ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 243 กลับนิกาย
พอหลิ่วหมิงสังเกตเห็นว่ามดยักษ์ทั้งสี่ตัวรู้วิชาวายุหลบหลีก เขาย่อมไม่คิดจะยั้งมืออีกต่อไป เขาฟันกระบี่สั้นสีเขียวออกไปอยู่ไม่หยุด ขณะเดียวกันมืออีกข้างก็ปล่อยคมวายุสีเขียวพุ่งยิงออกไปติดต่อกัน
แม้ว่ามดยักษ์สองตัวที่ล้อมโจมตีอยู่นั้นจะมีวิชาวายุหลบหลีก แต่การโจมตีกลับอันโหดเหี้ยมของหลิ่วหมิง กลับทำให้พวกมันหลบแทบไม่ทัน
พอหนึ่งในนั่นเห็นว่าการล้อมโจมตีหลิ่วหมิงไม่ได้ผล มันจึงคิดจะใช้วิชาวายุหลบหลีกเพื่อหนีไป แต่กลับหลบหนีไม่ทัน จึงถูกปราณกระบี่สีเขียวฟันเข้าใส่จนหกคะเมน จากนั้นคมวายุเจ็ดแปดเส้นก็พุ่งยิงเข้ามาพร้อมกัน ทำให้ร่างของมันมีบาดแผลลึกเป็นจำนวนมาก และต้องหลบหลีกอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีเวลาใช้วิชาวายุหลบหลีกเลย
“เต๊งตั๊ง!” โซ่สีเงินเส้นหนึ่งหวดเข้ามาด้วยเสียงอันดัง และรัดพันมดยักษ์ตนนี้ไว้อย่างแน่นหนา
ขณะนั้นเอง เกิดคลื่นกระเพื่อมตรงหลังหลิ่วหมิง มดยักษ์อีกตัวปรากฏออกมา ขาคู่หน้าของมันกระโจนเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง
หลิ่วหมิงยังไม่ทันหันหน้ามา ก็พลันพลิกมือฟันปราณกระบี่สีเขียวออกไปทันที
มดยักษ์บิดตัวหลบหลีกปราณกระบี่ที่ฟันเข้ามาได้อย่างเหลือเชื่อ
แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงได้เคลื่อนไหวแขนข้างหนึ่งจนดูพร่ามัว กำปั้นสีทองอร่ามถูกชกออกไป
มดยักษ์ตนนี้รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ขาหน้าทั้งคู่ของมันประสานกันตรงหน้า เพื่อที่จะปัดให้กำปั้นสีทองกระเด็นออกไป
แต่พอขาหน้าทั้งคู่ของมันปะทะเข้ากับกำปั้นสีทอง พลังบางอย่างทะลักออกจากกำปั้น
มดยักษ์ร้องอย่างเวทนา ขาหน้าทั้งคู่ถูกพลังมหาศาลสั่นสะเทือนจนแตกละเอียด
กำปั้นสีทองเคลื่อนไหวจนพร่ามัว พริบตาเดียวก็เจาะไปยังหัวของมดยักษ์ และสังหารมันจนเสียชีวิตไปในทันที
ขณะเดียวกัน อักขระสีเงินได้ปรากฏขึ้นบนโซ่สีเงินที่รัดพันมดยักษ์อีกตัวอยู่ และมันก็รัดแน่นมากยิ่งขึ้น จนตัดมดยักษ์ออกเป็นหลายชิ้
ขณะที่หลิ่วหมิงจัดการมดยักษ์สองตัวนั้น เส้นผมยาวของหัวบินที่อยู่ที่ด้านหนึ่ง ก็จมหายเข้าไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน
มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!
