ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 240 สำเร็จวิชาปรุงโอสถขั้นต้น
แต่หากโอกาสในการปรุงโอสถระดับศิษย์จิตวิญญาณสำเร็จมีมากล่ะก็ จะมีเป็นผลต่อหลิ่วหมิงในการปรุงโอสถระดับอาจารย์จิตวิญญาณในภายหน้า
เพราะประสบการณ์ในการปรุงโอสถ เป็นที่ใช้โดยทั่วไปสำหรับการปรุงโอสถระดับสูงต่ำ
ดังนั้นภายในระยะเวลาสองวันนี้ หลิ่วหมิงจะเพ่งความสนใจทั้งไปหมดที่การปรุงโอสถ
แม้จะอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับ แต่ในด้านการปรุงโอสถล้วนเหมือนกับข้างนอกไม่มีผิด โอกาสในการปรุงโอสถได้สำเร็จยังคงเป็นสองถึงสามในสิบครั้ง
พอวันที่สาม ก็มีเสียงดัง “ฟู่” จากเตาหลอมตรงหน้า และมีกลิ่นไหม้ออกมา
หลิ่วหมิงแสยะปาก และหยุดทำท่ามือ เพราะรู้ว่าการปรุงโอสถในครั้งนี้ล้มเหลว แต่พอกวาดสายตาดูข้างเตาหลอม ก็ค้นพบว่าวัตถุดิบก็เหลืออยู่น้อยมาก
เขาถอนหายใจออกมา และล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ เพื่อควักยันต์เก็บของแบบง่ายที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบออกมาผืนหนึ่ง
ก่อนหน้านั้นไม่นาน หลิ่วหมิงเพิ่งซื้อวัตถุดิบปรุงโอสถจากตลาดใต้ดินใส่ไว้ในยันต์เก็บของอย่างง่ายมาสิบผืน
สามปีมานี้ เขาใช้หินจิตวิญญาณไปกับการปรุงโอสถเป็นจำนวนมาก แม้ว่าในตอนหลังจะมีโอกาสปรุงโอสถสำเร็จมากขึ้น และนำมันไปขายแลกหินจิตวิญญาณกลับมา แต่หลายปีมานี้ก็สูญเสียไปเกือบหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ
นี่ขนาดเขาใช้เวลาในการปรุงโอสถเพียงแค่สองวันในแต่ละเดือนเท่านั้น มิเช่นนั้นคงต้องสูญเสียต้นทุนในการปรุงโอสถอีกหลายเท่า
โดยทั่วไปวัตถุดิบการปรุงโอสถในยันต์แต่ละผืน มันเพียงพอสำหรับใช้แค่สองวันเท่านั้น ดูจากวัตถุดิบที่เขาพกมา ถ้าปรุงโอสถทุกวันอย่างต่อเนื่องล่ะก็ มันพอใช้แค่ยี่สิบกว่าวันเท่านั้น
และพอมือหลิ่วหมิงยื่นมือออกจากแขนเสื้อ ก็ต้องชะงักเล็กน้อย สีหน้าเขาดูประหลาดใจเป็นอย่างมาก
เขาพลิกมือข้างหนึ่งขึ้นโดยฉับพลัน ยันต์สีเหลืองจางๆ ปึกหนึ่งโผล่ออกมา อักขระสีเงินจำนวนมากประทับอยู่บนนั้น มันคือยันต์เก็บของแบบง่ายนั่นเอง
หลิ่วหมิงกวาดสายตาดูยันต์เก็บของอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
“ทำไมยังเป็นสิบผืน ก่อนหน้านี้ใช้ไปหนึ่งผืนแล้วนี่” เขากล่าวพึมพำออกมา จากนั้นก็นับดูยันต์เก็บของอีกรอบ แต่มันยังคงเป็นสิบผืนจริงๆ
สีหน้าหลิ่วหมิงดูซับซ้อนขึ้นมาทันที
