ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 217 นัดสู้
สีหน้าหงซานเปลี่ยนไปเมื่อเห็นเช่นนี้ และคิดจะยื่นมือเข้าช่วย แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว
แต่ขณะนี้เอง ชุดบนตัวหญิงสาวพลันเปล่งประกายแสงสีฟ้าออกมา ร่างของนางหมุนตัวติ้วๆ อยู่กลางอากาศแล้วกลายร่างเป็นผู้อาวุโสครึ่งมนุษย์ครึ่งมัจฉา บนหัวของนางมีมงกุฏสีแดงสวมอยู่ สวมผ้าคลุมยาวสีเขียวหยก พอนางหรี่ตา และสะบัดแขนเสื้อกลิ่นไออีกแบบหนึ่งก็พวยพุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก
“ฟู่!”
กลิ่นไอทั้งสองพุ่งปะทะกันจนทำให้อากาศบริเวณนั้นส่งเสียงดังกระหึ่มออกมา ขณะเดียวคลื่นสั่นสะเทือนก็ม้วนพัดเรือหยกจนร่นถอยออกไปอยู่ไม่หยุด
ถึงแม้สีหน้าของหญิงสวมชุดชาววังสีขาวและคนอื่นๆ จะเปลี่ยนไปมาก แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
“บนตัวมียันต์คุ้มกันที่มีพลังของผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นอยู่ ดูท่าเจ้าคงไม่ได้เป็นผู้น้อยธรรมดาในเผ่าเจ้าสมุทร” พอการโจมตีแบบไม่ใส่ใจของเย่เทียนเหมยไม่ประสบความสำเร็จ นางก็ไม่คิดที่จะลงมือต่อ แต่กลับมองหญิงสวมชุดชาววังสีขาวด้วยแววตาเคร่งขรึมโดยไม่รู้ตัว
“ฮึ! โชคดีที่เซิ่งจีหลานสาวข้าไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีเมื่อครู่ มิเช่นนั้นนิกายจันทราสวรรค์ของพวกเจ้ากับเผ่าเกล็ดแดงของเราคงได้เห็นดีกัน” พอเห็นว่า ‘เซิ่งจี’ ไม่เป็นอะไร หงซานก็กล่าวอย่างโล่งอก
จากนั้นร่างของเขาก็เคลื่อนไหวจนดูพร่ามัวก่อนมาปรากฏตัวบนเรือหยกราวกับปีศาจ เห็นได้ชัดว่าเป็นการป้องกันเผื่อเย่เทียนเหมยจะลงมือกับธิดาเทพอีก
หญิงสาวชุดชาววังสีขาวก็รีบก้าวมาคารวะชายร่างผอมแห้งอย่างรวดเร็ว
“เซิ่งจี? หรือว่านางเป็นธิดาเทพเผ่าเกล็ดแดงของพวกเจ้า?” พอเย่เทียนเหมยได้ยินเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะแปลกใจเล็กน้อย
“ข้าน้อยคือเซิ่งจีจริงๆ คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสเย่จะเคยได้ยินชื่อของข้าด้วย ข้ารู้สึกเป็นเกียรติมากนัก” เดิมทีธิดาเทพรู้สึกตกใจกับการลงมือของเย่เทียนเหมย แต่พอหงซานมาปรากฏตัวบนเรือหยก นางก็รู้สึกใจกล้าขึ้นมามาก
“ฮึ! จำไว้ให้ดี! ข้าไม่สนว่าเจ้าจะทำเรื่องอะไรกับผู้ฝึกฝนอิสระในแคว้นไห่เยวี่ย แต่ถ้าเล่นลูกไม้อะไรในแคว้นต้าเสวียนของพวกเราล่ะก็ ต่อให้จะเป็นธิดาเทพของเผ่าเกล็ดแดง ข้าก็จะฆ่าให้ตายในกระบี่เดียว” เย่เทียนเหมยทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา
“ดูเหมือนว่าสหายเย่จะพูดข่มขู่ต่อหน้าข้า” แม้ว่าหงซานจะหวาดกลัวเย่เทียนเหมย แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโมโหอย่างอดไม่ได้
“ไม่ได้ข่มขู่ แต่หวังว่าเผ่าเกล็ดแดงของพวกเจ้าอย่าทำกับแคว้นต้าเสวียนเหมือนสถานที่ธรรมดาอย่างแคว้นไห่เยวี่ยก็พอ อีกอย่างเมื่อครู่เซิ่งจีหลานสาวของเจ้าพูดว่า จะมารับคนในเผ่าที่อยู่เสวียนจิงอะไรซักอย่าง? คิดว่านิกายทั้งห้าอย่างพวกเราตาบอดหรือไง? คำพูดหลอกเด็กเช่นนี้ยังบังอาจมาพูดต่อหน้าข้า ในเมื่อข้ามาถึงนี่แล้ว คิดจริงๆ หรือว่าคำพูดลมๆ แล้งๆ ไม่กี่ประโยค จะพาสามารถพาคนไปได้” คิ้วของเย่เทียนเหมยค่อยๆ เหยียดตรงขึ้นมา
