ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 205 หลบหนี
ผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายของเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสองคนนี้ นับว่าโชคร้ายเป็นอย่างมาก
เดิมทีทั้งสองไม่เพียงแต่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาของเผ่าเจ้าสมุทรเท่านั้น ทั้งยังชำนาญวิชาประสานพลัง ต่อให้เผชิญกับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก ก็ยังสามารถป้องกันตัวได้อย่างเหลือเฟือ
แต่ดันมาเจอกับผู้ที่สามารถควบคุมได้ทั้งแมงป่องกระดูกขาว และหัวบินอย่างหลิ่วหมิง
เดิมทีทั้งสองสิ่งนี้ ต่างก็มีวิธีการโจมตีที่แปลกประหลาด พลังก็เหนือกว่าศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสมบูรณ์แบบโดยทั่วไป และยังมีหลิ่วหมิงคอยจ้องเขมือบอยู่ข้างๆ
เท่ากับว่าพวกเขาสองคน ถูกศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายสมบูรณ์แบบสามคน ล้อมโจมตี
และในตอนแรกพวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจหลิ่วหมิง นอกจากพวกเขาจะได้ประสานพลังแสดงวิชาป้องกันตัวตอนแรกแล้ว ตอนหลังก็ถูกหัวบินกับแมงป่องกระดูกขาวโจมตี จนไม่ทันได้แสดงวิชาอื่นๆ ออกมารับมือ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจึงถูกหลิ่วหมิงคว้าโอกาสนี้ ใช้เข็มเงาหยกลอบโจมตี แล้วมันจะไม่พ่ายแพ้จนเสียชีวิตอย่างรวดเร็วได้อย่างไร
หลิ่วหมิงมองไปยังท่อนล่างที่เป็นหางมัจฉาของทั้งสอง แล้วก็ขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“ไม่คิดว่าจะเป็นเผ่าเจ้าสมุทร? ครั้งนี้คงเกิดเรื่องยุ่งยากเข้าแล้วจริงๆ”
แม้เขาจะกล่าวเช่นนี้ แต่กลับเคลื่อนตัวไปที่ข้างศพทั้งสอง และก้มตัวลงค้นร่างของพวกเขาไปหนึ่งรอบ ผลลัพธ์คือไม่เพียงแต่จะได้เปลือกหอยสีเงิน ธงเล็กสีฟ้า กับกระบองสั้นสองอัน แต่ยังค้นเจอถุงหนังสองใบ กับขวดโอสถจำนวนมาก และมุกสีดำไม่ทราบชื่อเม็ดหนึ่ง
หลิ่วหมิงเลือกขวดโอสถออกมาหลายใบ แล้วเปิดจุกขวดแต่ละใบ ก่อนนำมาดมเบาๆ จากนั้นก็ปัดขวดสามใบออกไป และหยิบอีกสองใบที่เหลือกลับไปหาหูชุนเหนียง
ขณะนี้หญิงสาวยังคงหมดสติอยู่ในม่านแสง และลมหายใจแผ่วเบากว่าก่อนหน้านั้นมาก
ใจหลิ่วหมิงเย็นยะเยือกลงในทันที เขาเคลื่อนไหวเข้าไปในม่านแสงโดยไม่มีสิ่งใดมาขัดขวาง
พอสะบัดข้อมือ แสงเย็นสะท้านก็เปล่งประกายออกมา!
