ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 227 เงาร่างปีศาจ
เดินไปอีกประมาณหลายลี้ ขณะที่หลิ่วหมิงคาดว่าตนเองคงจะมาถึงด้านล่างของเขาเซียนทอแสงแล้วนั้น เส้นทางก็เริ่มมุ่งไปสู่ด้านบน
ครั้งนี้เขาไม่ได้เผชิญกับชั้นจำกัดใดๆ หลังจากผ่านไปไม่นานก็มองเห็นปลายทางที่อยู่ด้านหน้า ตรงนั้นมีประตูหินสีดำที่เปล่งประกายแสงสีขาวอยู่
บนพื้นผิวประตูหินมีอักขระมีเงินกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ตัวบานประตูหายไปเกือบครึ่งหนึ่ง และพิงอยู่ตรงทางออก ราวกับว่าถูกคนใช้พลังมหาศาลกระแทกมันออกมา
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันที เขาโบกมือข้างหนึ่งไปยังด้านหน้าเพื่อเก็บยันต์ที่ลอยอยู่ และหยิบยันต์อีกผืนมาแปะบนร่างตัวเอง
“ฟู่!” ร่างของเขาถูกแสงสีเหลืองจางๆ ปกคลุมไว้ จากนั้นก็เคลื่อนตัวจมหายไปในผนังหินด้านหนึ่ง
เขาใช้ยันต์ดำดินค่อยๆ เข้าไปใกล้ประตูหินโดยไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา
ผ่านไปไม่นานหลิ่วหมิงก็หยุดเคลื่อนไหว หลังจากทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วก็ปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไป
ชั่วพริบตานั้นจิตรับรู้ของเขาก็ทะลุออกจากชั้นดินหนาๆ ไป ปรากฏภาพแจ่มชัดเป็นพิเศษในทะเลจิตรับรู้ของเขา
ด้านหลังประตูหิน เป็นห้องโถงใหญ่ที่กว้างสี่สิบถึงห้าสิบจั้ง มีเพดานสูงสิบกว่าจั้ง
ห้องโถงใหญ่ทั้งห้องปูด้วยก้อนอิฐที่ราบเรียบเสมอกัน รอบด้านมีเสาหินขนาดใหญ่ ซึ่งต่างก็ถูกทำลายจนเปลี่ยนสภาพไปหมดสิ้น มีเพียงไม่กี่เสาที่ยังรักษาสภาพเดิมไว้
สิ่งที่ทำให้คนตกใจยิ่งกว่าก็คือ มีร่างคนชุดดำใส่หน้ากากล้มอยู่บนพื้นสิบกว่าคน แต่ละคนผอมแห้งผิดปกติ ไร้ซึ่งลมหายใจ เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ตายไปนานเท่าไหร่แล้ว
นอกจากนี้แล้ว ตรงมุมห้องโถงยังมีหุ่นแกะสลักสีขาวเทาที่สภาพไม่สมบูรณ์จำนวนหนึ่ง กับศพของสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนคนก็ไม่ใช่วัวก็ไม่เชิง
และตรงข้ามกับประตูหินสีดำ มีประตูทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่กว่าตั้งอยู่บานหนึ่ง มันดูโบราณและเรียบง่าย บนพื้นผิวของมันมีค่ายกลอักขระแวววาวที่ดูลึกลับเป็นอย่างมากจารึกอยู่ รอบด้านล้วนเป็นอักขระหลากสีจำนวนมาก มันเปล่งประกายลำแสงที่ดูอันตรายออกมา
ด้านหน้าประตูทองสัมฤทธิ์บานนี้ มีคนชุดดำสวมหน้ากากยืนอยู่สองคน คนหนึ่งสูง คนหนึ่งอ้วน
คนที่อ้วนกำลังเอาผลึกโลหิตใส่เข้าไปในรอยเว้าที่อยู่ใจกลางประตู
พอผลึกโลหิตเข้าไปในนั้นประตูทั้งบานก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา ผลึกโลหิตเริ่มเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง แสงสีเลือดฟุ้งไปทั่วค่ายกลอักขระแวววาว
