ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 225 เงาปีศาจในจวนอ๋อง
ถึงหลิ่วหมิงจะไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็รู้สึกอยากปลีกตัวออกห่าง ‘ผู้อาวุโสเย่’ ผู้นี้ แม้ว่าจะเคารพนับถือก็ตาม
เพราะในร่างของเขายังมีฟองอากาศแปลกประหลาดที่ลึกลับกว่าแฝงอยู่ ถ้าถูกผู้ฝึกฝนระดับผลึกค้นพบเข้าล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง
สำหรับเขาแล้ว ถึงแม้ไม่รู้ว่ามันส่งผลดีหรือร้าย แต่อาศัยที่มันสามารถทำพลังเวทย์ให้บริสุทธิ์ และนำจิตรับรู้เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับได้ มันจะต้องเป็นสิ่งที่มีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ดังนั้นย่อมไม่อาจให้คนอื่นรู้ได้เป็นอันขาด
แม้ว่าครั้งนี้เขาจะไม่ได้สิ่งที่อยากได้จากเย่เทียนเหมย แต่ในเมื่อมีความรู้การฝึกฝนกระบี่ของนางแล้ว ต่อไปไม่ว่าจะเป็นการเกาะผลึกตัวอ่อนจิตวิญญาณกระบี่ของตนเอง หรือการฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริง คงต้องเดินบนเส้นทางที่คดเคี้ยวเป็นจำนวนมาก
เพราะว่าเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งในมือเขา มันล้ำลึกจนเกินไป อีกอย่างนอกจากวิธีการฝึกฝนที่เป็นรูปธรรมแล้ว ก็ไม่มีความรู้ด้านประสบการณ์บันทึกอยู่เลย
ตอนนี้เขามีความรู้การฝึกฝนกระบี่ของเย่เทียนเหมย บวกกับคัมภีร์ต่างๆ ที่รวบรวมมาจากตลาด มันคงทำให้เขาเดินเข้าสู่เส้นทางการฝึกฝนกระบี่ได้อย่างราบรื่นแล้ว
อย่างที่รู้กันว่า หลิ่วหมิงเลื่อมใสวิชากระบี่บินมาโดยตลอด ตอนนี้มีโอกาสฝึกฝนเส้นทางสายนี้ เขาย้อมไม่อาจละทิ้งไปได้
ปัญหายุ่งยากเพียงหนึ่งเดียวก็คือเหล็กทมิฬที่เขาต้องใช้ในการหลอมตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่ง เป็นวัสดุระดับสูงในการหลอมกระบี่บิน ดูท่าใช้วิธีการธรรมดาคงไม่อาจได้มันมา ต้องใช้วิธีการพิเศษบางอย่างถึงจะหามันมาได้
ครั้งนี้เขาได้สร้างผลงานในการต่อสู้กับเผ่าเจ้าสมุทรมาไม่ใช่น้อย ชายฉกรรจ์แซ่เหลยก็ได้มอบโอสถจิตวิญญาณหลายขวดกับแต้มคุณูปการสามพันแต้มให้เขาอย่างไม่เสียดาย
แม้ว่าตู้ไห่จะได้รับรางวัลเหมือนกัน แต่เทียบกับของเขาแล้วมันห่างกันมาก
เวลาต่อมาหลิ่วหมิงก็นั่งฝึกฝนอยู่เงียบๆ
ชายฉกรรจ์แซ่เหลย หลินไฉอวี่ และอาจารย์จิตวิญญาณนิกายปีศาจคนอื่นๆ ไม่ได้มอบหมายภารกิจอะไรให้เขา
จนเมื่อสองวันผ่านไป ชายฉกรรจ์แซ่เหลยก็กลับถึงเรือกระดูก และเรียกพบเขาอีกครั้ง
แต่ชายฉกรรจ์แซ่เหลยแค่สั่งเขาไม่กี่ประโยค และมอบรายชื่อผู้ฝึกฝนนอกรีตให้แผ่นหนึ่ง จากนั้นก็ให้เขากลับไปยังถ้ำที่พักของตนเอง
หนึ่งวันผ่านไป หลิ่วหมิงได้ยินเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น จึงออกจากถ้ำแล้วมองขึ้นไปบนฟ้า ตาข่ายยักษ์สีเทาที่ปกคลุมเสวียนจิงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ไม่เพียงแต่เท่านี้ ต่อมาเขาได้รับข่าวว่าเย่เทียนเหมย ชายฉกรรจ์แซ่เหลยและคนอื่นๆ ต่างก็กลับไปนิกายตนเองแล้ว
