ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 190 ลงมือเหี้ยมโหด
“ขอบคุณในความหวังดีของสหายฝาน แต่เรื่องนี้ข้าได้ตัดสินใจแล้ว” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา
“ในเมื่อเจ้าอยากเรียนวิชาปรุงโอสถกับข้าจริงๆ มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่เจ้าต้องทำตามกฎสามข้อ!” พอฝานไป๋จื่อเห็นว่าไม่สามารถเกลี้ยกล่อมหลิ่วหมิงได้ ก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“สหายลองว่ามาได้เลย” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“ข้อหนึ่ง วิชาปรุงโอสถของข้าฝานไป๋จื่อ ถึงแม้จะไม่กล้าเรียกว่าเป็นที่หนึ่งในแคว้นต้าเสวียน แต่เชื่อว่าคงไม่ด้อยไปกว่าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่นิกายทั้งห้าฝึกฝนมาโดยเฉพาะเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นถ้าเจ้าอยากเรียนวิชาปรุงโอสถกับข้า แค่ดินปราณทองคำบริสุทธิ์ก้อนนี้คงไม่พอ” ฝานไป๋จื่อจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ในเมื่อก้อนเดียวไม่พอ ถ้าอย่างนั้นเพิ่มก้อนนี้เข้าไปด้วยล่ะได้ไหม?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว สะบัดแขนเสื้อหยิบดินเหนียวสีทองที่เล็กกว่าก่อนหน้านั้นออกมา และโยนออกไป
“ที่แท้เจ้าก็ยังมีดินปราณทองคำบริสุทธิ์เหลืออยู่! ถ้ารวมสองก้อนนี้เข้าด้วยกัน ก็หนักราวๆ สองตำลึง ซึ่งพอจะเป็นค่าตอบแทนการเรียนวิชาปรุงโอสถได้ ข้อสอง เส้นทางการปรุงโอสถนั้นลึกซึ้งจนยากจะหาที่เปรียบได้ และสถานะของเจ้าก็พิเศษ ถึงแม้เจ้าจะเรียนวิชาปรุงโอสถกับข้า แต่ก็ยังคงเป็นสหายในระดับเดียวกัน และข้าชี้แนะเจ้าได้แค่สามปีเท่านั้น พอพ้นช่วงเวลานี้ไปแล้วจะไม่ถ่ายทอดอะไรให้เจ้าอีก” ฝานไป๋จื่อกล่าวด้วยสีหน้าเฉียบขาด
“เดิมทีข้าก็คิดที่จะเรียนแค่ไม่กี่ปี เวลาสามปีนี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ข้ามีเรื่องจะขอร้องเรื่องหนึ่ง สหายในจะต้องถ่ายทอดวิชาปรุงโอสถให้ข้าอย่างไม่ปิดบัง” หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย และกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ได้! ไม่มีปัญหา! ข้านับว่ามีพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง คงไม่ทำเรื่องให้ตัวเองต้องเสียเกียรติหรอก ข้อสาม เรียนปรุงโอสถเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองพืชสมุนไพรจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก ตอนที่เจ้ามาเรียนที่นี่ สิ่งของทั้งหมดข้าจะเตรียมไว้ให้ แต่ต้องจ่ายหินจิตวิญญาณให้ข้าตามราคาท้องตลาด ข้าขอเตือนเจ้าสักหน่อย อยากเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่แท้จริง จะขาดการฝึกฝนอย่างหนักไม่ได้ แม้กระทั่งสามารถพูดได้ว่ามันสำคัญมากกว่าพรสวรรค์ เพราะพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมแค่ช่วยให้เจ้าลดจำนวนครั้งในการฝึกฝนเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องใช้หินจิตวิญญาณเป็นจำนวนมาก เจ้าจงเตรียมใจไว้ให้ดี ถ้าเจ้าไม่มีปัญหาอะไรกับกฎทั้งสามข้อนี้ล่ะก็ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปสามารถมาหาข้าที่นี่ได้เดือนละห้าวัน ข้าจะเจียดเวลาครึ่งวันมาชี้แนะวิชาปรุงโอสถให้เจ้าโดยเฉพาะ” ฝานไป๋จื่อตีหน้าขรึมกล่าวออกมา