ประตูทองสัมฤทธิ์ที่เดิมดูโบราณและเรียบง่ายดูน่าหลงใหลขึ้นมาทันที
คนชุดดำทั้งสองเห็นเช่นนี้ ต่างก็ตกใจจนถอยออกไปหลายก้าว และตั้งท่าเตรียมพร้อมไว้
ขณะนั้นเอง แสงสีเลือดบนประตูทองสัมฤทธิ์ก็เปล่งประกายออกมา ค่ายกลอักขระแวววาวลอยออกมาจากในนั้น และหมุนติ้วๆ ในอากาศอย่างรวดเร็ว
ทุกการหมุนวนในแต่ละรอบ จะทำให้แสงสีเลือดบนนั้นเข้มข้นขึ้น
แต่ดูเหมือนว่าชั่วอึดใจเดียว แสงสีเลือดก็ดูเหนียวข้นราวกับโลหิต มันสะเทือนใจผู้ที่พบเห็นจนรู้สึกถึงความโหดร้ายโดยไม่รู้ตัว
ดีที่คนชุดดำทั้งสองเป็นผู้ฝึกฝน ถึงแม้จะแอบตกใจที่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้สติหลุดลอยแต่ย่างใด แต่กลับจ้องมองประตูทองสัมฤทธิ์อย่างไม่ละสายตา
“แอ๊ด!” ในที่สุดประตูทองสัมฤทธิ์ที่ปิดสนิทก็ค่อยๆ แง้มออกมา
“สำเร็จแล้ว”
คนชุดดำร่างสูงใหญ่กล่าวด้วยความดีใจ
แต่พอเขากล่าวจบ ค่ายกลอักขระแวววาวที่เดิมหมุนวนอย่างรวดเร็วก็ค่อยๆ ช้าลง ขณะเดียวกันแสงสีเลือดบนนั้นก็จางลง ประตูทองสัมฤทธิ์ชะงักลง จากนั้นก็ค่อยๆ ปิดตัวลง
“แย่แล้ว! โลหิตบริสุทธิ์ในผลึกโลหิตไม่เพียงพอ!” คนชุดดำร่างอ้วนเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจมาก หลังจากกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักอึ้ง เขาก็รีบก้าวไปด้านหน้าทันที แสงสีเงินเปล่งประกายขึ้นบนมือ ไม่คิดว่าเขาจะกรีดข้อมือของตนเอง จากนั้นก็กระตุ้นพลังเวทย์อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นโลหิตบริสุทธิ์ก็พุ่งเข้าใส่ค่ายกลอักขระ
พริบตาที่โลหิตสัมผัสลงบนค่ายกลอักขระ มันก็หายวับไปจนหมดสิ้น
ค่ายกลอักขระเริ่มหมุนวนอีกครั้ง!
ประตูทองสัมฤทธิ์ค่อยๆ เปิดออกมาท่ามกลางแสงสีเลือดอันเข้มข้น
บังเกิดเสียงดังออกมา!
ค่ายกลอักขระแวววาวระเบิดตัวแตกกระจายในทันที พอแสงสีเลือดหายไป ประตูทองสัมฤทธิ์บานใหญ่ก็ค่อยๆ เปิดออก จากนั้นม่านแสงสีขาวโพลนก็ปรากฏขึ้น ทำให้มองเห็นไม่ชัดเจนว่ามีอะไรอยู่ข้างในนั้น
พอคนชุดดำหยุดปล่อยพลังเวทย์ โลหิตบนข้อมือก็หยุดพุ่ง จากนั้นเขาก็หยิบยันต์อีกผืนออกมาแปะลงบนตัว
ทันใดนั้นรอยบาดแผลก็สมานกันอย่างรวดเร็วจนกลับมาเป็นปกติ
แต่ดวงตาทั้งคู่ของชายร่างอ้วนมืดสลัวเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าสูญเสียพลังไปไม่ใช่น้อย
“หมายเลขสอง เจ้าทำได้ดีมาก ถ้าครั้งนี้ไม่มีเจ้าข้าคงทำไม่สำเร็จ” คนร่างสูงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวอย่างโล่งอก
“ฮึ! ครั้งนี้ข้าเสียหายไปมาก หวังว่าสมบัติในนั้นคงจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ด้านในคงไม่มีชั้นจำกัดที่ร้ายกาจอะไรหรอกนะ พวกเราเข้าไปกันเถอะ” คนชุดดำร่างอ้วนทำเสียงฮึดฮัดออกมา จากนั้นก็ก้าวเข้าประตูทองสัมฤทธิ์ไป