เขาใช้กระบี่สั้นกรีดข้อมือหญิงสาวจนเป็นแผลยาวชุ่นกว่าๆ สองแผล และโลหิตสีดำก็ไหลออกมาในทันที
หลิ่วหมิงเทโอสถสีเหลือง และสีแดงออกมาจากขวดทั้งสองอย่างละเม็ด หลังจากที่บีบจนละเอียดแล้ว ก็แยกกันโรยลงบนปากแผลทั้งสอง จากนั้นก็จ้องมองตาไม่กะพริบ
ผ่านไปไม่นาน แผลที่ถูกผงโอสถสีเหลืองปกคลุมอยู่ ก็ยังมีโลหิตสีดำค่อยๆ ไหลออกมา โดยไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย และโลหิตสีดำที่ถูกผงโอสถสีแดงปกคลุมอยู่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นมา ขณะเดียวกันกันกลิ่นคาวเลือดก็เบาบางลงไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขารีบควักยันต์ผืนหนึ่งออกมาทันที หลังจากที่แปะลงบนข้อมือของหญิงสาวแล้ว บาดแผลทั้งสองก็ค่อยๆ ผสานเข้าหากันท่ามกันแสงสีเขียวจางๆ
ในขณะเดียวกัน เขาก็เทโอสถสีแดงออกมาเม็ดหนึ่ง แล้วยัดเข้าไปในปากของนาง และทำให้นางกลืนลงไป
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ลมหายใจของหูชุนเหนียงก็คงที่ ขณะเดียวกันริมฝีปากดำคล้ำก็ดูเหมือนจะจางลงไปเล็กน้อย
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้รู้สึกวางใจขึ้นมา
เขาเก็บขวดโอสถเข้าไปทันที และหมุนตัวเดินออกมาจากม่านแสง จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปล่อยลูกเปลวไฟเผาร่างของชายหนุ่มใบหน้างดงาม จนกลายเป็นขี้เถ้าในทันที
แต่พอเขาคิดที่จะใช้วิธีเดียวกัน จัดการกับร่างของชายร่างเตี้ยแคระ ก็พลันนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
หลิ่วหมิงดึงกระบี่สั้นออกมาจากแขนเสื้อ ทันทีที่แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายออกมา เขาก็ตัดร่างของชายร่างเตี้ยในส่วนที่เป็นหางมัจฉาออก
จากนั้นก็ก้าวไปด้านหน้า และหยิบยันต์เก็บของที่ใช้ได้เพียงครั้งเดียวออกมาจากอก พอเขาโบกมันไปทางหางปลา มันก็กลายเป็นแสงสีขาวดูดหางปลาเข้าไปในนั้น
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาถึงมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา เขายกมืออีกข้างปล่อยลูกเปลวไฟเผาซากศพที่เหลือจนกลายเป็นขี้เถ้า
แต่พอเขาหันตัวเพื่อจะเดินไปยังศาลาหินนั้น สีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนไป และหันไปยังด้านหนึ่งของป่าไผ่ด้วยสีหน้าแปลกใจ
“มีคนมาอีกแล้วหรือ? ดูท่าจะพุ่งมาทางนี้ด้วย นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือว่ามีคนวางอะไรไว้บนตัวหูชุนเหนียง?”
หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำไปไม่กี่ประโยค จากนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างพร่ามัว แล้วมาปรากฏตัวตรงหน้าหญิงสาว ขณะเดียวกันก็ชี้นิ้วไปในอากาศ
ม่านแสงที่ปกคลุมหญิงนางนี้อยู่ หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงก้มตัวนำหญิงสาวมากอดไว้ และควักยันต์สีเหลืองออกมาผืนหนึ่ง หลังจากที่ความเจ็บปวดเผยออกมาบนใบหน้า เขาก็แปะยันต์ลงบนตัว
“ฟู่!” ยันต์ระเบิดออกมา อักขระสีเหลืองจำนวนมากทะลักออกมาจากในนั้น พริบมาเดียวมันก็ห่อหุ้มหลิ่วหมิงกับหญิงสาวไว้
เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว หลังจากที่แสงสีเหลืองเปล่งประกายขึ้นที่ใต้เท้า ร่างของเขากับหูชุนเหนียงก็จมหายเข้าไปใต้ดินอย่างไร้ร่องรอย
นี่คือยันต์ดำดินที่เขาซื้อมาเกือบพันหินจิตวิญญาณ
ถึงแม้มันจะแสดงผลลัพธ์ได้ไม่นาน และเมื่อลงไปใต้ดินแล้ว ก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เร็วมากนัก ขณะเดียวกันยังมีข้อเสียอื่นๆ อีกมาก แต่นำมาใช้ในเวลาเช่นนี้ นับว่าเป็นวิธีการหลบหนีศัตรูได้ดีที่สุด
ขณะที่หลิ่วหมิงดำลงดินพร้อมกับแสงสีเหลืองที่ปกคลุม และพาหญิงสาวค่อยๆ เคลื่อนไหวไปนั้น สุนัขจิ๋วสีเหลืองทองตัวหนึ่งก็กระโจนเข้ามาจากป่าไผ่ หลังจากที่มันส่งเสียงออกมา เงาร่างคนเจ็ดแปดคนก็ตามติดเข้ามา
พวกเขาก็คือชิวหลงจื่อกับลูกน้องคนสนิทของเขา
ขณะนี้ สุนัขสีเหลืองทองเดินวนอยู่ในศาลาหิน ตรงจุดที่หญิงสาวเอนกายในก่อนหน้านี้ มันเดินวนอยู่หลายรอบ จากนั้นก็กระโจนไปยังจุดที่หลิ่วหมิงดำดินลงไปโดยฉับพลัน หลังจากที่ใช้กรงเล็บเขี่ยคุ้ยดินบริเวณนั้นแล้ว ก็หันหน้าเห่าไปทางชิวหลงจื่อและคนอื่นๆ
“เกิดอะไรขึ้น หรือว่าสุนัขพันลี้จะติดตามพลาด” ผู้ฝึกฝนคนหนึ่งเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยความแปลกใจ
“จมูกของสุนัขพันลี้รับรู้ได้เฉียบไวเช่นนี้ ในสถานปกติมันย่อมไม่พลาดอย่างเด็ดขาด ดูจากท่าทางของสุนัขพันลี้ คนทั้งสองน่าจะอยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง จากนั้นกลิ่นไอก็หายเข้าไปในดิน ดูท่าสองคนนั้นคงหลบหนีไปทางใต้ดิน” ดูเหมือนชิวหลงจื่อจะคุ้นเคยกับท่าทีของสุนัขพันปีเป็นอย่างมาก เขามองไปแค่สองทีก็พูดออกมาอย่างเฉียบขาด
“หนีไปทางใต้ดิน ทั้งสองคนนี้มีความสามารถในวิชาดำดินด้วยหรือ!” ผู้ฝึกฝนอีกคนได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“ฮึ! ใยต้องมีวิชาดำดินด้วยเล่า เพียงแค่ใช้ยันต์ดำดินก็สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ ดูท่าพวกเราคงได้แต่รอไปก่อน ข้าไม่เชื่อว่า พวกเขาจะใช้ยันต์ดำดินหนีออกไปจากเสวียนจิงได้” ชิวหลงจื่อกล่าวอย่างมีแผนในใจ
“ใต้เท้าชิวกล่าวได้มีเหตุผล พวกเราก็รออยู่ที่นี่สักพักเถอะ เอ๋! ดูจากสภาพของสถานที่นี้แล้ว เหมือนว่าสองคนนั่นจะเคยต่อสู้กับใครบางคนมาก่อน แต่การต่อสู้คงจะสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว” ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีขาวพยักหน้า และกล่าวออกมา
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ถึงค้นพบว่าพื้นดินบริเวณนั้นเละเทะนิดหน่อย และยังมีพื้นที่เป็นหลุมเป็นบ่ออยู่หลายแห่ง
คนที่มีพลังจิตค่อนข้างแข็งแกร่ง ใช้จิตรับรู้กวาดดูอากาศบริเวณนั้น ก็รับรู้ถึงคลื่นของกลิ่นไอจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย
ชิวหลงจื่อกวาดสายตามองบนพื้นแล้ว ก็คว้ามือข้างหนึ่งไปในอากาศ ทันใดนั้นสิ่งของบางอย่างก็พุ่งขึ้นมาจากดิน และมาอยู่ในมือเขาอย่างรวดเร็ว
มันคือเกล็ดสีเขียวเกล็ดหนึ่ง!