“เดือนละแค่ห้าวัน มันไม่น้อยไปหน่อยหรือ?” หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ก็รู้สึกลังเลเป็นครั้งแรก
“ปกติข้าก็ต้องศึกษาวิชาปรุงโอสถกับปรุงโอสถด้วย สามารถเจียดเวลาให้เจ้าได้ห้าวันก็นับว่าเป็นขีดจำกัดสูงสุดของข้าแล้ว ถ้าเจ้าไม่เห็นด้วยข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว” ฝานไป๋จื่อส่ายหน้ากล่าวออกมา
“เอาเถอะ! ห้าวันก็ห้าวัน ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้” หลิ่วหมิงมีสีหน้าหม่นหมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจยาวๆ ก่อนตอบตกลง
“ดีมาก! เพียงแค่เจ้ามีพรสวรรค์การปรุงโอสถจริงๆ และมีกำลังทรัพย์สนับสนุนการฝึกฝนต่อไปล่ะก็ ข้าเชื่อว่าภายในสามปีนี้มันเพียงพอที่จะดึงเจ้าให้เข้าสู่ประตูเส้นทางการปรุงโอสถได้” ฝานไป๋จื่อเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มในที่สุด จากนั้นก็เก็บดินปราณทองคำบริสุทธิ์เข้าไป
เวลาต่อมาฝานไป๋จื่อก็ไม่คิดที่จะรั้งหลิ่วหมิงให้อยู่ต่อ หลังจากที่กำชับหลิ่วหมิงไม่ให้แพร่งพรายเรื่องที่เขาได้รับดินปราณทองคำบริสุทธิ์ออกไปข้างนอกแล้ว ก็ยอมให้หลิ่วหมิงจากไป
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงกับเฉียนเชาก็เดินออกจากถ้ำที่พักของฝานไป๋จื่อ และเดินลงเขาไปโดยไม่สนใจสายตาของคนในศาลาไม้
แน่นอนว่าก่อนหน้านั้น เมื่อเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณได้ยินว่า ฝานไป๋จื่อตอบตกลงชี้แนะวิชาปรุงโอสถให้หลิ่วหมิง เขาย่อมตะลึงไปชั่วขณะ และจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความประหลาดใจ
หลังจากกลับถึงจวนเฉียนแล้ว เฉียนเชาก็เรียกผู้เชี่ยวชาญโอสถของเรือนร้อยวิญญาณมารวมกัน เพื่อตรวจสอบโอสถโลหิตเผาไหม้ที่นำกลับมาเม็ดนั้น
พอหลิ่วหมิงกลับถึงที่พักก็ปิดประตูทำการฝึกฝนขึ้นมา
เวลาในอีกสองวันต่อมา เขายังคงไม่ออกไปจากที่พัก ราวกับว่าจะฝึกฝนไปเช่นนี้จนกว่างานประมูลจะเริ่ม
แต่พอวันที่สาม ผู้อาวุโสเหมี่ยนกับเฉียนเชาก็มาหาเขาพร้อมกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อะไรนะ! รถที่ขนส่งสิ่งของประมูลถูกปิดล้อมอยู่ห่างจากเสวียนจิงไปร้อยลี้?” หลิ่วหมิงถามด้วยความตกใจ
“กองกำลังที่คุ้มกันขนส่งสินค้าประมูลในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะมีแค่หน่วยเงาปีศาจของอ๋องสามหนึ่งกองเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแขกจากสาขาย่อยออกเดินทางมาด้วยสองคน บวกกับแขกสองคนที่ข้าส่งออกไปรับ รวมกันแล้วมีมากถึงสี่คน เดิมทีข้าคิดว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าคนที่ฝ่ายตรงข้ามส่งมาจะแข็งแกร่งกว่ามาก กองกำลังทั้งกองถูกปิดล้อมอยู่ในที่เดียวกัน และกำลังอาศัยธงค่ายกลที่เป็นหนึ่งในสิ่งของประมูลมาตั้งเป็นค่ายกลเพื่อรับมือไว้อย่างทุลักทุเล ถ้าไม่ใช่เพราะว่าหนึ่งในแขกเหล่านั้นเลี้ยงตัวต่อจิตวิญญาณไว้ตัวหนึ่ง และแอบบินออกจากวงล้อมมาส่งข่าวล่ะก็ เกรงว่าตอนนี้พวกเราคงไม่รู้เรื่องอะไรเลย คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ก็คงมีแต่เจ้าอ้วนมู่แห่งหอรวมสมบัติเท่านั้น” ผู้อาวุโสเหมี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“ถ้าอย่างนั้นความหมายของเถ้าแก่ก็คือ……” หลิ่วหมิงถามเฉียนเชาด้วยตาที่เป็นประกาย