ครู่ต่อมา เขาเก็บยันต์เก้าผืนใส่คืนเข้าไปโดยฉับพลัน เหลือไว้เพียงผืนเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ขยี้จนแหลกละเอียด แสงสีขาวเปล่งประกายออกมา บนพื้นเต็มไปด้วยวัตถุดิบการปรุงโอสถกองหนึ่ง
หลิ่วหมิงล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ เมื่อมั่นใจว่ายันต์ยังเหลือเก้าผืนเช่นเดิม เขาก็ทานโอสถเสริมพลังเวทย์ที่ปรุงขึ้นมาหนึ่งเม็ด หลังจากที่รับรู้ได้ว่าพลังเวทย์ค่อยๆ เพิ่มขึ้น เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
เขาลังเลเล็กน้อย แล้วก็ทำท่ามือเพื่อปรุงโอสถต่อ
ทุกครั้งที่ปรุงโอสถเสร็จ หลิ่วหมิงจะตรวจนับยันต์เก็บของในแขนเสื้อหนึ่งครั้ง แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
แต่หลังจากปรุงโอสถเสร็จหนึ่งครั้งในวันที่สอง เขาก็ใช้พลังจิตกวาดดูสิ่งของในแขนเสื้อ สีหน้าเขาดูตกใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก
เขาล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้ออีกครั้ง ทันใดนั้นยันต์เก็บของปึกหนึ่งก็ปรากฏออกมา และมันยังคงมีสิบผืนเช่นเดิม
อย่างที่รู้ว่า หลังจากปรุงโอสถเสร็จเมื่อครั้งก่อน เขาเพิ่งตรวจสอบพบว่ามียันต์เก็บของเหลือแค่เก้าผืนเท่านั้น
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างเงียบๆ แล้วก็ขยี้ยันต์ผืนหนึ่งราวกับคิดอะไรอยู่ หลังจากปล่อยวัตถุดิบจำนวนมากลงพื้นแล้ว ก็นำอีกเก้าผืนมาวางไว้บนพื้นตรงหน้าเช่นกัน
เวลาต่อมาเขาก็ไม่ได้ปรุงโอสถ แต่กลับจ้องมองยันต์บนพื้นโดยไม่กระพริบสายตา
หนึ่งวัน สองวัน จนเมื่อห้าวันผ่านไป ยันต์เก็บของบนพื้นก็ยังคงมีเก้าผืนเช่นเดิม ไม่มีการเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงประหลาดใจเป็นอย่างมาก
พอถึงวันที่หก เขาก็ไม่อาจทนรอได้อีกต่อไป เขาเปิดฝาเตาหลอมโดยไม่สนใจยันต์เก็บของบนพื้น และเริ่มทำการปรุงโอสถต่อ
จนเมื่อผ่านไปสองวัน และวัตถุดิบบนพื้นใกล้จะหมดเกลี้ยงนั้น หลิ่วหมิงปรุงโอสถไปด้วย สายตาก็กวาดมองวัตถุดิบบนพื้นไปด้วย สีหน้าเขาดูหนักอึ้งขึ้นมา
ยันต์สิบผืนวางอยู่บนพื้นอย่างเป็นระเบียบ เขาหยุดการปรุงโอสถแล้วหันมามองยันต์เก็บของบนพื้นเหล่านั้น
ด้วยระดับความจำอย่างเขา เขาจำตำแหน่งการวางยันต์เหล่านี้ในก่อนหน้านั้นได้อย่างแม่นยำ ครู่เดียวก็รู้ได้ว่ายันต์ที่ปรากฏขึ้นมาใหม่คือผืนใด
เขาลังเลเล็กน้อย และยื่นมือคว้ายันต์เก็บของมาผืนหนึ่ง หลังจากสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว ก็ไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ จึงขยี้มันจนแหลกอีกครั้ง
“ฟู่!”
