ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 192 ขับไล่ศัตรู
หลิ่วหมิงมองฉากนี้จากที่ไกลๆ และขยับตัวเพียงไม่กี่ที ก็อยู่ห่างจากชายผอมแห้งไม่กี่จั้งแล้ว
ชายผอมแห้งเพิ่งจะส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ บนยอดเขา แต่พอเห็นฉากนี้ก็รู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้ แต่ก็ตัดสินใจกล่าวออกมาอย่างเย็นยะเยือก
“การป้องกันตัวของข้านี้ ต่อให้ใช้อาวุธจิตวิญญาณโจมตี ก็ใช่ว่าจะสามารถทำลายได้อย่างรวดเร็ว ต่อให้เจ้ามีฝีมือสูงส่งก็ทำอะไรข้าไม่ได้”
ในเวลานี้ เงาร่างบนยอดเขาก็เคลื่อนไหว ศิษย์จิตวิญญาณที่เหลือต่างก็หยุดโจมตีทะเลหมอก และผู้อาวุโสหน้าตกกระก็เหาะนำคนอื่นๆ มายังด้านนี้
หลิ่วหมิงเพียงแค่ยิ้มบางๆ และวาดมือข้างหนึ่งไปยังอากาศตรงหน้าทันที “ฟู่!” แสงสีแดงปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาเป็นจุดๆ และรวมตัวกันเป็นลูกเปลวไฟสีแดงลูกหนึ่ง ภายในอึดใจเดียวมันก็ขยายขนาดจนใหญ่เท่าอ่างล้างหน้า จากนั้นก็พุ่งเข้าหาม่านแสงเจ็ดสีอย่างรุนแรง ส่วนตนเองก็ตีลังการ่นถอยออกไปในพริบตา
“วิชากระสุนไฟขั้นสมบูรณ์แบบ!”
ชายผอมแห้งเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่ออยู่ในม่านแสงทำให้เขายากที่จะหลบหนีได้ เขาทำได้เพียงแต่คำรามออกมาด้วยความโมโห และอ้าปากพ่นโลหิตไปยังม่านแสงตรงหน้า
โลหิตเป็นสายๆ โผล่ออกมาในม่านแสงเป็นจำนวนมาก
“ตู๊ม!”
ลูกเปลวไฟขนาดใหญ่ปะทะลงบนม่านแสง และระเบิดเสียงดังก้องออกมาในทันที เปลวไฟอันคุโชนเผาไหม้ทุกสิ่งที่อยู่ในรัศมีหลายจั้งภายในพริบตา ไอร้อนระอุม้วนตัวไปทั่วทิศ
ผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ ที่รีบเร่งเหาะเข้ามา ต่างก็ชะลอตัวลงเมื่อได้เห็นฉากนี้
ผ่านไปไม่นาน เปลวไฟในอากาศก็ดับไปจนหมดสิ้น เผยให้เห็นม่านแสงเจ็ดสีที่บางเบาเป็นอย่างมาก และมีแสงเปล่งประกายเพียงเล็กน้อย ราวกับว่ามันจะแตกออกมาได้ตลอดเวลา
ใบหน้าชายผอมแห้งซีดขาวจนถึงที่สุด แต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย และพอเขาเห็นว่าตนเองไม่เป็นอะไรก็รวบรวมสติได้ และหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆ! ที่แท้ก็ไม่เป็นอะไร ต่อให้จะเป็นวิชากระสุนไฟขั้นสมบูรณ์แบบ ก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้”
แต่พอเขาเอ่ยคำพูดนี้ออกไป ก็พลันมีแสงสีเขียวเปล่งประกายขึ้นตรงหน้า ปราณกระบี่อันหนาแน่นสายหนึ่งฟันเข้ามาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ม่านแสงเจ็ดสีส่งเสียงดังเปรี๊ยะ! แล้วก็แตกกระจายเป็นจุดแสงเล็กๆ
ชายผอมแห้งร้องออกมาด้วยความตกใจ และคิดที่จะแสดงวิชาเพื่อหลบหลีก แต่มันก็ไม่ทันแล้ว
เห็นเพียงแค่แสงเย็นสะท้านม้วนตัวผ่านต้นคอ จากนั้นศีรษะของเขาก็ร่วงลงไป
ขณะนี้ หลิ่วหมิงก็เรียกกระบี่จันทราหยกกลับมา และจ้องมองศิษย์จิตวิญญาณอีกห้าคนที่เหาะมาไกลๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา
ส่วนผู้ฝึกปราณธรรมดาเกือบร้อยคนนั้น ต่างก็ตกใจจนถอยห่างไปตั้งนานแล้ว ซึ่งพวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้ฝั่งนี้เลยแม้แต่น้อย