พอได้ยินคำพูดไม่เกรงใจของเย่เทียนเหมย สีหน้าของธิดาเทพกับหงซานก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่หลังจากมองหน้ากันทีหนึ่งแล้ว ชายร่างผอมแห้งก็หัวเราะเฮ่อๆ ก่อนกล่าวออกมา
“ในเมื่อสหายเย่คิดที่จะฉีกหน้ากันจริงๆ ข้าก็จะขอถามตามตรงว่า ทำอย่างไรถึงจะพาคนเผ่าเดียวกันออกไปได้ สหายเย่อย่าคิดว่าที่นี่เป็นดินแดนของมนุษย์แล้วจะเรียกร้องอะไรมากได้ ถ้าข้าพยายามอย่างสุดชีวิตล่ะก็ สามารถสร้างความโกลาหลอลหม่านในแคว้นต้าเสวียนของพวกเจ้าได้” หงซานกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม
“คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่มีชื่อเสียงของเผ่าเจ้าสมุทรจะพูดเช่นนี้ ได้! อย่างที่เจ้าพูด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีผู้ฝึกฝนระดับผลึกท่านอื่นๆ ปรากฏตัวออกมา ข้ากับเจ้าต่างก็หวาดกลัวซึ่งกันและกัน ใครก็ไม่อยากให้เกิดสงครามใหญ่ ณ สถานที่แห่งนี้ ซึ่งมันจะกระตุ้นให้เกิดสงครามระหว่างเผ่าที่แท้จริง เช่นนี้เถอะ! จะได้ไม่หาว่าข้าไม่ไว้หน้าสหายหง คนของเผ่าเจ้าที่อยู่ในวังนั้น จะใช้การประลองตัดสินว่าพาไปได้หรือไม่ แต่สามารถพาไปได้แค่สามคนเท่านั้น คนอื่นๆ ต้องฆ่าตัวตายต่อหน้า เพราะว่าเรื่องนี้เผ่าเจ้าสมุทรของเจ้าเป็นคนก่อเรื่องขึ้นมาก่อน พวกเราทั้งห้านิกายไม่อาจไม่ฆ่าเพื่อเป็นสิ่งเตือนใจพวกที่กระทำผิดได้” เย่เทียนเหมยเงียบไปซักพักแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“อะไรนะ! ความหมายของสหายคือให้ข้าบีบให้คนของเผ่าตัวเองฆ่าตัวตาย!” หงซานได้ยินก็โมโหขึ้นมา
“ถ้าไม่รับปากล่ะก็ ข้ากับสหายคงต้องทำสงครามกันแล้ว ถ้าสหายเอาแต่หลบไม่ทำสงคราม แต่กลับลงมือกับผู้น้อยล่ะก็ข้าเย่เทียนเหมยสาบานว่า ถ้าสหายฆ่าผู้น้อยของนิกายทั้งห้าไปหนึ่งคน ข้าจะบุกไปน่านน้ำมหาสมุทรเพื่อฆ่าเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ในระดับเดียวกันสิบคน” เย่เทียนเหมยเปล่งประกายตาอันเยือกเย็นออกมา และกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ใครก็ฟังเจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในนั้นออก
พอหงซานได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
หากมีผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับผลึกไปฆ่าล้างบางเผ่าเจ้าสมุทรธรรมดาที่น่านน้ำมหาสมุทรล่ะก็ เกรงว่าการบาดเจ็บล้มตายจำนวนนี้เขาไม่อาจรับผิดชอบได้ไหว
“ใยผู้อาวุโสเย่ต้องโมโหด้วยเล่า อาสามข้ายังไม่ได้บอกว่าจะไม่รับปากซักหน่อย แต่การประลองที่ท่านบอกว่าสามารถพาคนไปได้สามคนนั้น ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไร?” ธิดาเทพขมวดคิ้วแล้วถามออกไปเบาๆ
“ง่ายมาก อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็เลือกคนที่อยากพาไปออกมาสามคน ให้พวกเขาประลองกับศิษย์นิกายของพวกเราที่อยู่ในระดับเดียวกัน ถ้าพวกเจ้าชนะพวกเจ้าก็พาคนไปได้ แต่ถ้าแพ้ก็ให้อยู่ที่นี่ตลอดไป” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“สามคนไม่พอ ต้องสิบคน” เทพธิดาพยากรณ์ทำหน้าราวกับคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็กล่าวออกไปอย่างไม่ลังเล