และเสวียนจิงในตอนนี้ กลุ่มอิทธิพลใต้ดินที่ค่อนข้างใหญ่ก็ถูกสลายไปจนหมดสิ้น ดูเหมือนว่าผู้ฝึกฝนอิสระหนึ่งในห้าส่วนถูกทั้งสองนิกายกวาดล้างไปจนหมด หลังจากชั้นจำกัดบนท้องฟ้าหายตัวไป คนที่เหลืออยู่กว่าครึ่งหนึ่งก็พากันออกไปจากเสวียนจิง ไม่กล้าอยู่ในเสวียนจิงต่อไปอีก
ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกฝนที่เหลืออยู่ในเสวียนจิงมีแค่ราวๆ หนึ่งในสี่ของก่อนหน้านั้น และไม่มีใครกล้าเสี่ยงก่อเรื่องไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนหลังจากเรื่องนี้ เรื่องราวเกี่ยวกับอดีตจักรพรรดิสิ้นพระชนม์ และข่าวเกี่ยวกับจักรพรรดินีพระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็กระจายไปทั่วเสวียนจิง
หลิ่วหมิงเป็นศิษย์ตรวจตรา ย่อมไปปะปนกับผู้คนในวันทำพิธี เพื่อสังเกตดูพิธีการขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดินี
ภายใต้การคุ้มครองของแขกจิตวิญญาณทองคำ พิธีการใหญ่จึงดำเนินไปอย่างราบรื่น
และ ‘จักรพรรดินี’ ที่กล่าวถึง เป็นแค่หญิงสาวอายุราวๆ สิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น ใบหน้ายังอ่อนเยาว์มาก
แต่ที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจก็คือ เขาได้พบกับผู้บัญชาการแขกจิตวิญญาณทองคำอย่างชิวหลงจื่อในงานพิธี ซึ่งเดิมทีหลิ่วหมิงคิดว่าเขาตายไปแล้ว
ชิวหลงจื่อในตอนนี้ นอกจากมีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อยแล้ว ตามร่างกายก็ไม่มีบาดแผลใดๆ อีก ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเสวียนจิงมากนัก แต่กลับดูจิตใจฮึกเหิมและองอาจห้าวหาญเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงย่อมไม่เป็นฝ่ายไปพบผู้บัญชาการแขกจิตวิญญาณทองคำผู้นี้ก่อน หลังพิธีการใหญ่เสร็จสิ้นแล้ว เขาก็กลับถ้ำไปอย่างเงียบๆ
พิธีขึ้นครองราชย์เสร็จสิ้นไปไม่กี่วัน หูชุนเหนียงก็มาหาเขาที่ถ้ำ และสุดท้ายก็พาเฉียนหรูผิงไป
จากคำพูดก่อนไปของนาง ตอนนี้ภารกิจศิษย์ตรวจตราของนางสิ้นสุดลง และได้เวลากลับนิกายแล้ว ด้วยเหตุนี้ถึงได้มาที่นี่เพื่อบอกลาเขา และพาเด็กหญิงไปด้วย
เมื่อถึงเวลาที่เฉียนหรูผิงต้องไปจากหลิ่วหมิงจริงๆ นางก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์อย่างถึงที่สุด
จนถึงกระทั่งตอนนี้ พอหลิ่วหมิงหลับตาก็ยังเห็นภาพที่เด็กหญิงหันกลับมามองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า
แต่เด็กหญิงแสดงความสามารถทางด้านค่ายกลออกมาได้ดี บวกกับได้ไปนิกายอันดับหนึ่งของแคว้นต้าเสวียน คิดว่าในภายหน้า ถึงแม้ไม่ได้กลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณ แต่คงได้รับการคุ้มครองที่ดี
เช่นนี้ นับว่าเขาได้ทำตามคำสัญญาที่ให้กับอาเฉียนในปีนั้นแล้ว
ช่วงระว่างเวลานี้ เขายังไปดูจวนเฉียนกับทางด้านฝานไป๋จื่อด้วย
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเสวียนจิงมีผลกระทบต่อพวกเขาน้อยมาก
