยิน เป็นเพียงแค่จิตรับรู้ส่วนหนึ่งที่เขาทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิตเท่านั้น” นักพรตวัยกลางคนได้ยินก็แสดงสีหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่เรียกท่านว่าปรมาจารย์ลิ่วยินก็คงไม่ผิด ไม่ทราบว่าที่นี่คือสถานที่ใด หรือว่าเป็นด้านในของกำแพงเก็บเงา?” หลิ่วหมิงเข้าใจในฉับพลัน และถามต่อด้วยความนอบน้อม
“ที่นี่ไม่ใช่ด้านในของกำแพงเก็บเงา แต่เป็นห้องจิตรับรู้ ในสมัยก่อนที่ลิ่วยินจะเสียชีวิตนั้น เขาได้ทิ้งจิตรับรู้ส่วนเล็กๆ ไว้ และสร้างห้องเพื่อให้จิตส่วนนี้อยู่โดยเฉพาะ ส่วนเจ้าเข้ามาในนี้ได้อย่างไรนั้นข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เพราะข้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจิตรับรู้ของลิ่วยินในสมัยก่อนเท่านั้น ไม่สามารถรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายนอกได้ เพียงแค่สัมผัสได้ว่าศิษย์คนใดสามารถสืบทอดวิชาของลิ่วยินได้ ข้าก็จะมอบผลประโยชน์ที่สอดคล้องกับการฝึกให้พวกเขาเท่านั้น เจ้าเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณ แต่กลับเข้ามาที่นี่ได้ มันช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก เจ้าบอกข้าหน่อยว่าก่อนหน้านั้นข้างนอกเกิดอะไรขึ้น” นักพรตวัยกลางคนจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยตาที่เป็นประกาย
หลิ่วหมิงได้ยินก็ใจเต้น “ตึกตัก!” ขึ้นมา
เขาไม่อาจบอกเรื่องฟองอากาศลึกลับแก่จิตของปรมาจารย์ลิ่วยินที่อยู่ตรงหน้าได้ แต่ถ้าจะใช้ข้ออ้างอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน เพราะเขาไม่รู้ว่า ‘ห้องจิตรับรู้’ นี้เป็นอย่างไร ซึ่งเขาไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
“ผู้น้อย…”
หลิ่วหมิงกะพริบตาสองสามครั้ง ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่างที่พอจะช่วยให้ถูไถไปได้นั้น ห้องทั้งห้องก็พลันสั่นไหวขึ้นมาทันที ผนังผลึกที่อยู่รอบด้านส่งเสียงแตกหักดังขึ้น จากนั้นรอยแตกร้าวก็ปรากฏขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ราวกับว่าอีกไม่นานห้องผลึกทั้งห้องจะแตกกระจายออกมา
“เป็นไปไม่ได้ ห้องจิตรับรู้นี้ใกล้จะพังทลายลงแล้ว” พอนักพรตวัยกลางคนที่ดูสงบนิ่งได้เห็นฉากนี้ก็หลุดปากพูดออกมา
“อะไรนะ ที่นี่ใกล้จะพังทลายแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตกใจเป็นอย่างมาก
“เป็นไปได้อย่างไร คิดไม่ถึงว่ามันจะถูกทำลายด้วยพลังจิตเหมือนกัน! แม้ว่าห้องจิตรับรู้นี้จะไม่ได้สร้างจากพลังจิตทั้งหมดของข้าในสมัยก่อน แต่ด้วยด้วยระดับความแข็งแกร่งของมัน ต่อให้เป็นผู้ฝึกในระดับแก่นแท้ก็ไม่อาจใช้พลังจิตทำลายสถานที่แห่งนี้ได้” นักพรตวัยกลางคนจ้องมองรอยแตกร้าวที่มีไอสีเทาที่รั่วไหลออกมา สีหน้าของเขาซีดขาวไม่มีเลือดเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงจ้องมองไอสีเทาที่รั่วไหลออกมาด้วยสีหน้าที่ดูประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