“สิบคนไม่ได้ ข้ายอมได้มากสุดแค่ครั้งเดียว พวกเจ้าสามารถเลือกได้ห้าคน มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” เย่เทียนเหมยขมวดคิ้วกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ห้าคนก็ห้าคน แต่ไม่ต้องประลองแยกกัน ให้พวกเขาลงไปประลองหมู่พร้อมกันเลย” ธิดาเทพคิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วก็รับปากออกไป
“ประลองหมู่! เจ้าคงคิดว่าถ้าห้าคนนี้ตายก็ให้ตายไปด้วยกัน ถ้ารอดก็รอดไปด้วยกัน ดี! ตกลงตามนี้”
“เซิ่งจี ทำไมเจ้าถึงรับปากเรื่องนี้ ถ้าหากพวกเขา……ได้! ในเมื่อเป็นการประลองหมู่ ก็ตกลงตามนี้” เดิมทีหงซานมีสีหน้าอึมครึม แต่พอได้ยินเสียงที่ส่งมาของธิดาเทพไม่กี่ประโยค ก็รีบตอบรับในฉับพลัน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าสามารถส่งคนเข้าไปในวังได้หนึ่งคน ให้ผู้น้อยเหล่านั้นคลายชั้นจำกัดซะ หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป ให้พวกเขาต่อสู้กันนอกวังเถอะ” แม้เย่เทียนเหมยจะรู้สึกว่าท่าทีของหงซานดูแปลกประหลาดไปหน่อย แต่มาถึงเวลานี้ก็ไม่อาจกลับคำอะไรได้ อีกอย่างนางก็ค่อนข้างมั่นใจในศึกครั้งนี้มาก
ต่อมาธิดาเทพก็เหาะเข้าไปในวังด้วยตนเอง และหยิบสิ่งของที่สีลักษณะคล้ายป้ายคำสั่งออกมาจากตัว จากนั้นก็โบกไปทางม่านแสง และร่างของนางก็หายวับเข้าไปในนั้น
ภายในม่านแสง มีองครักษ์เผ่าเจ้าสมุทรจำนวนมากมาคอยอย่างนอบน้อมตั้งนานแล้ว และเหาะนำทางไปยังส่วนในของพระราชวัง
ขณะเดียวกัน เย่เทียนเหมยก็เหาะลงบนรถเหาะทองเหลือง
โจวเทียนเหอ และคนอื่นๆ ก็รีบตามกลับไป และทำการคารวะผู้อาวุโสระดับผลึกผู้นี้
ชายฉกรรจ์แซ่เหลยที่อยู่อีกฝั่งก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และสั่งให้กระตุ้นเรือเหาะเหาะเข้าไปใกล้
“ศิษย์คารวะอาจารย์อาเย่ ถ้าครั้งนี้อาจารย์อาเย่ไม่ยืนมือเข้าช่วย เกรงว่าพวกข้าคงถูกผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นั้นทำร้ายแล้ว”!ชายฉกรรจ์แซ่เหลยโค้งคารวะเย่เทียนเหมยจากที่ไกลๆ และกล่าวออกมา
เรื่องราวเกี่ยวกับเย่เทียนเหมยผู้นี้ สามารถกล่าวได้ว่าเป็นอีกตำนานหนึ่งของแคว้นต้าเสวียนในช่วงเกือบพันปีที่ผ่านมา นางก้าวเข้าสู่ระดับผลึกในช่วงเวลาไม่ถึงร้อยปี ทั้งยังฝึกฝนไปทางสายกระบี่ที่ยากกว่าเส้นทางการฝึกฝนสายอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้แม้ว่าชายฉกรรจ์แซ่เหลยจะเป็นผู้ที่มีนิสัยใจร้อนและดุร้ายมาโดยตลอด แต่พอมาอยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่ดูเหมือนอายุยี่สิบกว่าปี เขาก็แสดงออกด้วยท่าทีที่นอบน้อม
ตอนนี้หลิ่วหมิงก็คารวะหญิงสาวชุดชาววังสีเงินตามชายฉกรรจ์แซ่เหลย แต่ก็รู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดที่จำได้ว่า นางคือผู้ที่สังหารอสูรหนูขนเขียว และยังเป็นหญิงสาวลึกลับที่มอบโอกาสครั้งยิ่งใหญ่ให้เขาในวันนั้น แต่อย่างไรก็ตามเขากลับไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ศิษย์หลานเหลย ไม่ต้องมากพิธี ที่ข้ามาครั้งนี้เป็นเพราะว่าศิษย์พี่เหลิ่งเยวี่ยกับสหายเยี่ยนได้สื่อสารกัน