“วิชากระสุนไฟขั้นสมบูรณ์แบบ! ฝีมือยอดเยี่ยมจริงๆ ท่านเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย อาวุธที่ใช้ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า เรือนร้อยวิญญาณยังมีแขกที่ฝีมือร้ายกาจอย่างท่าน” พอศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ เห็นชายร่างผอม และชายอีกคนถูกฆ่าตายภายในอึดใจเดียวแล้ว พวกเขาก็แสดงความลังเลและความหวาดกลัวออกมา มีแค่ผู้อาวุโสหน้าตกกระเท่านั้นที่ไม่รู้สึกสะทกสะท้าน และค่อยๆ ถามออกไป
“ข้าเพิ่งเข้าร่วมเรือนร้อยวิญญาณได้ไม่นาน ดูจากท่าทีของสหายแล้ว คงไม่คิดที่จะหลีกทางให้ และคงต้องการต่อสู้ต่อ” หลิ่วหมิงตอบด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
“ฮึ! ในเมื่อท่านโผล่มาที่นี่ได้ แสดงสหายจินที่ส่งข่าวอยู่ข้างนอกก็คงจะไม่รอดแล้ว ภายในระยะเวลาสั้นๆ คนของพวกข้าทั้งสี่คนต่างก็ถูกฆ่าตายไปจนหมด ท่านคิดว่าข้าจะยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ หรือ?” ผู้อาวุโสหน้าตกกระได้ยินเช่นกลับรู้สึกโมโหจนถึงขีดสุด
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องลงมือสินะ ไม่ทราบว่าสหายคิดที่จะต่อสู้แบบตัวต่อตัว หรือเข้ามาพร้อมกันเลย? ข้าดูออกว่าสหายก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเหมือนกัน คงจะมั่นใจในฝีมือของตนเองบ้างล่ะ!” หลิ่วหมิงจ้องมองผู้อาวุโสหน้าตกกระอยู่ครู่หนึ่ง และยิ้มอย่างเยือกเย็น
“พวกข้าทั้งหมดรุมต่อสู้กับเจ้าเพียงคนเดียว?” ตอนแรกผู้อาวุโสหน้าตกกระรู้สึกตะลึงงัน จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหมดจะรุมข้าเพียงคนเดียว ข้าก็จำเป็นต้องเรียกผู้ช่วยมาคนหนึ่ง” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นก็ตบถุงหนังบนเอว ทันใดนั้นไอสีดำก็ม้วนตัวออกมา หลังจากที่มันพวยพุ่งรวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นแมงป่องกระดูกขนาดยาวหลายฉื่อ
แมงป่องตนนี้เพียงแค่ขยับก้ามหน้าทั้งสองเบาๆ หมอกสีม่วงก็พุ่งออกมาตรงหน้า ขณะเดียวกันหางตะขอแหลมยาวตรงด้านหลังก็สะบัดไปมาจนกลายเป็นเงาทับซ้อน และส่งเสียงแหลมบาดแก้วหู
ฉากนี้ไม่เพียงแต่จะให้ศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ หน้าซีดเท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสหน้าตกกระก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
ลำพังแค่ท่าทีอันดุร้ายของแมงป่องกระดูก ใครเห็นเข้าก็รู้ว่าไม่ควรไปยุแหย่มันอย่างเด็ดขาด
“คิดไม่ถึงว่าสหายจะยังมีอสูรจิตวิญญาณอยู่ข้างกาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าท่านสามารถรับการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของข้าได้หนึ่งครั้ง และไม่เป็นอะไร ข้าก็จะพาคนทั้งหมดไปจากที่นี่ในทันที” ผู้อาวุโสหน้าตกกระมีสีหน้าเปลี่ยนไปมา ในที่สุดก็ตัดสินใจกล่าวออกมาเช่นนี้
“โจมตีหนึ่งครั้ง! เฮ่อๆ! ไม่มีปัญหา สหายลงมือเถอะ” หลิ่วหมิงหัวเราะและกล่าวออกมา
“ฮึ! ท่านระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน!”