“ช่างคุ้นเคยกับกลิ่นไอที่ไอสีเทาเหล่านี้แผ่ออกมายิ่งนัก ดูเหมือนว่าจะเป็นกลิ่นไอในห้องว่างเปล่าที่ฟองอากาศลึกลับสร้างขึ้นมา หรือว่า…”
“ดูท่าครั้งนี้ข้าคงยากที่หลบพ้นด่านเคราะห์นี้ไปได้ ช่างเถอะ! ข้าอยู่ที่นี่มานานหลายพันปี พลังของกำแพงเก็บเงาก็ใกล้จะหมดสิ้นแล้ว อีกไม่นานก็ต้องจากไปเช่นกัน เพียงแต่ตอนนี้ต้องไปก่อนเวลาเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในเมื่อเจ้าเข้ามาในนี้ได้ก็แสดงว่าพวกเรามีวาสนาต่อกัน ไม่แน่อาจจะมีชีวิตรอดออกไปได้ ข้ามีสิ่งของมอบให้เจ้าชิ้นหนึ่ง เป็นตัวอ่อนจิตวิญญาณกระบี่ที่ข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจครึ่งชีวิตก็ยังไม่สามารถหลอมสร้างได้สำเร็จ รับปากข้า! หากเจ้ามีโอกาสล่ะก็ จงนำของสิ่งนี้ไปมอบให้ลูกหลานของข้าที่แผ่นดินจงเทียน จำไว้ให้ดี ของสิ่งนี้หลอมสร้างขึ้นมาจากโลหิตของข้า ด้วยเหตุนี้จึงมีเพียงแต่สายโลหิตของข้าเท่านั้นที่สามารถหลอมสร้างมันได้สำเร็จ และใช้งานมันได้ นิกายเดิมของข้าคือนิกายยอดบริสุทธิ์ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของแผ่นดินจงเทียน เพื่อเป็นการตอบแทนข้าจะถ่ายทอดวิชากระบี่บินที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาตัวอ่อนจิตวิญญาณกระบี่นี้ให้กับเจ้า จำไว้ให้ดี วิชากระบี่บินนี้แม้แต่นิกายของข้าก็ถือเป็นวิชาต้องห้าม เจ้าอย่าได้แสดงให้ใครดูง่ายๆ” เมื่อนักพรตวัยกลางคนเห็นว่าผนังผลึกรอบด้านเริ่มจะแตกร้าวออกมาเป็นชิ้นๆ เขากลับมีท่าทีที่สงบขึ้นมา หลังจากที่พูดกับหลิ่วหมิงอย่างรีบร้อนแล้ว ก็อ้าปากพ่นกระบี่เล็กที่มีแสงสีเหลืองอ่อนออกมา จากนั้นก็กดมันไว้กับหน้าอกของหลิ่วหมิงในทันที และมืออีกข้างก็โบกไปยังคัมภีร์สีทองบนโต๊ะหินที่อยู่มุมห้อง
“ฟู่!” แสงสีเขียวที่ปกคลุมอยู่บนโต๊ะหินแตกสลายทันที คัมภีร์สีทองเปลี่ยนเป็นรุ้งสีทองพุ่งยิงเข้ามา พริบตาเดียวมันก็มาหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรีบคว้าคัมภีร์สีทองไว้แน่น แต่คัมภีร์สีทองกลับพร่ามัวและจมหายเข้าไปในมือเขา
ตอนแรกเขารู้สึกตกตะลึง แต่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ผู้อาวุโส ข้าน้อยฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ ไม่ทราบว่าวิชาในอีกครึ่งท้ายมีอยู่ในนี้ด้วยหรือไม่…”
“อะไรนะ! เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ มิน่าล่ะ! วิชาชุดนั้นถึงได้บินออกไปเอง เคล็ดวิชากระดูกดำเป็นวิชาปีศาจโบราณที่ข้าได้มาโดยบังเอิญ ตอนนั้นข้าได้มาเพียงครึ่งแรกเท่านั้น ส่วนอีกครึ่งหลังคงต้องอาศัยวาสนาของเจ้าในการตามหาแล้ว แต่ตามที่ข้าทราบมาดูเหมือนว่าจะมีคนค้นพบเบาะแสของมันที่แผ่นดินจงเทียน ช่างเถอะ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะมอบเคล็ดวิชานี้ให้เจ้าก็แล้วกัน หลังจากที่เจ้าเข้าสู่ระดับของเหลวแล้วจะได้เปลี่ยนมาฝึกฝนวิชานี้ได้โดยตรง” นักพรตวัยกลางคนลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะถอนหายใจ และกล่าวออกมา จากนั้นก็โบกมือไปยังคัมภีร์สีดำที่หลิ่วหมิงเคยเห็นบนโต๊ะหินสีดำอีกตัวหนึ่ง