“เพราะกลัวว่ามันจะเป็นการล่อเสือออกจากถ้ำ ข้าจึงให้ผู้อาวุโสเหมี่ยนเฝ้าดูแลคลังสิ่งของอยู่ในจวน แต่ข้าได้ส่งคนไปยืมทหารคุ้มกันตัวของอ๋องสามสองคนกับหน่วยเงาปีศาจอีกหนึ่งกองแล้ว แต่ก็กลัวว่ากำลังจะยังไม่พอ ดังนั้นจึงขอรบกวนให้คุณชายเฉียนออกไปด้วย ไม่ว่าคุณชายจะใช้วิธีการใดก็ตาม ขอเพียงแต่สามารถปกป้องสิ่งของประมูลรอบนี้ไว้ได้ ก็นับว่าท่านสร้างผลงานยิ่งใหญ่ให้กับเรือนร้อยวิญญาณของเรา” เฉียนเชากล่าว
“ไม่มีปัญหา! ข้าเป็นแขกของเรือนร้อยวิญญาณ ย่อมไม่อาจยืนนิ่งดูดายได้ ข้าต้องออกเดินทางตอนไหน?” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วตกปากรับคำออกไป
“ถ้ารอทหารคุ้มกันตัวกับหน่วยเงาปีศาจของอ๋องสามเคลื่อนไหว เกรงว่าคงต้องใช้เวลาพอสมควร แต่ข้ากลัวว่าทางนั้นจะไม่สามารถรับมือไว้ได้ จึงขอให้คุณชายเฉียนล่วงหน้าไปก่อน ทหารคุ้มกันของจวนอ๋องสามกับหน่วยเงาปีศาจจะตามไปสมทบทีหลัง” เฉียนเชากล่าวด้วยความร้อนใจ
“ได้! งั้นข้าจะออกเดินทางเลย” หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าตอบรับ
เฉียนเชาและผู้อาวุโสเหมี่ยนย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ขณะที่กำลังจะพูดอะไรต่อนั้น ก็พลันมีร่างเล็กๆ กระโจนไปบนตัวหลิ่วหมิง และกอดขาทั้งสองของเขาไว้แน่น
“อาหมิง”
นางก็เฉียนหรูผิงนั่นเอง นางเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความกังวลใจ
“วางใจเถอะ! แค่เรื่องเล็กๆ เท่านั้น ข้าจะรีบไปรีบกลับ จงเชื่อฟังและรอข้าอยู่ที่นี่” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เอามือลูบหัวของเด็กหญิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อาจเป็นเพราะความเชื่อใจที่มีต่อหลิ่วหมิง เฉียนหรูผิงจึงกัดริมปีปาก และคลายแขนออกมาอย่างอาลัยอาวรณ์
“หลานหรูผิงสบายใจได้ คุณชายเฉียนมีพลังแข็งแกร่ง ครั้งนี้ยังมีคนอื่นช่วยด้วย จะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน” เฉียนเชาเห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
แต่หลังจากที่เฉียนหรูผิงได้ยินคำพูดที่มีความหมายพอๆ กัน นางกลับเบะปากไม่สนใจ
เฉียนเชาได้แต่หัวเราะแห้งๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก
หลิ่วหมิงโปรยยิ้มและกำชับเด็กน้อยไปสองประโยค หลังจากที่ถามจนรู้ตำแหน่งของกองขบวนที่ถูกปิดล้อมอย่างชัดเจนแล้ว ก็ออกจากห้องไป
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อต่อมา หลิ่วหมิงนั่งอยู่บนเมฆดำก้อนหนึ่ง เหาะไปตามถนนสายหลักมุ่งหน้าไปนอกเสวียนจิง
ถึงแม้เขาจะกระตุ้นพลังเวทย์จนถึงขีดสูงสุดแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าเมฆดำเหาะช้าเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงแอบถอนใจ ดูท่าจะต้องหาอาวุธเหาะจิตวิญญาณหรือฝึกฝนวิชาเกี่ยวกับการเหาะที่เหาะได้เร็วกว่านี้
เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็หยิบยันต์ออกมาจากอกเสื้อผืนหนึ่ง หลังจากที่โบกมันไปตามลม มันก็กลายเป็นจุดแสงจำนวนมากและจมหายเข้าไปในเมฆดำ
เสียงดัง “ฟิ้ว!”