ผู้อาสุโสหน้าตกกระเห็นเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกโมโหมากขึ้นกว่าเดิม เขาตบกล่องไม้สีดำบนหลังอย่างไม่เกรงใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังกังวานออกมา มีดเย็นสะท้านสามสิบสองเล่มบินออกมาในทันที และหมุนวนอยู่รอบตัวเขา
“อาวุธจิตวิญญาณครบชุด! มันเป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยมาก มิน่าล่ะ! สหายถึงได้มั่นใจถึงเพียงนี้”
พอหลิ่วหมิงเห็นมีดบางเย็นสะท้านทั้งสิบสามเล่มอย่างชัดเจน ก็พูดออกมาด้วยความแปลกใจ แต่ก็โยนกระบี่สั้นสีเขียวไปยังด้านหน้า และทำท่ามือชี้ไปที่มัน
กระบี่สั้นหมุนติ้วๆ ไปรอบหนึ่ง และเงากระบี่สีเขียวจำนวนมากก็โผล่ออกมา หลังจากที่มันขยายใหญ่ขึ้น มันก็กลายเป็นจันทรากลมสีเขียวสลัวๆ และบังอยู่ด้านหน้าหลิ่วหมิง
ผู้อาวุโสหน้าตกกระเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่สองมือก็ทำท่ามือและร่ายคาถาอยู่ไม่หยุด
ช่วงอึดใจนั้น มีดบินทั้งสิบสามเล่มได้เปล่งประกายแสงออกมา และภายใต้การสั่นไหว มันก็รวมกันเป็นเส้นตรงเย็นสะท้าน จากนั้นก็พุ่งยิงมายังด้านหน้าหลิ่วหมิง
บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
มีดบินทั้งสิบสามเล่มกลายเป็นอสรพิษสีขาวตัวหนึ่ง มันสั่นหัวกระดิกหางทิ่มไปยังใจกลางจันทรากลม
ได้ยินเพียงเสียงดัง “เต๊งๆ!” หลังจากที่แสงสีเขียวทักถอกันไปมา อสรพิษยักษ์ก็สลายไปในพริบตา มีดบินทั้งสิบสามเล่มก็พากันกระเด็นออกไป
พื้นผิวของจันทรากลมสีเขียวสั่นกระเพื่อมไปทีหนึ่ง แล้วก็พร่ามัวกลับมาเป็นกระบี่สั้นสีเขียวดังเดิม
พอผู้อาวุโสหน้าตกกระยื่นมือข้างหนึ่งออกไป มีดบินทั้งสิบสามเล่มก็พุ่งกลับมาในพริบตา เมื่อเขากวาดสายตามองมีดบินแล้ว ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมาทันที จากนั้นก็หมุนตัวเหาะจากไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมาเลย
ศิษย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่หลังจากที่มองหน้ากันแล้ว ก็รีบเหาะตามไปทันที
ผู้ฝึกปราณเกือบร้อยคนบนพื้น ต่างก็วิ่งโกยแนบตามผู้ฝึกฝนบนอากาศไป
“สหายผู้นี้ฉลาดยิ่งนัก มิเช่นนั้นถ้ารออีกสักนิด คงไม่อาจดอดหนีไปได้ง่ายเช่นนี้” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ได้ไล่ตามไป แต่กลับส่ายหน้าแล้วพูดกับตัวเอง
ตอนนี้เขาถึงหันไปมองทะเลหมอกกลุ่มนั้น
……
“ผู้อาวุโสหยาง พวกเราจะถอยไปเช่นนี้จริงๆ หรือ แล้วเราจะกลับไปอธิบายความกับองค์ชายเก้าว่าอย่างไร เพราะองค์ชายเก้าให้ความสำคัญกับการกระทำในครั้งนี้มาก” พอชายฉกรรจ์หน้าดำอายุราวๆ สามสิบกว่าปีกระตุ้นเมฆเทามาอยู่ข้างผู้อาวุโสหน้าตกกระแล้ว ก็เค้นเสียงต่ำถามออกไป
“ถ้าไม่หนีล่ะก็ เจ้าคิดที่ให้ข้าแลกชีวิตกับคนผู้นี้หรือ? หรือว่าพวกเจ้าจะมีใครยอมไปก่อกวนเขา เพื่อที่ข้าจะได้มีเวลาไปทำลายค่ายกล? อีกอย่างค่ายกลทองคำจตุรสัตว์ก็ไม่สามารถทำลายได้ง่ายขนาดนั้น ถ้าพวกเราอยู่ที่นั่นต่อ กองหนุนของฝ่ายตรงข้ามก็ยิ่งมาเพิ่มมากขึ้น พอถึงเวลานั้นถ้าอยากจะหนีก็เกรงว่าคงไม่สามารถหนีได้แล้ว! และคนผู้นี้ก็เก่งกาจกว่าที่พวกเราคิดไว้มาก ต่อให้ข้าใช้พลังทั้งหมดก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” ผู้อาวุโสหน้าตกกระเหลือบมองชายฉกรรจ์หน้าดำทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“ผู้อาวุโสหยางล้อข้าเล่นแล้ว ถึงแม้การโจมตีเมื่อครู่จะไม่ได้ผล แต่ฝีมือของท่านก็ไม่ใช่มีเพียงแค่นี้ ลำพังแค่ดูจากอายุของฝ่ายตรงข้าม ถึงแม้จะฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย แต่พลังเวทย์ของเขาจะมีมากกว่าของท่านได้อย่างไร” ชายฉกรรจ์หน้าดำได้ยินเช่นนี้ก็รีบยิ้มเข้าสู้และกล่าวออกมา