ม่านแสงสีเขียวแตกกระจายไปในทันที คัมภีร์สีดำก็พุ่งเข้ามาหา พริบตาเดียวมันก็จมหายเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิง
ร่างของนักพรตวัยกลางคนดูลางเลือนขึ้นมา ราวกับว่าเป็นเป็นค่าตอบแทนของการเอาคัมภีร์แต่ละเล่มออกมาจากม่านแสงนั้น
หลิ่วหมิงเห็นนี้ก็รีบกล่าวขอบคุณในทันที
นักพรตวัยกลางคนโบกมือมาทางหลิ่วหมิง และคิดที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็มีเสียงดังมาจากผนังผลึกรอบด้าน ในที่สุดมันก็พังทลายลงมาทั้งหมด ไอสีเทาจากทั่วทุกทิศพวยพุ่งมายังจุดศูนย์กลางราวกับคลื่นยักษ์ นักพรตวัยกลางคนและหลิ่วหมิงต่างก็จมอยู่ในนั้น
หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่าใจเต้นขึ้นมาหนึ่งที และจิตก็พร่ามัว จากนั้นตนเองก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้ากำแพงเก็บเงาสีฟ้าอีกครั้ง และตัวเขายังอยู่ในท่าที่กำลังเปลี่ยนท่ามือเพื่อเรียกวิชาป้องกันตัวอยู่
“นี่คือ…”
ถึงแม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้ แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งที่เห็นเมื่อครู่เป็นความจริงหรือแค่ภาพลวงตาเท่านั้น
เขากวาดสายตาไปยังกำแพงเก็บเงา ค้นพบว่าแสงสีฟ้ายังคงเปล่งประกายอยู่ ซึ่งไม่มีความแตกต่างจากก่อนหน้านั้นเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นำจิตจมดิ่งเข้าไปในร่าง จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
ฟองอากาศลึกลับยังคงเปล่งประกายอยู่ในทะเลจิตวิญญาณของเขา แต่นอกทะเลจิตวิญญาณกลับมีกระบี่เล็กสีเหลืองอ่อนอยู่เล่มหนึ่ง แต่ดูเหมือนกับว่ามันหวาดกลัวฟองอากาศลึกลับเป็นอย่างมาก มันได้แต่ล่องลอยอยู่บริเวณทะเลจิตวิญญาณ โดยไม่กล้าเข้าใกล้ฟองอากาศลึกลับเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงหลับตาทั้งสองลง แล้วกวาดจิตดูในทะเลจิตวิญญาณอีกครั้ง แสงลูกกลมสีฟ้าอ่อนสองลูกปรากฏออกมา หลังจากที่เขาใช้พลังจิตสัมผัสมัน มันทั้งสองก็หมุนติ้วๆ จนกลายเป็นคัมภีร์สีทองและสีดำอย่างละหนึ่งเล่ม
“เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่ง”
“เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ”
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะได้ยินชื่อทั้งสองวิชานี้เป็นครั้งแรก แต่ประจักษ์ชัดว่ามันต่างก็เป็นเคล็ดวิชาที่ยอดเยี่ยม
เขาให้พลังจิตแตะคัมภีร์สีทองด้วยความดีใจ และค่อยๆ พลิกเปิดทีละหน้า…
ขณะเดียวกัน ณ ห้องลับที่ซ่อนเร้นอยู่อีกด้านหนึ่งของหุบเขา ไม่รู้ว่าอาจารย์ปู่เยี่ยนที่เดิมทีหลับตาฝึกฝนอยู่นั้นลืมตาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะเดียวกันก็แสดงสีหน้างุนงงออกมา
