ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 181 จวนเฉิน
วัสดุจิตวิญญาณที่ใช้หลอมกระบี่และดาบโดยทั่วไป ล้วนไม่เป็นที่สนใจของผู้ฝึกกระบี่
ถึงแม้เหล็กแสงเย็นทะเลลึกที่กุยหรูฉวนและคนอื่นๆ ได้มาในตอนนั้น พอที่จะใช้เป็นวัสดุกระบี่บินพลังจิตวิญญาณได้ แต่ผู้ฝึกกระบี่ระดับสูงกว่าครึ่งหนึ่งก็ยังไม่ถูกใจมากนัก
วัสดุกระบี่บินที่เหมาะสมในโลกนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง และความสามารถทั้งหมดของผู้ฝึกกระบี่จะขึ้นอยู่กับกระบี่บินด้วย
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่จำนวนไม่น้อยที่พอเห็นว่าไม่มีหวังจะหาวัสดุที่เหมาะสมได้ ก็ใช้วัสดุทั่วไปมาหลอมเป็นตัวกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ แต่มักจะต่อสู้กับศัตรูอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าใช้กระบี่บินนี้โดยง่าย
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ฝึกกระบี่บางคนยังกังวลความปลอดภัยของตนเอง จึงละทิ้งการหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ และหาอาวุธจิตวิญญาณประเภทกระบี่ที่ค่อนข้างโดดเด่นมาปรับแต่ง ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้กระบี่บินของพวกเขาจะลดอานุภาพไปมาก แต่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องที่กระบี่ถูกทำลาย แล้วคนจะถูกทำลายไปด้วย
ด้วยระดับการฝึกฝนของหลิ่วหมิง เขาไม่จำเป็นต้องกังวลกับปัญหาการหลอมกระบี่พลังจิตวิญญาณประเภทนี้เลยแม้แต่น้อย และการบ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณของตนเองก่อน เป็นเรื่องที่เขาสามารถทำได้
หลิ่วหมิงให้ความสนใจต่อเส้นทางการฝึกฝนกระบี่ตามคำเล่าลือมานานแล้ว พอได้เคล็ดกระบี่ปราณแกร่งเล่มนี้มา เขาย่อมไม่ละทิ้งการฝึกฝนอย่างแน่นอน
ตามที่กล่าวไว้ในเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่ง ตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณนี้เป็นแค่พลังงานเท่านั้น เพียงแค่ใช้งานมันครั้งเดียว ก็ทำให้เขาอ่อนแอลงเล็กน้อย อานุภาพยังห่างจากกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่มีโลหิตบริสุทธิ์กับวิญญาณซึมซับอยู่อย่างเทียบไม่ติด แต่หลังจากกระตุ้นมัน มันก็สามารถหั่นทองสะบั้นหยก ฆ่าคนได้ในรัศมีร้อยจั้ง โดยที่อาวุธจิตวิญญาณทั่วไปไม่สามารถต่อต้านได้
แน่นอนว่าการเลี้ยงดูตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณประเภทนี้ เป็นเรื่องที่ต้องทุ่มเทสติปัญญาและกำลังเป็นอย่างมาก
กล่าวกันว่าตัวอ่อนกระบี่ที่ใส่ลงไปในตัวกระบี่บิน ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปี อย่างมากสามสิบถึงสี่สิบปีถึงจะทำได้สำเร็จ มันขึ้นอยู่กับเวลาที่ใช้ และระดับของฝึกฝนของแต่ละบุคคล
และถ้าใส่ตัวอ่อนกระบี่เข้าไปในตัวกระบี่แล้ว เจ้าของก็ยังสามารถบ่มเพาะต่อได้ อานุภาพของมันแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ โดยไม่มีข้อจำกัด
ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกกระบี่ระดับสูงบางคนที่หาวัสดุเหมาะสมไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณในร่างของพวกเขาคงมีอานุภาพน่ากลัวจนยากจะหยั่งรู้ได้