“ฮึ! เจ้าจะรู้อะไร ดูมีดหางนกนางแอ่นเล่มนี้ของข้าก่อนแล้วค่อยพูดเช่นนี้เถอะ!” ผู้อาวุโสกลับทำเสียงฮึดฮัดแล้วยื่นมือหยิบมีดบินจากกล่องไม้ด้านหลังมาให้ชายฉกรรจ์ดู
“นี่คือ……” ชายฉกรรจ์หน้าดำมองดูมีดบินแล้วก็รู้สึกเสียวสะท้านในใจ
บนขอบมีดสั้นเล่มนั้นมีรอยบิ่นขนาดเท่าเม็ดถั่ว
“ตอนนี้เข้าใจหรือยัง? ฝ่ายตรงข้ามไม่เพียงแต่มีระดับการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น กระบี่สั้นในมือเล่มนั้นต้องเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางอย่างแน่นอน ต่อให้ข้าสามารถใช้พลังเวทย์รับมือกับคนผู้นี้ได้ แต่มีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนว่า จะไม่สามารถรักษามีดหางนกนางแอ่นชุดนี้ไว้ได้” ผู้อาวุโสหน้าตกกระกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ที่แท้ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง? ปกติแล้วต้องระดับอาจารย์จิตวิญญาณถึงจะมีได้ คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะมีของล้ำค่าเช่นนี้! ถ้าเมื่อครู่พวกเราร่วมมือกันล่ะก็ จะสามารถ……” ชายฉกรรจ์หน้าดำพูดพึมพำเบาๆ ความละโมบได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่ก็อย่าได้คิดเลย คนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีพลังแข็งแกร่ง กลิ่นไอของอสูรจิตวิญญาณข้างตัวเขาก็น่าตกใจเป็นอย่างมาก ต่อให้พวกเราล้อมโจมตีก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ สิ่งที่พวกเราต้องทำในตอนนี้ก็คือรายงานองค์ชายเก้าว่า มีศิษย์จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งมาปรากฏตัวอยู่ฝ่ายเดียวกับศัตรู เพื่อดูว่าเขาเป็นแขกเรือนร้อยวิญญาณจริงๆ หรือคนของอ๋องสามกันแน่ อยู่ๆ ก็มีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งโผล่มาเช่นนี้ องค์ชายเก้าคงไม่ตำหนิพวกเรามากนัก” ผู้อาวุโสหน้าตกกระหยุดคำพูดของชายฉกรรจ์หน้าดำอย่างไม่ลังเล
“ผู้อาวุโสหยางสอนได้ถูกต้อง เมื่อครู่ข้าน้อยคิดเพ้อเจ้อไปเอง” ชายฉกรรจ์หน้าดำได้ยินก็สะดุ้งโหยงขึ้นมา และรีบกุมกำปั้นไว้ด้านหน้าก่อนที่จะกล่าวอย่างระมัดระวัง
ผู้อาวุโสหน้าตกกระพยักหน้าแล้วเก็บมีดสั้นเข้าไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมา จากนั้นก็เหาะไปด้านหน้าต่อ
……
พอหลิ่วหมิงยื่นมือข้างหนึ่งออกไป หุ่นวิหคไม้สีฟ้าสองตัวก็ถูกดูดเข้ามาด้านหน้า หลังจากที่ตรวจสอบดูเล็กน้อยแล้ว ก็ตบปุ่มนูนๆ ที่อยู่บนหลังของมันทั้งสองตัว
หลังจากมีเสียงดังกรอบแกรบ หุ่นวิหคไม้ทั้งสองก็คืนกลับมาเป็นลูกกลมๆ สีฟ้าสองลูกดังเดิม
หลิ่วหมิงค่อยๆ ยิ้มออกมาพร้อมกับเก็บลูกกลมๆ ทั้งสองลูกเข้าไป และขณะที่กำลังจะไปสำรวจดูศพของชายทั้งสองคนนั้น ทะเลหมอกที่อยู่ไกลๆ ก็สลายออกในทันที ผู้คนเดินออกมาจากในนั้นอย่างระมัดระวัง
……………………………………….