ชายร่างสูงจ้องมองแผ่นหลังชายร่างอ้วนด้วยแววตาชั่วร้าย แต่ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาอีก แววตาถึงได้กลับมาเป็นเช่นเดิม หลังจากนั้นเดินตามไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ทั้งสองเดินหายเข้าไปในม่านแสงสีขาว โดยไม่มีอะไรมาขัดขวางไว้
ผ่านไปไม่นาน แสงสีเหลืองจางๆ ก็เปล่งประกายบนผนังมุมหนึ่งของห้องโถงใหญ่ จากนั้นร่างหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมา
เขากวาดสายตามองสถานการณ์ในห้องโถงใหญ่ และมองม่านแสงสีขาวที่อยู่ไม่ไกลทีหนึ่ง จากนั้นก็แสดงสีหน้าลังเลออกมาเล็กน้อย
ขณะนั้นเอง มีเรียงร้องอย่างเวทนาดังมาจากม่านแสงสีขาว ตามติดด้วยเสียงตกใจระคนโมโห
“เจ้า……ไม่คิดว่าเจ้าจะลงมือกับข้า!” ฟังจากน้ำเสียงแล้วเป็นคนชุดดำเหล่านั้น
“เฮ่อๆ! ในเมื่อหาสมบัติเจอแล้ว เจ้าก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ข้าคิดว่าการใช้สมบัตินี้เพียงคนเดียวจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า อ๊าก……เจ้าพกของสิ่งนี้มาด้วย……” ชายร่างสูงใหญ่กล่าวได้เพียงไม่กี่ประโยคก็ต้องร้องออกมาอย่างเวทนา น้ำเสียงของเขาดูโมโหเป็นอย่างมาก
“ในเมื่อข้าไม่อาจได้สมบัติเหล่านี้ เจ้าก็อย่าหวังจะได้มันไปเลย เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าที่นี่ตลอดไปก็แล้วกัน” ชายชุดดำร่างอ้วนกัดฟันกล่าวออกมา
จากนั้นก็มีเสียงต่อสู้ปะปนกับเสียงกร่นด่าดังขึ้นในม่านแสง
พอมีเสียงดังขึ้น เสียงทั้งหมดก็หยุดชะงักไป!
ข้างในม่านแสงเงียบสงัดไร้ซึ่งสุ้มเสียง
พอหลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ดวงตาก็หรี่ลงเล็กน้อย และตบถุงหนังบนเอวทันที ไอสีดำพวยพุ่งออกมารวมตัวเป็นศีรษะผู้ชายที่มีผมยาวเต็มศีรษะ
มันคือหัวบินนั่นเอง!
“ไป”
เขาสะบัดแขนเสื้อไปทางม่านแสงสีขาว
พอหัวบินได้ยินก็แสดงสีหน้าดุร้ายออกมา และหายวับไปในม่านแสงทันที
ครู่ต่อมา มีเสียงแผดร้องดังขึ้นจากด้านใน เหมือนจะเป็นเสียงร้องประหลาดของหัวบินดังมาแว่วๆ
“แย่แล้ว! ไม่รู้ว่าพวกเขาค้นพบข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจมากนัก แต่กลับกล่าวพึมพำกับตัวเอง
จากนั้นเขาถึงกลายร่างเป็นเงาพุ่งเข้าไปในม่านแสง
พอแสงสีขาวตรงหน้าหายไป หลิ่วหมิงก็เห็นทุกอย่างชัดเจน
ที่เหนือความคาดหมายก็คือ สิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่ห้องที่มีสมบัติมากมายก่ายกอง แต่เป็นถ้ำเปียกชื้นที่มีขนาดหมู่กว่าๆ แม้จะดูเล็กกว่าห้องโถงข้างนอกไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่อยู่ข้างในนอกจากจะมีโลงไม้ธรรมดากับตะเกียงหมื่นปีขนาดใหญ่แล้ว ก็ไม่มีของสิ่งใดอีก