พอหลิ่วหมิงอ่านมาถึงประโยคนี้ เขาจึงพอจะเข้าใจอานุภาพอันแข็งแกร่งของกระบี่เล็กสีเหลืองอ่อนในร่างเล่มนั้น มันทำให้เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ด้วยระดับการฝึกฝนของปรมาจารย์ลิ่วยิน กอรปกับการบ่มเพาะจนสิ้นอายุขัยของเขา เกรงว่าในแคว้นต้าเสวียนนี้คงไม่มีใครสามารถต้านทานการโจมตีของตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณอันน่ากลัวนี้ได้
ช่างน่าเสียดาย! ตามที่บรรยายไว้ในเคล็ดกระบี่บิน เงื่อนไขที่สามารถกระตุ้นตัวอ่อนกระบี่บินได้มีเพียงแค่สองเงื่อนไขเท่านั้น
เงื่อนไขแรกคือ คนที่มีสายเลือดเดียวกับผู้บ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณสามารถกระตุ้นมันได้โดยง่าย อีกเงื่อนไขหนึ่งคือผู้ที่มีพลังจิตแข็งแกร่งกว่าเจ้าของก็พอจะกระตุ้นมันได้เช่นกัน
เงื่อนไขแรก นอกจากเจ้าของที่บ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่จิตกับลูกหลานของเขาแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่สามารถใช้พลังของมันได้ เงื่อนไขหลัง ต้องเป็นผู้ที่มีพลังจิตแข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์ลิ่วยิน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก
ถึงแม้หลิ่วหมิงจะสนใจตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณที่อยู่ในร่าง แต่ก็ทำได้แค่ละทิ้งความคิดนี้ไป รอบ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณของตนเองก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ตามที่บรรยายไว้ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง วิธีการบ่มเพาะที่แตกต่างกันก็จะได้ตัวอ่อนกระบี่ที่แตกต่างกัน ประกอบกับวัสดุที่ใช้หลอมตัวกระบี่แตกต่างกัน ก็จะทำให้กระบี่บินที่หลอมสำเร็จแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
เห็นได้ชัดว่าเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งเป็นเคล็ดกระบี่ขั้นสุดยอด ตามวิธีการที่บันทึกไว้ในนั้น ตัวอ่อนกระบี่ที่ที่บ่มเพาะออกมาถูกเรียกชื่อว่า ‘ตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่ง’ อานุภาพร้ายแรงมากจนกระบี่ตัวอ่อนโดยทั่วไปไม่สามารถเทียบได้
น่าเสียดายที่ขั้นตอนแรกของการบ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่นี้ จำเป็นต้องรวบรวมสุดยอดโลหะเหล็ก ซึ่งเป็นวัสดุที่หลิ่วหมิงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ดูดซับพลังธาตุทองที่มีอยู่ในนั้น ก่อนที่จะดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
เรื่องนี้เขาเคยสอบถามกับเฉียนเชามาก่อนแล้ว แต่เจ้าของเรือนร้อยวิญญาณผู้นี้ก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่เขารับปากจะช่วยสืบหาว่ามีขายอยู่ที่ใดบ้าง ซึ่งดูเหมือนจะไม่สามารถหาเบาะแสได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ดีที่เขายังไม่เข้าใจวิธีการบ่มเพาะตัวอ่อนกระบี่ได้ถึงแก่นแท้ จึงไม่ได้รีบร้อนอะไรมาก
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญเช่นนี้อยู่ในใจ และหลับตาทำความเข้าใจเคล็ดวิชาชุดนี้ไปด้วย
เวลาหนึ่งคืนค่อยๆ ผ่านไป
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงก็ไปตรวจดูเฉียนหรูผิงอีกรอบ เมื่อแน่ใจว่าร่างกายของนางไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว ก็กำชับให้นางฝึกฝนอยู่ในห้อง ส่วนตัวเองก็ออกไปจากจวนเฉียน
ครั้งนี้เขาวางแผนไปดูตลาดใต้ดินของเสวียนจิงที่ได้ยินชื่อเสียงมานาน