และป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิดจึงส่งข้ามา! แต่ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเผ่าเจ้าสมุทรจะส่งผู้ฝึกฝนระดับผลึกมาด้วย” เย่เทียนเหมยกวาดสายตามองชายฉกรรจ์แซ่เหลยและคนอื่นๆ หลังจากชะงักอยู่ที่หลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้ว ก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็เป็นแผนการที่รอบคอบของอาจารย์อาเยี่ยนกับอาวุโสเหลิ่งเยวี่ย แต่เผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้กลับส่งผู้ฝึกฝนระดับผลึกมา ดูท่าคนที่ถูกขังอยู่ในวังคงเป็นคนที่สำคัญมาก ว่าแต่ที่พวกเขาเสนอให้ประลองพร้อมกันห้าคน คงไม่มีแผนอะไรซ่อนอยู่ในนั้นใช่ไหม!” หลินไฉอวี่กล่าวด้วยความนอบน้อมเป็นอย่างมาก
“ในเมื่อพวกเขาเสนอการต่อสู้หมู่ออกมา จะต้องมีแผนอยู่อย่างแน่นอน แต่ที่ข้าเสนอการประลองนี้ขึ้นมา ข้าย่อมมีความเชื่อมั่นของข้า ‘ซิ่วเหนียง’ เจ้าออกมาเถอะ!” เย่เทียนเหมยยิ้มบางๆ จากนั้นก็แตะมือข้างหนึ่งไปยังอากาศตรงหน้า ทันใดนั้นแสงสีขาวเป็นจุดก็สลายออกไป เผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวที่มีลักษณะห้าวหาญ และสะพายกระบี่ยาวหิมะขาวนางหนึ่ง
นางก็คือจางซิ่วเหนียงที่มีร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่นั่นเอง!
ที่แท้ก่อนหน้านั้นนางถูกเย่เทียนเหมยแสดงวิชาซ่อนตัวไว้ จนถึงตอนนี้ถึงได้คลายวิชาให้นางปรากฏร่างออกมา
“ซิ่วเหนียงคารวะอาจารย์อา อาจารย์ลุง!” พอนางปรากฏตัวออกมาก็รีบคารวะอาจารย์จิตวิญญาณทั้งหลาย
“คิดไม่ถึงว่าศิษย์หลานจางจะอยู่ที่นี่ด้วย ถ้าอย่างนั้นการประลองในครั้งนี้จะต้องชนะอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแต่ไม่ใช่ว่าศิษย์หลานจางเตรียมเก็บตัวอยู่หรือ อีกไม่นานก็จะทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณแล้วใช่ไหม ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่กับอาจารย์อาเย่ได้?” หญิงอายุสามสิบกว่าปีของนิกายจันทราสวรรค์กล่าวด้วยความดีใจ จากนั้นก็แสดงสีหน้างุนงงออกมา
“ข้าพาซิ่วเหนียงออกมาในครั้งนี้ เพราะได้ยินว่าเมื่อไม่นานมานี้ มีไอปีศาจบริสุทธิ์พลังดาราสวรรค์ปรากฏที่เสวียนจิงชุดหนึ่ง และอยากจะดูมาดูว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า มันเหมาะสมกับคุณสมบัติของซิ่วเหนียงหรือไม่ ถ้าเหมาะสมล่ะก็ ซิ่วเหนียงก็ใช้ไอปีศาจบริสุทธิ์นี้ควบแน่นเป็นปราณแกร่ง” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เรื่องเกี่ยวกับไอปีศาจบริสุทธิ์ อีกประเดี๋ยวให้ศิษย์หลานหูจัดการให้ก็ได้แล้ว นางเป็นศิษย์ตรวจตราในเสวียนจิง สามารถหาเบาะแสของไอปีศาจบริสุทธิ์ได้ง่ายมาก” โจวเทียนเหอได้ยินก็กล่าวอย่างนอบน้อม
“เจ้าเป็นคนค้นพบเผ่าเจ้าสมุทรในเสวียนจหรือ? อ๋อ! เจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องของซิ่วเหนียงนั่นเอง! ดีมาก ถ้าเจ้าหาเบาะแสของไอปีศาจบริสุทธิ์พลังดาราสวรรค์ได้ ข้าจะให้เจ้าเป็นศิษย์ประคองกระบี่ของข้าเป็นเวลาสองปี นอกจากนี้ การประลองในครั้งนี้ก็นับเจ้าเข้าไปด้วยแล้วกัน” พอเย่เทียนเหมยได้ยินเสียงที่จางซิ่วเหนียงส่งมา นางก็กวาดสายตามองหูชุนเหนียงที่อยู่ด้านข้าง และกล่าวออกมาด้วยความอ่อนโยนเป็นครั้งแรก
……………………………………….