ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 186 ชิวหลงจื่อ
“ท่านก็เป็นแขกระดับจิตวิญญาณทองคำ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากออกมา
“ไม่ผิด ข้าคือชิวหลงจื่อ หนึ่งในสี่ผู้บัญชาการแขกระดับจิตวิญญาณทองคำ เมื่อวานข้าได้รับรายงานจากลูกน้องสองคน ว่ามีสหายศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบผู้หนึ่งปรากฏตัวในเสวียนจิง ข้ารู้สึกคันไม้คันมืออยากจะมาแลกมือกับสหายเล็กน้อย” ชายฉกรรจ์ผมสีฟ้าหนวดสีม่วงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา สีหน้าเยือกเย็นแต่เดิมอันตรธานหายไปจนหมดสิ้น
“อ๋อ! พูดอย่างนี้แสดงว่าท่านไม่ได้มาเพราะเรื่องใต้เท้าซุน?” หลิ่งหมิงได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เฮ่อๆ! ข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว นักโทษทั้งสองที่เจ้าพาไปเป็นแค่ขุนนางเล็กๆ ที่ไม่มีความสำคัญอะไรสำหรับราชสำนักเลย จะคู่ควรให้ข้าออกโรงเองได้อย่างไร สหายวางใจเถอะ! ในเมื่อสองคนนี้มีความสัมพันธ์กับเจ้า ไม่ว่าก่อนหน้านั้นพวกเขาจะโดนโทษต้องขังด้วยเหตุอันใดก็ตาม ขอเพียงไม่ปรากฏตัวในเสวียนจิง ข้ารับรองว่าจะไม่มีคนไปหาเรื่องพวกเขาทั้งสองตระกูลโดยเด็ดขาด” ชิวหลงจื่อหัวเราะแปลกๆ ก่อนกล่าวออกมา
“ในเมื่อสหายชิวจะมาหาข้าเพื่อแลกมือจริงๆ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปทางนั้นกันดีไหม ถนนสายหลักบริเวณนี้จะได้ไม่ถูกทำลาย” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูรถม้าของใต้เท้าซุนที่อยู่ด้านล่างแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา สหาย เชิญ!” ชิวหลงจื่อกล่าวอย่างไม่ลังเล เขากระตุ้นเมฆเทาเพื่อเหาะไปยังป่าผืนเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล
หลิ่วหมิงส่งเสียงกำชับไปยังด้านล่างแล้วขยับตัวตามไป
ไม่นานทั้งสองก็ยืนอยู่บนอากาศเหนือแมกไม้ และจ้องมองกันจากที่ไกลๆ
ชิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วกล่าวออกมา
“ท่านระวังหน่อยนะ พลังของข้าธรรมดา แต่เชี่ยวชาญวิชาแมลงพิษ ขอเพียงสหายสามารถต้านทานแมลงพิษข้าได้ ข้าจะยอมแพ้การประลองในครั้งนี้”
พอพูดจบ เขาก็สวมถุงมือหนังที่มือทั้งสองไว้ จากนั้นก็คว้าไปยังถุงหนังบนเอวก่อนที่จะยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา
เสียงหวึ่งๆ ดังขึ้นในอากาศ แมลงสีเขียวมรกตบินว่อนออกมาเป็นจำนวนมาก และบินวนรอบกายของชิวหลงจื่ออยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสองจนมองเห็นรูปร่างของแมลงเหล่านี้อย่างชัดเจน มันคือแมลงปอสีเขียวมรกตที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติหนึ่งเท่ากว่าๆ เพียงแต่มันมีเขี้ยวอยู่ที่มุมปากทั้งสองข้าง หางของมันมีเหล็กในสีดำอยู่ แลดูดุร้ายยิ่งนัก
“ไป!”
ชิวหลงจื่อตะโกนออกไป พร้อมกับชี้นิ้วไปทางหลิ่วหมิง แมลงพิษเกือบครึ่งหนึ่งกลายเป็นเมฆสีเขียวจางๆ พุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว และทำท่ามือด้วยมือเดียว ทันใดนั้นแสงสีแดงก็ปรากฏออกมาเป็นจุดๆ มันรวมตัวเป็นลูกเปลวไฟสามลูก หลังจากที่สะบัดแขนเสื้อออกไป มันก็แผดเสียงพุ่งเข้าใส่กลุ่มเมฆแมลงพิษ
“ตู๊ม!” “ตู๊ม!” “ตู๊ม!”
