ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 163 หน้ากากพันหน้าและเคล็ดวิชาเปลี่ยนกระดูก
“ศิษย์ก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่รีบร้อนที่จะลงมือ!” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม
“แต่เมืองเสวียนจิงเป็นสถานที่ที่อันตรายสำหรับเจ้ามาก ก่อนเดินทางข้าจะมอบมุกเพลิงอัคคีให้เจ้าสามเม็ด เผื่อเจ้าต้องเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ” จูชื่อกล่าวเสร็จก็สะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะมีขวดเล็กๆ พุ่งออกมา
หลิ่วหมิงคว้าเอาขวดใบเล็กไว้ได้ก่อนที่จะกล่าวขอบคุณด้วยความดีใจ
มุกเพลิงอัคคีสามเม็ดที่จูชื่อให้ในครั้งก่อนนั้น ทำให้อสูรครึ่งมังกรได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ ถ้าหากได้มาอีกสามเม็ดล่ะก็พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
“ในเมื่ออาจารย์ลุงมอบสิ่งของให้เจ้าแล้ว ข้าเป็นถึงอาจารย์ก็ไม่อาจให้เจ้ากลับไปมือเปล่าได้ เอาอย่างนี้เถอะ! ข้ามีของล้ำค่าราคาสูงที่ข้าซื้อมาในสมัยก่อน มันสามารถเปลี่ยนใบหน้าได้ ข้าขอมอบมันให้กับเจ้า คิดว่าคงจะมีประโยคต่อการทำภารกิจที่เมืองเสวียนจิง” นักพรตแซ่จงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบเอาสิ่งของที่ดูคล้ายหน้ากากบางๆ ออกมาจากอกแล้วส่งให้หลิ่วหมิง
“ขอบคุณอาจารย์ นี่คือ…” หลิ่วหมิงรับสิ่งของมาอย่างนอบน้อม แต่หลังจากที่สังเกตดูแล้วกลับรู้สึกตกตะลึงอย่างอดไม่ได้
“เฮ่อๆ! คิดไม่ถึงว่าศิษย์น้องจะมอบ ‘หน้ากากพันหน้า’ นี้ให้ศิษย์หลานไป๋” นี่เป็นของล้ำค่าที่มีความพิเศษเป็นอย่างมาก เพียงแค่นำมันมาวางไว้บนใบหน้า และส่งพลังเวทย์เข้าไปเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเปลี่ยนใบหน้าของตัวเองได้ตามใจปรารถนา ทั้งยังแสดงกิริยาท่าทางได้แตกต่างกันออกไป ทำให้มันดูไม่แตกต่างจากคนทั่วไปเลยแม้แต่น้อย มีข้อเสียอย่างเดียวก็คือ หน้ากากนี้เป็นสิ่งของสิ้นเปลืองที่ใช้หินจิตวิญญาณหลายพันก้อนซื้อมา พอเริ่มใช้มันแล้วก็จะสามารถใช้ต่อได้อีกแค่สี่ถึงห้าปีเท่านั้น” กุยหรูฉวนเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“มีของสิ่งนี้แล้วศิษย์ก็สามารถปิดบังสถานะได้ง่ายขึ้น” หลิ่วหมิงได้ยินก็หันไปคารวะขอบคุณนักพรตแซ่จงด้วยความดีใจ
“ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์ของข้า ข้าเป็นถึงอาจารย์ก็ไม่อาจขี้เหนียวกับเจ้าได้ ศิษย์พี่กุย ข้ากับศิษย์พี่จูต่างก็มอบของให้แล้ว ท่านคงจะไม่ขี้เหนียวหรอกนะ” นักพรตแซ่จงชายตามองกุยหรูฉวนแล้วพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ! ถึงศิษย์น้องไม่พูด ข้าเป็นถึงอาจารย์ลุงก็ไม่อาจนิ่งเฉยได้ แต่คิดว่าศิษย์หลานคงไม่ขาดแคลนสิ่งของจำพวกยันต์และอาวุธอาญาสิทธิ์อยู่แล้ว เอาอย่างนี้เถอะ! ข้ามี ‘เคล็ดวิชาเปลี่ยนกระดูก’ ที่คิดค้นขึ้นมาเองมอบให้เจ้า มันสามารถเปลี่ยนแปลงกระดูกได้นานตามช่วงเวลาที่แน่นอน ถ้าหากฝึกฝนแล้วนำมาใช้กับหน้ากากพันหน้าก็จะสามารถปกปิดตัวตนได้อย่างแนบเนียนยิ่งขึ้น เจ้าจะยอมฝึกมันหรือไม่?” กุยหรูฉวนกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณอาจารย์ลุงที่มอบให้ ศิษย์ยินดีที่จะฝึกมัน” หลิ่วหมิงได้ยินก็โค้งตัวตอบรับด้วยความดีใจ