ตลาดแห่งนี้แตกต่างจากตลาดอื่นๆ เพราะว่านิกายไม่ได้ส่งคนมาควบคุมดูแล ดังนั้นย่อมไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยใดๆ ด้วยเหตุนี้ในตลาดจึงมักจะมีของหายากที่ตลาดอื่นไม่มี ผู้มีอิทธิพลอย่างเรือนร้อยวิญญาณกับหอรวมสมบัติก็มีร้านค้าของตนเองจัดตั้งอยู่ในตลาดแห่งนี้ด้วย
แต่ก่อนหน้าที่เขาขี่ม้าผ่านถนนสายหนึ่ง สายตาก็เหลือบไปเห็นเครื่องหมายแปลกๆ ในตรอกแห่งหนึ่ง จึงได้หรี่ตามองดูทันที
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงปลอมเป็นนักพรตวัยกลางคนอีกครั้ง แล้วเข้าไปในตรอก เพื่อมุ่งตรงไปยังร้านขายโลงที่เขามาในครั้งก่อน
พอเจ้าของร้านที่เป็นชายหลังค่อมเห็นหลิ่วหมิงก็ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย เพียงแค่ปิดประตูร้านด้วยความชำนาญ จากนั้นก็นำหลิ่วหมิงไปห้องที่อยู่ข้างหลังโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ผ่านไปไม่นานหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวอยู่ในห้องลับใต้ดินที่ลึกลงไปหลายสิบจั้ง และมายืนอยู่กลางค่ายกลด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ค่ายกลใหญ่เล็กทั้งสองถูกกระตุ้นพร้อมกัน
หลังจากที่แสงหลากสีบนแท่นหินเปล่งประกายออกมา เขาถึงเก็บมือทั้งสอง และขมวดคิ้วพูดกับตนเอง
“ถนนซีเฟิง ผู้ตรวจการเฉิน! อาจารย์ลุงเหลยคิดอย่างไรกันแน่ ข้อมูลแค่นี้บอกข้าตอนออกเดินทางก็ได้แล้ว ทำไมต้องรอให้ข้ามาถึงเสวียนจิงก่อนแล้วบอกข้าผ่านค่ายกลด้วยล่ะ ดูท่าต้องรออีกสองสามวันถึงจะไปตลาดได้ ทำเรื่องที่อาจารย์อาเหลยสั่งให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวก่อนที่จะแตะไปยังแท่นหินเบาๆ
เสียงค่ายกลใหญ่เล็กทั้งสองหยุดชะงักลง และค่ายกลก็หยุดการทำงาน
หลิ่วหมิงหมุนตัวเดินออกไปจากห้องลับ
หนึ่งชั่วยามต่อมา เขตที่พักอาศัยหนึ่งในเสวียนจิงที่มีกำแพงอิฐสีแดงล้อมรอบอยู่ รถม้าคันหนึ่งกำลังวิ่งมาตามถนนสายที่กว้างเป็นพิเศษ และค่อยๆ หยุดลงตรงปากทางเข้าตรอกแห่งหนึ่ง
พอประตูรถม้าเปิดออก หลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นบัญฑิตหนุ่มก็กระโดดลงจากในนั้น เขากวาดสายตามองตรอกด้านหน้าครู่หนึ่ง แล้วก็ก้าวยาวๆ เดินเข้าไป
ตรอกนี้ลึกมาก แต่ในนั้นกลับมีประตูใหญ่แค่ห้าหกบาน หน้าประตูมีหินสลักสิงโต หินสลักพยัคฆ์ และหินสลักอื่นๆ ที่มีขนาดต่างๆ ตั้งวางอยู่
เห็นได้ชัดว่าเจ้าของที่นี่ต้องเป็นคนร่ำรวยเป็นอย่างมาก และเขายังสามารถได้ยินเสียงของข้ารับใช้ในจวนเบาๆ
หลิ่วหมิงเดินไปข้างหน้าสองสามหลัง จนไปถึงส่วนลึกสุดของตรอก และมายืนอยู่หน้าประตูใหญ่บานสุดท้าย เขาแหงนหน้ามองอแผ่นป้ายที่แขวนอยู่บนนั้น
บนแผ่นป้ายมีตัวอักษรสองคำ ‘จวนเฉิน’ ที่เขียนด้วยผงสีเงิน
เมื่อเทียบกับจวนหลายหลังในก่อนหน้านั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าจวนเฉียนหลังนี้เปล่าเปลี่ยวกว่ามาก ไม่เพียงแต่พื้นหน้าจวนจะเต็มไปด้วยฝุ่น ด้านหลังประตูที่ปิดสนิทก็เงียบสงัดเป็นอย่างมาก
พอหลิ่วหมิงสังเกตดูแล้วก็เดินหน้าไปสองสามก้าวอย่างไม่ลังเล และใช้มือเคาะห่วงสัมฤทธิ์บนประตูเบาๆ
“ปังๆ!” เสียงจากประตูใหญ่ดังขึ้น
ผ่านไปตั้งนานประตูใหญ่ก็ยังคงเงียบงัดดังเดิม ดูเหมือนว่าจะไม่มีคนมาเปิดประตูเลย