ผู้บัญชาการแขกระดับจิตวิญญาณทองคำเพียงแค่สังเกตดูเกล็ดนี้ไม่กี่ที จากนั้นก็เอามันมาดมเบาๆ แล้วสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในทันที
“ใต้เท้าชิว ท่านค้นพบอะไรหรือ?” หนึ่งในคนสนิทของเขาเห็นเช่นนี้ ก็ถามออกไปอย่างอดไม่ได้
“ไม่มีอะไร ไม่ใช่ของสำคัญอะไร ข้าเพียงแต่คิดว่าคนที่ต่อสู้กับสองคนนี้ ใช่คนที่ส่งออกมาในก่อนหน้าหรือไม่?” ดูเหมือนชิวหลงจื่อจะเก็บเกล็ดสีเขียวเข้าไปเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ และกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“คงไม่ใช่หรอกมัง ถ้าเป็นคนของพวกเราจริงๆ คงส่งสัญญาณขอกำลังสนับสนุนตั้งนานแล้ว ทำไมถึงต้องทำเรื่องให้ตนเองตายอย่างไร้ศพด้วยเล่า?” ผู้ฝึกฝนอีกคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อืม! หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น ผู้ที่บุกเข้าวังทั้งสองคนนี้ ไม่ใช่คนธรรมดา มิเช่นนั้นคงไม่อาจหลุดจากวงล้อมการโจมตี และหนีออกจากวังได้ อีกประเดี๋ยวพอปิดกั้นพวกเขาได้ ทุกท่านต้องตั้งสติให้ดี อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด” ชิวหลงจื่อกำชับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ใต้เท้าวางใจเถอะ! พวกเราไม่เหมือนกับพวกไร้ประโยชน์เหล่านั้น จะไม่ทำผิดพลาดเหมือนพวกเขาเด็ดขาด”
“ถูกต้อง! ใต้เท้าชิว อีกเดี๋ยวพอเจอสองคนนั้น พวกข้าจะไม่เสียเวลา และทำการกระตุ้นธงหยุดวิญญาณล้อมพวกมันทั้งสองไว้”
พอคนสนิทของชิวหลงจื่อได้ยินเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาราวกับเป็นเรื่องตลก
ชิวหลงจื่อพยักหน้า แล้วเดินไปยังศาลาหินก่อนที่จะนั่งลงพักผ่อนบนหินก้อนหนึ่ง
……
ขณะนี้ หลิ่วหมิงอยู่ห่างจากป่าไผ่เจ็ดแปดลี้ ด้านหนึ่งเขากระตุ้นพลังของยันต์ให้ค่อยๆ ทะลวงไปตามพื้นดิน อีกด้านหนึ่งก็ใช้มือที่เปล่งประกายแสงสีดำ ค้นตามตัวหญิงสาวอยู่ไม่หยุด เพื่อหาอะไรบางอย่าง
ผ่านไปซักพักเขาถึงได้หยุดมือลง และกล่าวกับตนเอง
“แปลกจริง! ร่างของนางก็ไม่ได้มีเครื่องหมายติดตามอะไร อย่างนี้ก็หมายความว่า คนที่ตามมามีวิธีพิเศษอะไรบางอย่าง ที่สามารถรู้ตำแหน่งของหูชุนเหนียงได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็คงต้องยุ่งยากหน่อยแล้ว”
ในขณะที่กล่าว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความลังเล ผ่านไปซักพัก ถึงสะบัดหน้าแล้วกล่าวพึมพำออกมา
“ช่างมันเถอะ! คงต้องลองดูซักตั้งแล้ว”
จากนั้นหลิ่วหมิงก็หยิบขวดขนาดต่างๆ ออกมาจากแขนเสื้อ เขาค่อยๆ เปิดจุกออก และราดลงบนตัวของหญิงสาว
ผงสีขาวถูกเทออกมาจากขวดใบแรกอย่างรวดเร็ว อีกใบกลับเทของเหลวใสๆ ออกมา ขวดสุดท้ายแผ่หมอกควันสีดำที่มีกลิ่นฉุนแสบจมูกออกมา
พริบตาเดียว ของทั้งสามอย่างก็จมหายเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิงกับหญิงสาวอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อทำทุกอย่างที่ว่ามานี้เสร็จแล้ว สีหน้าของหลิ่วหมิงถึงค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้นมา
พอเขาทะลวงไปได้สิบกว่าลี้ ม่านแสงสีเหลืองที่ปกคลุมอยู่ก็ค่อยๆ อ่อนพลังลง เวลานั้นหลิ่วหมิงรีบทำท่ามือด้วยมือเดียวอย่างไม่ลังเล และพาหญิงสาวพุ่งขึ้นไปด้านบน
หลังจากแสงสีเหลืองเปล่งประกายออกมา หลิ่วหมิงก็พาหญิงสาวมาปรากฏตัว ณ มุมถนนแห่งหนึ่ง
ขณะนี้ท้องฟ้าดำมืด บนถนนทั้งสายเงียบสงัด ไร้เงาร่างของผู้คน
หลิ่วหมิงสังเกตดูรอบด้านซักพักหนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าไม่มีกับดักอะไรอยู่บริเวณนั้น ก็ควักยันต์ซ่อนตัวออกมาสองผืน และแปะลงบนตัวเขากับหญิงสาว จากนั้นก็กลายเป็นเงาร่างจางๆ จนเกือบมองไม่เห็น พร้อมกับพุ่งไปยังเขาเซียนทอแสงอย่างรวดเร็ว
……………………………………….