“ดี! เคล็ดวิชาชุดนี้ถูกบันทึกอยู่ในกระดาษแผ่นนี้ เจ้าเอามันไปจดจำแล้วก็ทำลายมันซะ” กุยกรูฉวนพยักหน้า จากนั้นก็หยิบกระดาษสีเหลืองอ่อนที่เต็มไปด้วยอักขระออกมาจากอก แล้วยื่นให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรีบก้าวไปรับกระดาษแผ่นนี้
“นอกจากนี้ยังมีโอสถถอนพิษระดับสูงอยู่ขวดหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะว่าเจ้าสัมผัสโดนพิษที่ไม่สามารถถอนได้ตามคำร่ำลือล่ะก็ เชื่อว่ามันคงเพียงพอที่จะถอนพิษได้หลายชนิด” กุยหรูฉวนพลิกมือข้างหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับขวดเล็กๆ สีเขียวหยกใบหนึ่ง แล้วโยนไปให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรับขวดเล็กๆ ใบนี้มาอย่างนอบน้อม และกล่าวขอบคุณไม่หยุด
ต่อมากุยหรูฉวนกับจูชื่อก็กำชับหลิ่วหมิงอีกไม่กี่ประโยค จากนั้นก็พากันจากไป
พริบตาเดียวในหอใหญ่ก็เหลือเพียงแต่เขากับนักพรตแซ่จงเท่านั้น
“ชงเทียน ก่อนหน้านั้นที่เจ้าพูดว่ามีเรื่องอยากบอกกับอาจารย์คือเรื่องใดกัน ทำไมถึงมาบอกก่อนจะไป” พอนักพรตแซ่จงเห็นกุยหรูฉวนกับจูชื่อจากไปแล้ว ก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ที่จริงแล้วศิษย์อยากจะบอกเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของศิษย์…” หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“ตัวตนที่แท้จริง! หมายความว่าอย่างไร?” นักพรตแซ่จงได้ยินก็มีสีหน้าแปลกใจเป็นอย่างมาก
“ที่จริงศิษย์ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลไป๋ และก็ไม่ได้มีนามว่า ‘ไป๋ชงเทียน’ แต่ศิษย์แซ่หลิ่ว มีนามว่าหมิง และเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ข้าเกิดมา…” หลิ่วหมิงเล่าออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงเหาะลงไปจากยอดเขาด้วยท่าทีสบายใจ นักพรตแซ่จงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในหอใหญ่กลับมีสีหน้าที่ขมขื่นขึ้นมา
“คาดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กคนนี้จะมีความเป็นมาที่ซับซ้อนขนาดนี้ จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กก็ไม่เชิง ดูท่าอาจารย์อย่างข้าคงต้องออกหน้าเข้าช่วยถึงทำเรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่องเล็กได้ ดีที่เจ้าเด็กนี่ช่วยสร้างผลงานให้กับนิกาย ทั้งยังโดนบีบให้ไปจากนิกาย คาดว่าคนเหล่านั้นคงจะยอมปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปได้” นักพรตแซ่จงพึมพำกับตัวเองไปไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะลุกขึ้นมาแล้วเดินออกไปจากหอใหญ่
ขณะนี้หลิ่วหมิงกลับถึงที่พักแล้ว หลังจากเก็บของเล็กน้อยก็เหาะออกไปจากเขาเก้าทารก
สามชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเมฆเทา เขากำลังเดินทางห่างออกไปจากนิกายปีศาจได้ร้อยลี้