ทางด้านจวนเฉียน ในช่วงที่เสวียนจิงเริ่มเกิดความวุ่นวาย พวกเขาได้เรียกคนทั้งหมดมารวมกัน และปิดประตูใหญ่ไว้อย่างแน่นหนาโดยไม่สนใจเรื่องราวภายนอกเลยแม้แต่น้อย เถ้าแก่เฉียนกับผู้อาวุโสเหมี่ยนก็สามารถพ้นเคราะห์ครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย
ส่วนฝานไป๋จื่อเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่มีชื่อเสียง กลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างๆ กับการกวาดล้างของชายฉกรรจ์แซ่เหลย ต่างไม่กระเทือนถึงเขาเลยแม้แต่น้อย ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ผู้นี้ยังเตือนให้เขามาเรียนวิชาปรุงโอสถให้ตรงเวลาด้วย
หลิ่วหมิงย่อมตอบรับกลับไปอย่างเต็มปากเต็มคำ
วันนี้หลิ่วหมิงกำลังตรวจสอบกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในห้องลับภายในถ้ำ บนกระดาษมีชื่อคนและคำบรรยายส่วนหนึ่งอยู่ลางๆ
และหลิ่วหมิงกำลังจ้องมองรายชื่อคนสองคนที่เขียนต่อจากคำว่า ‘พรรควิญญาณมืด’
ทั้งสองคนคือสองในสามผู้บังคับบัญชาการใหญ่ของพรรควิญญาณมืด และเป็นทูตหมายเลขหนึ่งกับหมายเลขสองของพรรควิญญาณมืด
ในขณะที่ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกับอาจารย์จิตวิญญาณของสองนิกายกวาดล้างรังลึกลับของพรรควิญญาณมืดนั้น ทั้งสองคนนี้ไม่เคยโผล่หน้าออกมาเลย แต่ฑูตหมายเลขสามนั้น หลบหนีไม่ทันจึงถูกชายฉกรรจ์แซ่เหลยสังหารตายคาที่
แต่สถานะที่แท้จริงของทูตหมายเลขหนึ่งกับหมายเลขสอง ถูกหาเจอโดยใช้วิธีการค้นจิตจากคนสนิทของทั้งสองแล้ว
พวกเขาคือผู้ฝึกฝนนอกรีตสองคนที่ชายฉกรรจ์แซ่เหลย สั่งให้หลิ่วหมิงจัดการก่อนที่เขาจะจากไปนั่นเอง
มาถึงเวลานี้แล้ว พวกเขามั่นใจแล้วว่าศิษย์ตรวจตราคนก่อนถูกพรรควิญญาณมืดทำร้ายอย่างแน่นอน แม้แต่ศพก็กลายเป็นกองขี้เถ้าไปด้วย
ส่วนที่ว่าทำไมพรรควิญญาณมืดถึงได้กล้าทำเช่นนี้ ผู้คนต่างก็พากันพูดไปต่างๆ นานา ว่าแม้แต่พรรควิญญาณมืดเองยังไม่รู้จักคนในพรรค คงมีแค่สามผู้นำใหญ่เท่านั้นที่รู้
แต่น่าเสียดายที่ทูตหมายเลขสาม ตายในเงื้อมมือของชายฉกรรจ์แซ่เหลยเร็วไปหน่อย จึงไม่ทันจับเป็นเขา มิเช่นนั้นถ้าได้ค้นดูจิตเขาล่ะก็ ไม่แน่ทุกอย่างอาจจะกระจ่างขึ้นมาก็ได้
หลิ่วหมิงกลับไม่ค่อยสนใจคนทั้งสองเท่าไหร่
เพียงแค่พรรควิญญาณมืดไม่ฟื้นคืนอิทธิพล ผู้ฝึกฝนนอกรีตสองคนนี้จะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาได้
แต่ตอนนี้จวนอ๋องสามว่างแล้ว ที่เขาอดทนไม่ทำการใดๆ มาโดยตลอด เพราะกลัวว่าถ้าหลับหูหลับตาบุกเข้าไป หลังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเสวียนจิงเพิ่งจะผ่านพ้นไม่นาน อาจมีคนสงสัยเอาได้
ตอนนี้ผ่านไปเดือนกว่าๆ แล้ว จวนอ๋องแต่ละแห่งก็ถูกจักรพรรดินีองค์ใหม่ตรวจสอบและอายัดไว้หมดแล้ว อีกไม่นานก็จะมอบให้กับขุนนางใหญ่คนอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ ถ้าเขาไม่ดำเนินการในตอนนี้ล่ะก็ คงจะไม่ได้แล้ว
หลิ่วหมิงเก็บแผ่นกระดาษในมือ และตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็ถึงเวลายามสาม!