แสงสว่างม้วนตัวออกมา วัตถุดิบการปรุงโอสถโผล่ขึ้นบนพื้น
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองวัตถุดิบเหล่านี้ไม่กี่ที ก็มองออกว่าชนิดกับจำนวนของวัตถุดิบล้วนเหมือนกับที่อยู่ในยันต์เก็บของที่ใช้ไปก่อนหน้านั้นไม่มีผิด
ดูเหมือนกับลอกเลียนแบบสิ่งของทุกอย่างที่อยู่ในยันต์เก็บของก่อนหน้านั้น
ตอนนี้ นับว่าหลิ่วหมิงรู้เงื่อนไขที่ของเหล่านี้ถูกทำซ้ำขึ้นมาแล้ว แปดถึงเก้าในสิบส่วนไม่เพียงแต่เกี่ยงข้องกับการกระตุ้นยันต์เก็บของ แต่ยังต้องใช้ของในนั้นใช้ไปพอประมาณด้วย ถึงจะมียันต์เก็บของผืนใหม่ปรากฏขึ้นในห้องว่างเปล่าแห่งนี้
เพื่อความมั่นใจในเรื่องนี้ ในระยะเวลาครึ่งเดือนหลิ่วหมิงก็ทดสอบอีกหลายรอบ ผลลัพธ์เป็นแบบที่เขาคาดไว้ไม่มีผิด
ดูท่าความลึกลับของห้องว่างเปล่าแห่งนี้ จะเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก
แต่ที่ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงมากยิ่งกว่าเดิมก็คือ หลังจากผ่านการปรุงโอสถโดยไม่หยุด ดูเหมือนว่าวิชาการปรุงโอสถเขาจะถูกยกระดับขึ้นมาเล็กน้อย
ดูท่าในห้องว่างเปล่านี้ แม้เขาจะใช้วัตถุดิบที่ทำซ้ำขึ้นมา แต่มันก็ยังมีผลต่อวิชาปรุงโอสถของเขาเช่นกัน
หลังจากหลิ่วหมิงแน่ชัดในเรื่องนี้แล้ว ความกังวลสุดท้ายของเขาก็หายไป และฝึกฝนปรุงโอสถด้วยความดีใจอยู่ไม่หยุด
ภายใต้สถานการณ์ที่ดูเหมือนว่าวัตถุดิบจะไม่มีวันหมดนั้น สามารถยกระดับการปรุงโอสถของหลิ่วหมิงได้อย่างไม่มีข้อจำกัด
เวลาในแต่ละเดือนผ่านพ้นไป ความสำเร็จในการปรุงโอสถระดับอาจารย์จิตวิญญาณหลายชนิดก็เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ
แม้แต่การบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถของนิกายปีศาจ ก็ไม่สามารถฝึกฝนการปรุงโอสถได้ตามใจชอบโดยไม่มีข้อจำกัดเช่นนี้ได้
เพราะถ้าคำนวณดูจากหินจิตวิญญาณล่ะก็ วัตถุดิบที่เขาใช้ไปในหนึ่งเดือน มีมูลค่าหนึ่งแสนกว่าหินจิตวิญญาณ
วิธีการบ่มเพาะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ นิกายไหนเลยจะสามารถแบกรับได้ไหว
การฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งนี้ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน หลิ่วหมิงก็สามารถปรุงโอสถได้สำเร็จห้าถึงหกในสิบครั้งแล้ว
ผ่านไปอีกหนึ่งปี โอกาสในการปรุงโอสถสำเร็จก็คงเพิ่มขึ้นถึงสิบแล้ว
เวลาที่เหลือ หลิ่วหมิงพุ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการยกระดับคุณภาพของโอสถ
ในช่วงระหว่างเวลานี้ แมงป่องกระดูกขาวกับหัวบินก็ไม่เคยหยุดการฝึกฝนเลย
ตอนนี้หางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวสั่นไหว พริบตาเดียวก็กลายเป็นเส้นสีดำหลายสิบเส้นพุ่งยิงออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นถึงค่อยมีเสียงดังขึ้นมา
และภายใต้การสะบัดหัวของหัวบิน ก่อให้เกิดแสงสีเขียวเปล่งประกายเต็มฟ้า โดยมองไม่เห็นร่องรอยของเส้นผมยาวใดๆ เลย ความเร็วและพลังของการโจมตีก็มาถึงระดับที่น่าทึ่งเป็นอย่างมาก
ส่วน ‘หลิ่วหมิง’ คนที่สอง ก็ไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ทำให้หลิ่วหมิงเห็นเขาเป็นแค่รูปปั้นเท่านั้น
วันหนึ่งในครึ่งปีหลัง หลิ่วหมิงหยิบผลึกโอสถที่มีอักขระสีเงินจางๆ อยู่บนพื้นผิวออกจากเตาหลอมมาเม็ดหนึ่ง ตอนที่เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมากนั้น ก็มีเคลื่อนสั่นไหวรอบด้าน พอมีเสียงดัง “หวึ่ง!” ข้างหู ตาทั้งคู่ก็มืดมิดลง ร่างของหลิ่วหมิงปรากฏตัวในห้องลับที่จากไปอีกครั้ง