ลูกเปลวไฟทั้งสามโจมตีเข้าใส่กลุ่มเมฆแมลงพิษเข้าอย่างจัง และกลายเป็นเมฆอัคคีปกคลุมเมฆแมลงพิษทั้งหมดไว้
แต่สีหน้าหลิ่วหมิงไม่ได้ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย เขาปลี่ยนท่ามือก่อนที่คมวายุเจ็ดแปดเส้นจะปรากฏออกมา
พอชิวหลงจื่อเห็นแมลงของตนเองถูกเมฆอัคคีปกคลุม ก็ไม่ได้สีหน้าวิตกออกมา แต่กลับค่อยๆ ขยับปากยิ้มบางๆ
ครู่ต่อมาก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นมาจากเมฆอัคคี แมลงพิษเหล่านั้นพุ่งออกมา นอกจากร่างของมันจะดำเกรียมเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีความเสียหายใดๆ อีก
หลิ่วหมิงคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอได้เจอกับฉากนี้จริงๆ รูม่านตาก็หดลงอย่างอดไม่ได้ เขาทำท่ามือกระตุ้นอีกเล็กน้อย คมวายุตรงหน้าก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งยิงออกไปติดต่อกัน
เสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!” ดังติดต่อกัน คมวายุกลายเป็นแสงสีเขียวฟันลงบนเมฆแมลงพิษ
แต่นอกจากจะมีไม่กี่ตัวที่หลบไม่ทันจนถูกฟันออกเป็นสองส่วนแล้ว ตัวอื่นๆ ต่างก็บินหลบกันกระจัดกระจาย จากนั้นมันก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงด้วยเสียงดังหวึ่งๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อออกไป และกระบี่สั้นสีเขียวก็ปรากฏขึ้นในมือ เขาตวัดมันเพียงเล็กน้อย เงากระบี่จำนวนมากก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“อาวุธจิตวิญญาณ! กลับมา! นี่เป็นการแลกมือกันเท่านั้น ไม่คิดว่าสหายจะหยิบอาวุธจิตวิญญาณออกมา ถึงแม้แมลงพิษเหล่านี้จะนับว่าไม่เลว แต่ไหนเลยจะสามารถต้านทานการโจมตีของอาวุธจิตวิญญาณได้ ให้ข้าเปลี่ยนเป็นแมลงพิษชนิดอื่นก่อนถึงจะได้” เมื่อชิวหลงจื่อรับรู้ได้ว่าเงากระบี่ตรงหน้าแฝงไปด้วยพลังอันน่าตกใจ ทำให้เขาไม่อาจสงบนิ่งได้ จึงได้ตะโกนออกมาพร้อมกับทำท่ามือ
ร่างของแมลงพิษที่ดูคล้ายแมลงปอเหล่านั้นหยุดชะงักก่อนที่จะค่อยๆ บินกลับมา
ในขณะเดียวกัน ชิวหลงจื่อก็คว้าเอาของอีกอย่างหนึ่งออกจากถุงหนัง แล้วโยนมาทางหลิ่วหมิง
มันเป็นแมลงปีกแข็งสีดำวาว ขนาดเท่าลูกกำปั้น หลังจากที่มันกระพือปีกตรงหลังแล้ว มันก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีดำกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงตวัดกระบี่จันทราหยกออกไปในทันที เงากระบี่เพิ่มจำนวนมากขึ้น และม้วนเอาแมลงปีกแข็งไว้ในนั้น
เสียงร้องแหลมดังออกมาจากในนั้นทันที
แสงเย็นสะท้านแต่ละลำฟันลงบนตัวแมลงปีกแข็งสีดำ นอกจากจะทำให้มันโซซัดโซเซ และมีรอยขีดข่วนสีขาวบนปีกบนแล้ว ตัวของมันก็ไม่ได้เป็นอะไรเลย
“ฮ่าๆ! แมลงพิษเหล็กกลายพันธ์ุนี้เป็นอย่างไรบ้าง ร่างกายของมันอยู่ในระดับที่มีดดาบฟันแทงไม่เข้า ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ อาวุธจิตวิญญาณทั่วไปไม่สามารถทำอะไรมันได้เลยแม้แต่น้อย” ชิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา
“งั้นหรือ? ในเมื่อไม่สามารถฟันมันได้ งั้นข้าก็จะปิดล้อมมันไว้” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็มีแสงอันเยือกเย็นเปล่งประกายขึ้นในดวงตา ทันใดนั้นแขนข้างหนึ่งก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือข้างหนึ่งถูกไอสีดำปกคลุมไว้ จากนั้นมันก็จมหายไปในเงากระบี่ราวกับสายฟ้าแลบ และคว้าเอาแมลงปีกแข็งสีดำมากุมไว้แน่น
แมลงปีกแข็งสีดำอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ และคิดที่จะกัดหลิ่วหมิงอย่างรุนแรง
แต่ขณะนั้นเอง ลำแสงสีฟ้าครามก็กระเพื่อมออกมาจากฝ่ามือที่จับแมลงปีกแข็งไว้ ชั้นน้ำแข็งปรากฏขึ้นบนผิวของแมลงปีกแข็ง พริบตาเดียวมันก็ถูกขังอยู่ในก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่
จากนั้นหลิ่วหมิงก็สะบัดข้อมือโยนก้อนน้ำแข็งออกไป มืออีกข้างก็ตวัดกระบี่สั้นสีเขียวเพื่อจะฟันไปยังก้อนน้ำแข็ง
“สหายโปรดยั้งมือด้วย! การแลกมือในครั้งนี้ ข้ายอมแพ้ แมลงพิษเหล็กของข้าตัวนี้ไม่กลัวอะไรซักอย่าง แต่กลัวการโจมตีจากพลังความเย็น ตอนนี้มันมีพลังป้องกันเหลือเพียงแค่หนึ่งในสิบเท่านั้น ไม่สามารถต้านทานกระบี่ของสหายได้” ชิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ก็รีบตะโกนด้วยความตกใจ
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ถึงได้หัวเราะเฮ่อๆ ออกมา กระบี่ที่ฟันออกไปก็ขยับไปด้านข้าง คมกระบี่เปลี่ยนเป็นด้ามกระบี่ และพุ่งออกไป
บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ก้อนน้ำแข็งลอยออกไปฝั่งตรงข้าม
ชิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เขายื่นมือดูดเอาก้อนน้ำแข็งมาไว้ในมือ จากนั้นก็ทำท่ามือก่อนที่เปลวไฟจะลุกพรึ่บขึ้นมาห่อหุ้มก้อนน้ำแข็งไว้ ไม่นานน้ำแข็งก็เริ่มละลาย
“สหายช่างมีฝีมือจริงๆ ไม่คาดคิดว่าจะหาจุดอ่อนของแมลงพิษเหล็กได้ในระยะเวลาสั้นๆ ว่าแต่ความสามารถนี้คือวิชาแท่งวารีใช่ไหม ดูเหมือนว่าจะฝึกฝนสำเร็จขั้นเล็กๆ แล้ว มิเช่นนั้นแมลงพิษตัวนี่คงไม่ถูกปิดล้อมเร็วเช่นนี้” ชิวหลงจื่อแสดงวิชาไปด้วย กล่าวชื่นชมหลิ่วหมิงไปด้วย
“สหายชิวตาถึงมาก เมื่อครู่คือวิชาแท่งวารีจริงๆ สหายมีแมลงพิษตัวอื่นอีกหรือไม่? ยังต้องการแลกมือต่อไหม?” หลิ่วหมิงกล่าว
“ไม่แล้วล่ะ ถึงแม้ข้าจะมีแมลงพิษตัวอื่น แต่ก็ไม่สามารถนำมาแลกมือได้ จุ๊ๆ! จากการปะมือในก่อนหน้านี้ ข้าก็ยอมรับแล้วว่าสหายไม่ใช่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายทั่วไป ใยต้องแลกมือมือต่อด้วยเล่า สหายมีฝีมือเช่นนี้ ถ้ายอมเข้าร่วมกับราชสำนักล่ะก็ ตำแหน่งผู้บัญชาการคงหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน ว่าอย่างไร! สหายสนใจหรือไม่” ชิวหลงจื่อช่วยแมลงปีกแข็งออกมาจากก้อนน้ำแข็งแล้ว ก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“เข้าเป็นแขกระดับจิตวิญญาณทองคำ? เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่ไหว ข้าได้เป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณแล้ว” ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง แต่สีหน้าก็กลับมาเป็นปกติก่อนที่จะส่ายศีรษะ
“สหายเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณ? ผู้หนุนหลังพวกเขาคืออ๋องสามนี่ จุ๊ๆ! ช่างน่าเสียดายจริงๆ ข้าไม่กล้าดึงคนของอ๋องสามมาหรอก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่บังคับแล้ว ใช่สิ! ยังไม่รู้ว่าสหายมีนามว่าอย่างไร อีกไม่นานเสวียนจิงจะมีงานชุมนุมแลกเปลี่ยนลับ คนที่เข้าร่วมล้วนเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมทั้งนั้น เชื่อว่าคงมีของดีๆ ปรากฏออกมาอย่างมากมาย สหายสนใจหรือไม่” ตอนแรกชิวหลงจื่อแสดงสีหน้าเสียดายออกมา แต่พอนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก็ถามออกไป
“ข้ามีนามว่าเฉียนหมิง ถ้างานชุมนุมแลกเปลี่ยนลับล่ะก็ ข้าสนใจมันมาก ไม่ทราบว่าจัดขึ้นเมื่อใด?” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา
“อีกสองเดือน เพราะสหายเหล่านี้ไม่ใช่คนเสวียนจิง ต้องเดินทางมาจากสถานที่อื่น” พอชิวหลงจื่อเห็นหลิ่วหมิงสนใจ ก็แสยะยิ้มกล่าวออกมา
“ได้ ข้าจะต้องไปเข้าร่วมตามเวลาอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“ดีมาก พอถึงเวลาข้าจะรับรองให้สหาย และส่งเทียบเชิญไปให้ล่วงหน้า” ชิวหลงจื่อได้ยินก็กล่าวด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
ต่อมาทั้งสองก็พูดคุยกันต่ออีกหลายประโยค จากนั้นหลิ่วหมิงก็กล่าวอำลาแล้วเหาะลงไปยังรถม้าอีกครั้ง
ผ่านไปไม่นาน รถม้าสามคันที่จอดอยู่ข้างถนนสายหลักก็ห้อเหยียดไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ชิวหลงจื่อยังอยู่บนอากาศเหนือแมกไม้ เขากำลังจ้องมองรถม้าที่วิ่งออกไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“พี่ใหญ่ชิว ไม่ลงมือจริงๆ หรือ? พวกข้าได้วางธงค่ายกลไว้ด้านล่างสองชุดแล้ว เพียงแค่หลอกล่อให้เขาเข้าไปในนั้น แล้วพวกข้าทั้งสองช่วยกันลงมือล่ะก็ ต่อให้เขาแข็งแกร่งแค่ไหนก็ยากที่จะหนีรอดไปได้”
พลันมีน้ำเสียงงุนงงของผู้ชายดังจากในป่า
จากนั้นแสงสีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นบนยอดไม้ต้นหนึ่ง และเงาร่างคนสองคนก็เคลื่อนไหวอย่างพร่ามัว แล้วหยุดอยู่ข้างชิวหลงจื่อด้วยความรวดเร็วราวกับปีศาจ
“น้องชายทั้งสอง ที่ข้าให้พวกเจ้าวางค่ายกลไว้ด้านล่าง เพียงเพราะเอาไว้ป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิดเท่านั้น ผู้มีพลังระดับนี้ ใครจะกล้าพูดได้ว่าสามารถจัดการเขาได้อย่างแน่นอน ถ้าหากเขาหนีไปได้ เกรงว่าข้ากับเจ้าคงต้องเดือดร้อนในภายหลัง ที่สำคัญคือทำไมข้าต้องเป็นคนเลวเพื่อล่วงเกินคนผู้นี้เล่า” ชิวหลงจื่อกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
ผู้ที่มาใหม่ทั้งสองเป็นชายร่างผอมแห้งที่มีใบหน้าคล้ายเคียงกัน พวกเขาสวมชุดสีดำ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง นิ้วทั้งสิบแหลมคม ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกสะพรึงกลัวราวกับเห็นผีในตอนกลางวัน
“แต่ตอนที่พี่ใหญ่กับผู้บัญชาการคนอื่นหารือกันนั้น……” หนึ่งในชายชุดดำกล่าวออกมาอย่างลังเล
……………………………………….