มดยักษ์สองตัวที่อยู่ท่ามกลางพายุ ถูกเส้นผมยาวบีบจนต้องออกมา ขณะเดียวกันเงาร่างสีเขียวก็เคลื่อนไหวติดต่อกัน ร่างของมันแยกออกเป็นสิบกว่าชิ้นก่อนที่จะตกลงมา
ขณะนี้หลิ่วหมิงตาถึงได้มองไปยังมดยักษ์ทั้งสี่ ที่ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ
พอปีศาจแมลงเห็นมดยักษ์ทั้งสี่ถูกฆ่าอย่างง่ายดายเช่นนี้ ใบหน้าอันงดงามก็ดูโมโหเป็นอย่างมาก หลังจากส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมาแล้ว ก็กระพือปีกทั้งคู่และหมุนตัวทะยานขึ้นฟ้าเพื่อหลบหนี
หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ทำท่ามือโดยไม่ต้องคิด ทันใดนั้นแสงสีเขียวเป็นจุดๆ ก็ปรากฏออกมา คมวายุยักษ์เส้นหนึ่งปรากฎอยู่ตรงหน้าเขา
หลิ่วหมิงสะบัดข้อมือ คมวายุยักษ์พุ่งยิงออกไปด้วยเสียงอันดัง
ครู่ต่อมา ม่านแสงสีชมพูได้ปรากฏออกมาปกคลุมร่างของมันไว้ แต่พอแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา คมวายุยักษ์ก็ฟันม่านแสงกับร่างของปีศาจแมลงจนขาดเป็นสองส่วน
ปีศาจแมลงร้องออกมาอย่างเวทนา ร่างทั้งสองส่วนร่วงหล่นลงพื้น
“ฟู่!” “ฟู่!” เปลวไฟสองกลุ่มพุ่งยิงเข้ามา พริบตาเดียวร่างปีศาจแมลงก็กลายเป็นขี้เถ้า
มันคือเปลวไฟปีศาจที่หัวบินพ่นออกมา
จัดการปีศาจแมลงที่ดูแปลกประหลาดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
แม้มดยักษ์สี่ตัวที่ปีศาจแมลงตนนี้ปล่อยออกมาจะร้ายกาจ แต่ร่างของมันก็อ่อนแอไปหน่อย และไม่รู้ว่าระหว่างการควบแน่นไอปีศาจมีปัญหาอะไร พลังของมันถึงได้ลดลงไปอย่างมากเช่นนี้
หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจ แต่ก็รีบเหาะไปยังหลุมปีศาจโดยไม่คิดอะไรมาก
แม้คนตระกูลไป๋จะบอกว่า ไม่เคยมีคนมาหลุมปีศาจนี้เป็นเวลาหลายปี มันคงสะสมไอปีศาจบริสุทธิ์พลังน้ำเงินอันดับเจ็ดไว้ไม่น้อย แต่หลังจากพบปีศาจแมลงตนนี้ในหลุม กลับทำให้เขารู้สึกกังวลขึ้นมา
ต่อให้ไม่มีคนอื่นค้นพบสถานที่แห่งนี้ แต่ใครจะรู้ได้ล่ะว่าในช่วงระหว่างเวลานี้จะมีปีศาจอสูรมาใช้ไอปีศาจบริสุทธิ์จากหลุมปีศาจนี้ไปเท่าไหร่แล้ว
เมื่อหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นกว่าเดิม
ผ่านไปไม่นาน เขาก็มาถึงข้างหลุมปีศาจพร้อมกับจ้องมองลงไป และสุดท้ายสีหน้าเขาก็ต้องเปลี่ยนไปทันที
หลุมปีศาจนี้แตกต่างจากหลุมที่อยู่ในถ้ำใต้เขาเซียนทอแสงเป็นอย่างมาก
มองจากบนลงล่าง ในหลุมเป็นรูปทรงกรวย และจุดศูนย์กลางที่ลึกที่สุด ลึกประมาณสิบกว่าจั้ง นอกจากมีไอหมอกสีน้ำเงินจางๆ เคลื่อนไหวอยู่เล็กน้อยแล้ว ส่วนอื่นๆ ล้วนเป็นก้อนหินโปร่งใสที่ไม่ทราบชื่อ และเปล่งประกายแสงออกมาแตกต่างกันไป
หลิ่วหมิงมองไอหมอกสีน้ำเงินตรงใจกลางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วต้องขมวดคิ้วขึ้นมา
เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว และค่อยๆ ร่อนไปยังใจกลางหลุม พอเห็นว่าไอหมอกสีน้ำเงินจางๆ อยู่ห่างแค่จั้งกว่าๆ ถึงคว้ามือลงด้านล่าง
ทันใดนั้นกลุ่มไอหมอกสีน้ำเงินจางๆ ก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง และหยุดชะงักอยู่ตรงนั้น
หลิ่วหมิงหรี่ตามองอย่างละเอียด
ท่ามกลางไอหมอกสีน้ำเงินจางๆ มีกรวดทรายเปล่งประกายแสงสีน้ำเงินแพรวพราวอยู่ไม่หยุด ราวกับว่าเป็นดวงดาวบนฟากฟ้า และดูเหมือนกับว่าจะมีสิบกว่าดวง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็มองไปด้วยความดีใจ
ดูท่าดวงเขาคงไม่เลว มีไอปีศาจบริสุทธิ์พลังน้ำเงินอันดับเจ็ดในไอหมอกมากมายเช่นนี้ ดูท่าคงจะสามารถรวบรวมได้สองชุดขึ้นไปอย่างไม่มีปัญหา
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่เช่นนี้ จากนั้นก็หยิบขวดใบเล็กออกจากแขนเสื้อด้วยความดีใจ
……
สองเดือนต่อมา ในห้องโถงบนเขาเก้าทารกของนิกายปีศาจ!