ทันทีที่เขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ก็มีแผ่นค่ายกลสีฟ้าอ่อนปรากฏขึ้น หลังจากที่เอามือตบลงไปชั้นจำกัดแต่ละชั้นก็ปรากฏออกมา จากนั้นมันก็พร่ามัวเปลี่ยนเป็นใบหน้าของหลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิเงียบๆ อยู่หน้ากำแพงผลึก
อาจารย์ปู่เยี่ยนจ้องดูหลิ่วหมิงกับกำแพงผลึกอย่างละเอียดแล้วก็เอามือตบลงในแผ่นค่ายกล และแผ่นค่ายกลสีฟ้าก็กลับคืนรูปเดิมอีกครั้ง
“แปลกจริง! สิ่งที่ทำให้ใจข้าเต้นโครมครามเมื่อครู่นั้นคือสิ่งใดกัน หรือว่าช่วงนี้ข้ารีบร้อนฝึกฝนจนเกินไป จึงทำให้ใจไม่สงบ” หลังจากที่เขาพูดพึมพำไม่กี่ประโยคแล้วก็เก็บแผ่นค่ายกลเข้าไป จากนั้นก็หลับตาฝึกฝนต่อ
เช้าวันที่สอง เมื่อเด็กน้อยมาเปิดประตูตามเวลาที่กำหนด หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งอยู่หน้ากำแพงผลึกก็ลืมตาและลุกขึ้นมาในทันที
“ศิษย์พี่ไป๋ ได้เวลาแล้ว ท่านต้องไปจากหุบเขาแล้ว” เด็กน้อยชุดเหลืองเดินเข้ามากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณศิษย์น้องที่บอก ข้าเองก็คิดว่าได้เวลาแล้ว และคิดที่จะไปเหมือนกัน” หลิ่วหมิงเองก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“อ๋อ! ดูจากท่าทีของศิษย์พี่แล้ว ท่านไม่ได้อะไรจากกำแพงเก็บเงาหรือ?” เด็กน้อยเห็นเช่นนี้ก็ถามด้วยตาที่เป็นประกายอย่างอดไม่ได้
“ก็พอได้มาบ้าง มันเพียงแค่ช่วยคลายปมปัญหาของข้าได้ข้อหนึ่ง ทั้งยังไม่รู้ว่ามันจะได้ผลจริงๆ หรือไม่ ต้องกลับไปลองดูก่อนถึงจะสามารถยืนยันได้” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างคลุมเครือ
“อิๆ! ศิษย์พี่พอได้อะไรมาบ้างก็นับว่าไม่เลวแล้ว อาจารย์อา อาจารย์ลุงจำนวนมากเข้าไปทั้งคืนยังไม่ได้อะไรออกมาเลย” เด็กชายชุดเหลืองกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ! ข้าเองก็คิดเช่นนี้” หลิ่วหมิงหัวเราะออกมา
ต่อมาเด็กน้อยก็นำทางหลิ่วหมิงออกไปจากหุบเขา
จากนั้นเด็กน้อยผู้นี้ก็กลับมาในหุบเขาแล้วเข้าไปในห้องหินอีกครั้ง เขาเดินวนกำแพงเก็บเงาไปหนึ่งรอบ และลูบตรวจสอบอย่างละเอียด หลังจากที่พบว่าไม่มีปัญหาใดๆ แล้วเขาก็เดินกระหยิ่มยิ้มออกไป
สองวันผ่านไป หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวที่หอใหญ่บนยอดเขาเก้าทารก เขายืนเก็บมืออยู่หน้านักพรตแซ่จง กุยหรูฉวน และจูชื่อ
“ในเมื่อเจ้ามีแผนจะไปจากนิกายหลายปี พวกข้าเองก็ไม่อาจขัดขวางเจ้าได้ แต่ที่เจ้าไม่เลือกทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณในตอนนี้ ถือว่าเป็นเป็นการกระทำที่ฉลาดมาก เช่นนี้แล้วข้าเชื่อว่าหลังจากผ่านการฝึกฝนไปช่วงเวลาหนึ่ง ในอีกหลายปีข้างหน้าเจ้าจะมีความหวังในการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณที่เพิ่มมากขึ้น”
………………………………………