หลังจากที่ความรู้สึกวิงเวียนศีรษะหายไป จุดตันเถียนในร่างเขาก็สั่นไหว พลังเวทย์บริสุทธิ์อย่างมากทะลักออกจากในนั้น
หลิ่วหมิงรีบทำท่ามือด้วยความดีใจ และรับพลังเวทย์บริสุทธิ์ที่ฟองอากาศลึกลับสะท้อนกลับมาอย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา เขาถึงถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับวางสองมือลง
ฟองอากาศลึกลับในจุดตันเถียนได้หายไปอีกครั้งแล้ว
เขาสัมผัสดูพลังเวทย์เหล่านี้เล็กน้อย ซึ่งมันบริสุทธิ์กว่าก่อนหน้านั้นมาก แต่ระดับการฝึกฝนกลับลดจากศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบลงมาอยู่ที่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายธรรมดา
สิ่งนี้ทำให้เขาหัวเราะอย่างขมขื่นอยู่สองที
ดูท่าเขาคงต้องทานโอสถต่อเนื่องอีกแล้ว
ดีว่าระหว่างที่อยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับ เขาได้ยกระดับการปรุงโอสถได้อย่างน่าตกใจ การปรุงโอสถระดับศิษย์จิตวิญญาณก็ฝึกฝนจนชำนาญอย่างเต็มที่ และการปรุงโอสถเพิ่มพลังเวทย์โดยทั่วไปก็ไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว
พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็พลันล้วงยันต์เก็บของออกจากแขนเสื้อผืนหนึ่ง และขยี้มันจนแตกละเอียด
แสงสีขาวเปล่งประกายออกมา ข้างในล้วนว่างเปล่า ไม่มีสิ่งของใดๆ หล่นมาเลย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่กลับกล่าวพึมพำออกมา
สิ่งที่ใส่ไว้ในยันต์เก็บของผืนนี้ ล้วนเป็นโอสถที่เขาปรุงขึ้นมาในห้องว่างเปล่า แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว เห็นได้ชัดว่าโอสถเหล่านี้ไม่สามารถนำออกจากห้องว่างเปล่าได้
แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็พอจะคาดเดาล่วงหน้าไว้บ้างแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกท้อแท้แต่อย่างใด
เขาหันไปมองหัวบินกับแมงป่องกระดูกขาวทีหนึ่ง จากนั้นก็ตบถุงหนังทั้งสองบนเอวทันที
แสงสีดำสองกลุ่มม้วนตัวออกมาจากถุงหนังทั้งสองใบ และดูดทั้งสองเข้าไปในนั้น
เขาสังเกตดูห้องลับที่ดูเหมือนจะไม่แตกต่างไปจากสี่ปีก่อนหน้า แล้วลุกขึ้นไปผลักประตูด้วยรอยยิ้ม
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงไปซื้อวัตถุดิบปรุงโอสถที่มีมูลค่าสูงถึงหนึ่งแสนกว่าหินจิตวิญญาณที่ตลาด จากนั้นก็กลับมาห้องลับเพื่อฝึกฝน ‘โอสถทมิฬมหัศจรรย์’ ที่ไม่รู้ว่าฝึกฝนในห้องว่างเปล่าลึกลับไปกี่รอบแล้ว
แม้ว่าโอสถชนิดนี้จะมีผลลัพธ์ในการเพิ่มพลังเวทย์ให้กับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ไม่เลว และก็เป็นหนึ่งในวิธีการปรุงโอสถที่เขาเสียหินจิตวิญญาณเพื่อเรียนกับฝานฝานไป๋จื่อโดยเฉพาะ
แต่วิธีการปรุงค่อนข้างยากลำบาก แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถอย่างฝานไป๋จื่อก็มีอัตราในการปรุงสำเร็จไม่ค่อยสูงมากนัก
ดังนั้นพอปรุงโอสถนี้เสร็จหนึ่งเม็ด ก็สามารถขายได้พันกว่าหินจิตวิญญาณขึ้นไป และยังคงมีมูลค่าในตลาดเสมอ
สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว โอสถทมิฬมหัศจรรย์นี้ เป็นหนึ่งในโอสถไม่กี่ชนิดที่เขามีโอสกาสในการปรุงสำเร็จต่ำที่สุด
สาเหตุเป็นเพราะว่า ประการแรก โอสถชนิดนี้ปรุงยากจริงๆ ประการที่สอง วัตถุดิบที่เขานำเข้าห้องว่างเปล่าในตอนแรก ก็มีไม่ค่อยมากนัก ด้วยเหตุนี้การฝึกฝนไม่กี่ครั้ง จึงไม่อาจเทียบได้กับการฝึกฝนปรุงโอสถอาจารย์จิตวิญญาณชนิดอื่นๆ
……………………………………….