เงาร่างจางๆ พุ่งออกจากตรอกบางแห่ง หลังจากเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไม่กี่ที ก็ลอยผ่านกำแพงจวนอ๋องสามไป และลอยลงในลานขนาดไม่เล็กมากนัก โดยไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ
เวลานี้รอบด้านเงียบสงัด พื้นที่ทั่วทุกแห่งในจวนล้วนมืดสลัวๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีแสงจันทราส่องสว่างลงมาจากฟ้า เกรงว่ายื่นมือไปก็คงมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าของตนเอง
แน่นอนว่าเงาร่างที่บุกเข้ามาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง!
หลังจากเขากวาดสายตามองไปรอบด้านแล้ว ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ทันใดนั้นดวงตาเขาก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมา ภาพที่ดูสลัวๆ กลับชัดเจนขึ้นมามาก
จากนั้นหลิ่วหมิงก็ตบถุงหนังบนเอว “ซู่!” แสงสีดำม้วนตัวออกมา จากนั้นแมงป่องกระดูกขาวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ครั้งนี้แมงป่องกระดูกขาวส่ายหางแล้วมุดหายเข้าไปใต้ดิน โดยที่เขาไม่ต้องสั่งอะไรเลย
หลิ่วหมิงล้วงแผนที่ออกจากแขนเสื้อมาผืนหนึ่ง แล้วมองดวงดาวบนท้องฟ้า หลังจากทำความเข้าใจทิศทางเล็กน้อยแล้ว ก็พุ่งผ่านสิ่งก่อสร้างแต่ละแห่งของจวนอ๋องสามไป
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงอาศัยวิธีการอะไรหามุมบางแห่ง ที่อยู่หน้าต้นไม้ยักษ์ที่ไม่ทราบอายุได้
“ดูท่าคงจะเป็นต้นไม้ต้นนี้ เวลาก็พอๆ กัน” หลิ่วหมิงเดินวนต้นไม้ยักษ์อยู่หลายรอบ และกวาดสายตามองพื้นบริเวณนั้นอยู่หลายที ในที่สุดก็กล่าวออกมาด้วยความดีใจ จากนั้นก็เคลื่อนตัวไปอยู่บนต้นไม้ยักษ์ และก้มมองดูเงาไม้จางๆ ใต้แสงจันทร์
เวลาค่อยๆ ผ่านไป เงาต้นไม้พร่ามัวเริ่มเคลื่อนย้ายไปยังทิศทางบางแห่ง และค่อยๆ ยืดยาวออกไป
ทันใดนั้น พื้นที่บางแห่งของเงาไม้ มืดดำขึ้นมาทันที และรวมตัวเข้าด้วยกันจนดูคล้ายกระบี่สีดำยาวจั้งกว่าๆ อย่างน่าประหลาดใจ
หลิ่วหมิงตาเป็นประกายเมื่อเห็นเช่นนี้ สายตาเขามองตามทิศทางที่กระบี่ชี้ไปร้อยกว่าก้าว
ผลลัพธ์คือหอที่ดูไม่เตะตาแห่งหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล
ขณะที่เขากำลังจะลอยลงไปจากต้นไม้ยักษ์ด้วยความดีใจนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที เขาค่อยๆ หดตัวจนหายไปในใบไม้ ขณะเดียวกันกลิ่นไอบนตัวก็ถูกระงับไว้ จนดูเหมือนจะไม่มี
ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงดังก้องฟ้า เงาร่างคนสองคนแฉลบเข้ามา คนหนึ่งสูง คนหนึ่งอ้วน และเคลื่อนไหวมาหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
“รีบลงมือเร็วหน่อย ดูสิว่าของสิ่งนี้ยังอยู่ไหม?” ทั้งสองมองดูรองด้านอย่างระมัดระวัง จากนั้นชายร่างสูงก็ตะคอกเสียงต่ำกับคู่หูในทันที
“ข้ารู้แล้ว มอบให้ข้าเถอะ!” เงาร่างที่ค่อนข้างอ้วนได้ยินเช่นนี้ ก็นำแผ่นกลมๆ ออกมาจากแขนเสื้อแล้วนำไปแปะลำต้นของต้นไม้ใหญ่ในทันที มืออีกข้างก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว
“ฟู่!”
เมื่อแผ่นกลมๆ เปล่งแสงสว่างออกมา เงาร่างอ้วนก็ขยับแขนสอดมือข้างหนึ่งเข้าไปในแผ่นกลมๆ และควักเอาสิ่งของดำๆ ออกมาอย่างหนึ่ง
……………………………………….