และบริเวณใจกลางถ้ำ หัวบินกำลังบินพ่นเปลวเพลิงสีเขียวออกมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันเส้นผมบนหัวก็กลายเป็นตาข่ายปกป้องตัวเองไว้
คนชุดดำทั้งสองไล่โจมตีหัวบินอยู่ไม่หยุด คนหนึ่งถือกระจกทองเหลืองซึ่งพ่นเพลิงสายฟ้าออกมาเป็นจำนวนมาก อีกคนถือกระบี่กระดูกสองเล่ม ปล่อยไอสีดำออกมาโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
ไม่เพียงแค่เท่านี้ สิ่งที่ร่วมโจมตียังมีค้างคาวสีดำขนาดยาวฉื่อกว่าๆ ตัวหนึ่ง มันปล่อยคมวายุสีเทาออกมาเป็นจำนวนมาก
ถึงแม้ว่าการโจมตีของคนสองคนกับหนึ่งอสูรจะโหดเหี้ยมราวกับมรสุมที่โหมกระหน่ำ แต่ภายใต้การตั้งรับของหัวบิน พวกเขาไม่อาจทำอะไรมันได้
แต่พอหลิ่วหมิงปรากฏตัวในถ้ำ สีหน้าชายร่างสูงใหญ่ก็เคร่งขรึมขึ้นมา และรีบเป่าปากในทันที
พอค้างคาวดำตัวนั้นได้ยิน ก็หมุนตัวพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงราวกับพายุบ้าระห่ำ
เกือบจะในเวลาเดียวกัน มีเคลื่อนสั่นไหวข้างตัวหลิ่วหมิง เงาร่างกึ่งโปร่งแสงปรากฏออกมา และพุ่งเข้ามาอย่างโหดเหี้ยม
มีเสียงฮึดฮัดดังออกมา!
ปราณกระบี่จำนวนมากม้วนตัวออกจากแขนเสื้อหลิ่วหมิง ขณะเดียวกันลูกเปลวไฟสีแดงก็พุ่งออกจากมืออีกข้าง
“เพล้ง!” “เพล้ง!”
เงาร่างกึ่งโปร่งแสงถูกปราณกระบี่ม้วนตัวโจมตีจนกระเด็นออกไป เงาร่างนี้เป็นวิญญาณของหญิงที่มีใบหน้าซีดขาว นิ้วทั้งสิบแหลมคมเป็นอย่างมาก
ปีศาจค้างคาวขยับตัวหลบลูกเปลวไฟไปได้
ครู่ต่อมา ลูกเปลวไฟก็สั่นสะเทือนจนระเบิดออกมา แสงสีเขียวพุ่งออกมาจากเปลวไฟที่เผาไหม้ และพุ่งไปยังศีรษะค้างคาว
ค้างคาวดำส่งเสียงร้องแหลมออกมา จากนั้นก็ร่วงหล่นลงพื้น และไม่สามารถกระดิกตัวได้อีก
และในโอกาสนี้ หลิ่วหมิงได้สะบัดกระบี่สั้นสีเขียวอีกครั้ง และปล่อยเงากระบี่ออกไปฟันเงาร่างปีศาจกึ่งโปร่งแสง
“สหายโปรดยั้งมือ พวกเราสามารถเจรจากันก่อนได้” ชายร่างสูงใหญ่เห็นเช่นนี้ก็ตะคอกเสียงต่ำออกมา และขณะเดียวกันก็หยุดโจมตีหัวบินไปด้วย
ชายร่างอ้วนเห็นเช่นนี้ก็ลดการโจมตีลง
แต่หลิ่วหมิงทำเหมือนกับไม่ได้ยิน ไม่เพียงแต่จะไม่หยุดกระบี่สั้นในมือเท่านั้น หลังจากเข็มเงาหยกพุ่งมาถึงบริเวณเงาร่างปีศาจสาวแล้ว มันก็พร่ามัวกลายเป็นเงาเข็มจำนวนมากพุ่งยิงออกไป
เดิมทีเงาร่างปีศาจนี้ก็ถูกปราณกระบี่โจมตีจนมือไม่พัลวันอยู่แล้ว และภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันป้องกันตัว จึงถูกเงาเข็มแทงทะลุระหว่างคิ้วไป
มีเสียงร้องอย่างเวทนาดังขึ้น!
เงาร่างปีศาจสาวกลายเป็นควันสีเขียวก่อนสลายไป เหลือทิ้งไว้เพียงมุกสีเขียวหยกที่ไร้ซึ่งประกายแสงหล่นอยู่บนพื้น
……………………………………….