ตอนนี้เขากำลังตรวจสอบแผนที่ที่มือข้างหนึ่งถืออยู่ ผ่านไปครึ่งค่อนวันถึงได้พูดพึมพำออกมา
“ไปตระกูลไป๋จำต้องอ้อมไปไกลอีกเล็กน้อย แต่ถ้าจัดการเรื่องนี้ได้เร็วก็สามารถไปบ้านเกิดของอาเฉียนได้ เมื่อจัดการเรื่องที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้วค่อยไปเมืองเสวียนจิงก็ยังไม่สาย”
พอกล่าวจบเขาก็เก็บแผนที่ และหยิบแผ่นเข็มทิศออกมาหาทิศทาง จากนั้นเขาก็พยักหน้าพร้อมกับเก็บมันเข้าไปเหมือนเดิม และหยิบ ‘เคล็ดวิชาเปลี่ยนกระดูก’ ที่กุยหรูฉวนมอบให้แผ่นนั้นออกมาทำความเข้าใจ
เคล็ดวิชานี้นอกจากสามารถเปลี่ยนกระดูกให้ยาวสั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์แล้วก็ไม่มีประโยชน์เพิ่มเติมใดๆ อีก ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่ซับซ้อนมากนัก
ด้วยระดับสติปัญญาของหลิ่วหมิง ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็ทำความเข้าใจได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
เขาก็เก็บกระดาษแผ่นนั้นเข้าไป มือทั้งสองทำท่ามือแล้วร่ายคาถากระตุ้นพลังเวทย์ ทันใดนั้นทะเลจิตวิญญาณของเขาก็หมุนวนติ้วๆ กระแสความร้อนแผ่กระจายไปทั่วร่าง
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็ตะโกนเสียงต่ำพร้อมกับมีเสียงราวกับจุดประทัดดังมาจากร่างเขา พอสะบัดไหล่ร่างของเขาก็สูงขึ้นมาหนึ่งศีรษะกว่าๆ รูปร่างของเขาสูงใหญ่ขึ้นเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงลุกขึ้นยืนบนเมฆเทาแล้วสังเกตดูรูปร่างของตนเอง และขยับแขนขาไปมา หลังจากว่าไม่มีปัญหาใดๆ ก็ทำท่ามืออีกครั้ง ขณะเดียวกันเสียงเปรี๊ยะๆ ก็ดังขึ้นมา พร้อมกับร่างที่ลดขนาดลงไปเท่าตัว ตอนนี้ร่างของเขาผอมเล็กเป็นอย่างมาก
ความดีใจปรากฏอยู่เต็มใบหน้าของเขา เมื่อเขากระตุ้นเคล็ดวิชาอีกครั้งร่างของเขาก็กลับมาเป็นปกติ จากนั้นก็นำกระดาษออกมาอ่านอีกหลายรอบแล้วก็ตบลงไปบนนั้น
“ฟู่!” กระดาษถูกเปลวไฟแผดเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า
จากนั้นเขาถึงนำจิตเข้าไปกวาดดูข้างในทะเลจิตวิญญาณ
ฟองอากาศลึกลับยังคงเปล่งประกายแวววาวอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ!
คิ้วหลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดขึ้นมา
ตั้งแต่ฟองอากาศลึกลับปรากฏตัวขึ้นเมื่อหลายวันก่อน มันก็ไม่หายไปเหมือนกับก่อนหน้านั้น และยังไม่มีการดูดกลืนพลังเวทย์ใดๆ แต่กลับเคลื่อนไหวแปลกประหลาดอยู่ในทะเลจิตวิญญาณไม่หยุด
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
พอกลับมาจากหุบเขา เขาก็เคยใช้พลังเวทย์กับพลังจิตไปสัมผัสมันอยู่หลายครั้ง แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
และพอเขานึกถึงห้องจิตรับรู้ที่สร้างมาจากพลังจิตของปรมาจารย์ลิ่วยินถูกพื้นที่ว่างเปล่าสีเทากลืนกินนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกฉงนมากกว่าเดิม เป็นการยากที่จะจินตนาการถึงที่มาของฟองอากาศลึกลับกับพื้นที่ว่างเปล่าสีเทาได้ ไม่คาดคิดว่ามันจะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้