หลิ่วหมิงตาเป็นประกายเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังคิดว่าควรจะบุกเข้าไปดีหรือไม่นั้น ประตูใหญ่ที่อยู่เยื้องออกไปก็เปิดออกมา ชายที่ดูเหมือนเป็นข้ารับใช้ยื่นหน้ามามองอยู่ครู่หนึ่ง
แต่พอเขาเห็นหลิ่วหมิงยืนอยู่หน้าจวนเฉินและหันมามองหน้าเขา เขาก็รีบหดหัวเข้าไปด้วยความตกใจ
ชายหนุ่มรู้สึกแค่ว่ามีเงาร่างเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า แล้วหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวออกมาราวกับปีศาจ และยังใช้มือข้างหนึ่งกดบานประตูไว้ ประตูที่ถูกปิดไปครึ่งหนึ่งก็หนักจนไม่สามารถขยับได้
“เจ้าจะทำอะไร ที่นี่เป็นจวนของใต้เท้าหวัง ไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะมากำเริบเสิบสานได้” ข้ารับใช้ผู้นี้กล่าวด้วยความโมโห
“ใต้เท้าหวัง ไต้เท้าหลี่อะไรข้าไม่สน ข้าต้องการถามเพียงอย่างเดียว ทำไมจวนเฉินถึงได้ว่างเปล่าเช่นนี้ ผู้คนไปไหนกันหมด?” หลิ่วหมิงถามด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ขณะเดียวกันก็ออกแรงกดประตูเล็กน้อย
เสียงดัง “ฉับ!”
ประตูใหญ่ที่ดูแข็งแรงเป็นพิเศษถูกหักออกมาส่วนหนึ่ง
ข้ารับใช้ผู้นั้นรีบเปิดประตูในทันที และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นท่านผู้ฝึกปราณ ตั้งแต่ผู้ตรวจการเฉินถูกจับขังเรือนจำ จวนเฉินก็ถูกราชสำนักเรียกคืนเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ได้ยินมาว่าผู้คนในจวนเช่าบ้านอยู่ทางทิศตะวันตกห่างที่นี่ไปสองถนน ถ้าท่านอยากไปหาล่ะก็ ไปถึงที่นั่นก็จะพบกับฮูหยินเฉินและคนอื่นๆ เอง”
“เจ้ารู้ที่อยู่บ้านเช่าที่ชัดเจนกว่านี้ไหม?” หลิ่วหมิงถามอย่างราบเรียบ
“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่ค่อยรู้ชัดเจนมากนัก แต่ในจวนเฉินมีข้ารับใช้เก่าแก่อยู่คนหนึ่ง ทุกวันตอนเที่ยงจะไปร้านขายข้าวสารบริเวณหัวถนนเพื่อซื้อของกินกลับไป ถ้าท่านไปรอที่ร้านข้าวสารล่ะก็ คงจะได้พบกับเขา” ข้ารับใช้กล่าวอย่างนอบน้อม
หลิ่วหมิงพยักหน้า และเคลื่อนไหวทีเดียวก็ออกไปไกลหลายจั้ง จากนั้นเขาก็เดินไปยังทางเข้าตรอก
ข้ารับใช้ถอนหายใจยาวออกมา และรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว แต่พอเขาหันตัวกลับไป กลับค้นพบว่ามีชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีเขียวเข้มยืนอยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกล ใบหน้าเขาน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
“นายท่าน?” ข้ารับใช้รีบเดินเข้าไปโค้งคำนับ
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเมื่อครู่ถึงได้ยินเสียงคนคุยกัน เจ้าพูดจากับใครอยู่?” ชายวัยกลางคนถามด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์มากนัก
“เรียนนายท่าน เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ดูเหมือนว่าจะมีแขกมาหาจวนเฉินที่อยู่ฝั่งตรงข้าม…” ข้ารับใช้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับนายท่านของตนเองฟัง
“ผู้ฝึกปราณ! เจ้าสามารถยืนยันได้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ฝึกปราณ?” ชายวัยกลางคนฟังจบก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา
“นายท่าน ถ้าไม่ใช่ผู้ฝึกปราณ ประตูบ้านเราจะกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร” ข้ารับใช้ชี้ไปที่รอยแหว่งตรงประตู แล้วรีบกล่าวออกมา
……………………………………….