เมฆดำที่เหาะอย่างเชื่องช้าก็เพิ่มความเร็วขึ้นมาจากเดิมเท่ากว่าๆ และพุ่งยิงออกไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่หลิ่วหมิงกลับรู้สึกปวดใจเล็กน้อย ในใจแอบใคร่ครวญถึงจำนวนหินจิตวิญญาณที่ใช้ซื้อยันต์เทพเคลื่อนไหวผืนนี้ กลับไปจะต้องให้เฉียนเชาเจ้าของเรือนร้อยวิญญาณผู้นี้จ่ายให้อย่างแน่นอน
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดเขาก็มองเห็นรถม้าที่บรรทุกสิ่งของจอดขวางอยู่บนถนนสายหลักอยู่ไกลๆ ด้านข้างมีสิ่งของจำพวกผ้าพับ เครื่องลายครามกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ม้าขนาดสูงใหญ่ที่ลากรถมาหลายตัวถูกฟันเป็นสองส่วนนอนจมอยู่ในกองเลือด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วทำท่ามือด้วยมือเดียวในทันที เมฆดำพุ่งยิงไปด้านหนึ่งของถนนสายหลักอย่างรวดเร็ว
แต่พอเขาเหาะออกไปไม่ถึงลี้กว่าๆ ก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นมาจากกองหินที่อยู่ด้านล่าง สายรุ้งสีแดง และสีเหลืองสองสาย ยาวสองฉื่อ ม้วนตัวเข้ามาหาเขาในทันที
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด และสะบัดแขนเสื้อเรียกกระบี่สั้นสีเขียวออกมา และตวัดมันไปยังด้านล่างอย่างรวดเร็ว
“ฟู่!” “ฟู่!” ปราณกระบี่สีเขียวสองสายม้วนตัวออกไป และฟันลงบนสายรุ้งอันน่ากลัวพอดี
หลังจากมีเสียงระเบิดดังออกมา ปราณกระบี่ทั้งสองสายก็ถูกทำลายไปอย่างรวดเร็ว
สายรุ้งอันน่ากลัวทั้งสองก็กระเด็นออกไป และเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมัน มันคือง่ามบินสีแดงหนึ่งเล่มกับมีดสั้นสีเหลืองหนึ่งเล่ม
“แย่แล้ว คนผู้นี้เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นสูง ทั้งยังมีอาวุธจิตวิญญาณด้วย”
เสียงตกใจของคนผู้หนึ่งดังขึ้นจากกองหินด้านล่าง จากนั้นก็มีเงาร่างเคลื่อนไหวก่อนที่ก้อนเมฆสีเทากับสีดำจะพุ่งขึ้นไปบนฟ้า และพุ่งหนีออกไปคนละทิศทาง โดยไม่สนใจอาวุธอาญาสิทธิ์ทั้งสองชิ้นนั่นเลย
“ฮึ! ในเมื่อมาแล้วก็อย่าหวังจะได้ไปเลย”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย เขาตวัดกระบี่จันทราหยกในมือไปยังหนึ่งในสองคนนั้น จนเกิดเป็นปราณกระบี่สามสายภายในอึดใจเดียว ขณะเดียวกันมืออีกข้างก็ทำท่ามือแล้วยกขึ้น จากนั้นคมวายุห้าเส้นก็พุ่งยิงออกไป
ทั้งสองคนเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนหน้าถอดสี คนหนึ่งควักโล่เล็กๆ แล้วโยนออกไปด้านหน้า อีกคนก็ขยี้ยันต์ผืนหนึ่งจนมีแสงสีขาวออกมาเป็นจุดๆ
โล่เล็กโบกสะบัดตามลมแล้วขยายขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ มาบังอยู่ตรงหน้าเขา จุดแสงสีขาวก็กลายเป็นม่านแสงปกป้องผู้ที่ใช้มันไว้
แต่ครู่ต่อมา คมวายุสีเขียวทั้งหมดก็ฟันลงบนแผ่นโล่
เพียงแค่ได้ยินเสียงแตกหักดังออกมา แผ่นโล่ก็ถูกฟันออกเป็นสิบชิ้นภายในพริบตา เจ้าของโล่ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเวทนา แล้วก็ถูกคมวายุสีเขียวฟันออกเป็นเจ็ดแปดส่วน
ขณะนี้ ปราณกระบี่ทั้งสามสายก็ฟันม่านแสงอย่างบ้าคลั่ง มันโจมตีจนม่านแสงแตกร้าวออกมา แสงเย็นสะท้านอันน่าสะพรึงกลัวกลืนกินผู้ใช้ยันต์เข้าไปข้างใน
……………………………………….