แต่เขาคิดมาหลายปีแล้วก็ยังคิดไม่ออก ภายในระยะเวลาสั้นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่สามารถทำความเข้าใจได้อย่างชัดแจ้งได้
หลิ่วหมิงได้แต่ส่ายศีรษะแล้วละสายตาไปยังกระบี่เล็กสีเหลืองอ่อนที่สงบนิ่งอยู่ข้างทะเลจิตวิญญาณ จากการศึกษาเมื่อหลายวันก่อนทำให้ทราบว่า ‘ตัวอ่อนจิตวิญญาณกระบี่’ นี้ไม่ใช่วัตถุที่มีตัวตนจริงๆ แต่มันเป็นการรวมตัวกันของพลังบางอย่าง อีกอย่างปรมาจารย์ลิ่วยินยังบอกว่าเขาไม่สามารถบีบหรือกระตุ้นให้มันออกมาได้
ดีที่ดูเหมือนว่าของสิ่งนี้ไม่มีอันตรายใดๆ ดังนั้นเขาจึงยอมให้มันอยู่ในร่าง
ส่วนเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนั้นเขาเคยดูผ่านๆ ไปรอบหนึ่ง แต่สิ่งที่บันทึกไว้ในนั้นค่อนข้างล้ำลึกเกินไป ไม่สามารถทำความเข้าใจภายในระยะเวลาอันสั้นๆ ได้
แต่เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกลับมีบันทึกเกี่ยวกับการฝึกฝนกระบี่บินอยู่
ส่วนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ กลับดูเหมือนเป็นวิชาการฝึกร่างที่แข็งแกร่งมาก คล้ายกับว่าถ่ายทอดเป็นสายเดียวกันกับเคล็ดวิชากระดูกดำ ดูเหมือนว่าจะสามารถควบคุมปีศาจได้โดยเฉพาะ
แต่น่าเสียดายที่เคล็ดวิชานี้ต้องรอเข้าสู่ระดับของเหลวก่อนจึงจะสามารถฝึกฝนได้
แค่เคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งกลับไม่มีข้อจำกัดนี้ รอทำความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งแล้ว เขาก็สามารถเลือกฝึกฝนวิชาพื้นฐานที่มีในนั้นได้
แต่ทั้งหมดนี้ต้องรอเขาไปหาที่พำนักในเมืองเสวียนจิงได้แน่นอนแล้ว ถึงจะดำเนินการได้
สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือรีบไปถึงตระกูลไป๋ให้ไวที่สุด และจัดการเรื่องสถานะของเขากับเรื่องการแต่งงานกับมู่หมิงจูให้เรียบร้อยเสียก่อน
ก่อนเดินทางมาเขาได้บอกเรื่องการสวมรอยเป็นไป๋ชงเทียนของตนเองให้นักพรตแซ่จงฟังแล้ว และอาจารย์ของเขาก็รับปากจะช่วยจัดการเรื่องนี้ให้กับเขา
เช่นนี้เขาก็ตกอยู่ในสถานะที่ไม่พ่ายแพ้แล้ว ตอนนี้เขามีเงื่อนไขพร้อมที่จะไปจัดการปัญหาเหล่านี้ที่ตระกูลไป๋
และด้วยสถานะกับพลังของเขาในตอนนี้ ลำพังแค่ตระกูลไป๋ที่มีศิษย์จิตวิญญาณแค่คนเดียวจะสามารถทำอะไรเขาได้
หลิ่วหมิงคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็รีบกระตุ้นพลังเวทย์ในทันที เพื่อทำให้เมฆเทาก็เหาะเร็วขึ้นมากกว่าเดิม และพุ่งออกไปยังที่ไกลๆ
ตอนเย็น ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมืดนั้นต่อให้หลิ่วหมิงจะเก่งกาจและใจกล้าแค่ไหน ก็ไม่คิดที่จะเดินทางไปต่อ
เขาหายอดเขาจากสันเขาเปลี่ยวด้านล่างแล้วร่อนลงไป จากนั้นก็สร้างโพรงหินที่เรียบง่ายเพื่อใช้พักผ่อนนั่งสมาธิและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น
แต่พอถึงเวลายามสาม หลิ่วหมิงที่กำลังเข้าฌานอยู่พลันรู้สึกได้ถึงความร้อนจากฟองอากาศลึกลับที่อยู่ในทะเลจิตวิญญาณ จากนั้นพลังจิตอันแข็งแกร่งก็โหมกระหน่ำออกมาโดยไม่มีลางสังหรณ์มาก่อน พริบตาเดียวมันวิ่งขึ้นไปยังศีรษะของหลิ่วหมิง
……………………………………….