หลิ่วหมิงที่เพิ่งกลับถึงนิกาย ยืนอยู่ต่อหน้ากุยหรูฉวน และกำลังเล่าประสบการณ์ในขณะที่ตัวเองอยู่เสวียนจิงให้ผู้นำสาขาเก้าทารกผู้นี้ฟังอย่างนอบน้อม
“เจ้าทำได้ไม่เลว! นับว่าสร้างชื่อให้กับสาขาเก้าทารกเป็นอย่างมาก ถ้าครั้งนี้ไม่ได้จำกัดเผ่าเจ้าสมุทรออกไปจนหมด เกรงว่านิกายทั้งห้าของเราต้องสูญเสียพลังไปไม่น้อย และไม่อาจไปสู้ศึกภายนอกได้อย่างเต็มที่ แต่ที่น่าเสียดายก็คือ อาจารย์กับอาจารย์ลุงของเจ้าถูกสั่งให้ไปที่ชายแดนพอดี ถ้าพวกเขารู้ว่าเจ้ากลับมาล่ะก็ จะต้องมาดูด้วยความดีใจอย่างแน่นอน ใช่สิ! ศิษย์หลานคิดจะทำอย่างไรต่อไป ศิษย์น้องจงได้ยื่นเรื่องฟื้นคืนตัวตนเดิมให้เจ้าแล้ว ต่อไปก็สามารถใช้ชื่อ ‘หลิ่วหมิง’ ได้เลย หากไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ ด้วยสถานะศิษย์แกนนำของเจ้า อย่างเร็วสุดก็ช่วงเวลาหลายเดือน อย่างช้าสุดก็ปีกว่าๆ คงถูกส่งตัวไปฝึกฝนที่ชายแดนแล้ว” กุยหรูฉวนฟังจบก็กล่าวออกมาด้วยความพอใจ
“ขอบคุณอาจารย์ลุงที่เป็นห่วง ศิษย์ผ่านการฝึกฝนมาหลายปี เชื่อว่าพลังเวทย์ของตนเองคงจะค่อนข้างแข็งแกร่ง และยังหาไอปีศาจบริสุทธิ์ที่เหมาะสมมาได้แล้ว ดังนั้นจึงเตรียมยื่นเรื่องทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ ถ้าศิษย์จำไม่ผิดล่ะก็ ศิษย์ทั้งหมดที่ทะลวงด่าน จะถูกละเว้นไม่ให้ไปปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างเก็บตัวได้ นอกเสียจากว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของนิกายเท่านั้น” หลิ่วหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“มีกฎเช่นนี้จริงๆ แต่เจ้าคิดจะทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณในตอนนี้จริงๆ หรือ? ไม่ฝึกฝนต่ออีกสักสองปี จะได้มีโอกาสมากขึ้นหน่อย!” กุยหรูฉวนได้ยินหลิ่วหมิงกล่างเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าประทับใจเล็กน้อย
“ไม่ต้องแล้ว ถ้าครั้งนี้ศิษย์ทะลวงไม่สำเร็จล่ะก็ เพียงแค่ฝึกฝนอีกไม่กี่ปี เชื่อว่าคงมีโอกาสทะลวงครั้งที่สองก่อนอายุสามสิบกว่าได้ แต่หากช้าออกไปอีกสองปีล่ะก็ เกรงว่าเวลามันจะไม่พอ” หลิวหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“อืม! ถ้าศิษย์หลานคิดเช่นนี้ล่ะก็ มันก็ไม่ผิด แต่เจ้าต้องจำใส่ใจไว้ ไม่ว่าจะทะลวงเขตแดนใดๆ ก็ตาม ทางที่ดีที่สุดควรจะสำเร็จในหนึ่งครั้ง มิเช่นนั้นต่อให้จะใช้วิธีการอะไรเข้ามาเสริมในภายหลัง โอกาสในการสำเร็จก็จะยิ่งน้อยลง” กุยหรูฉวนพยักหน้า และกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
“ขอบคุณอาจารย์ลุงกุยที่ชี้แนะ ศิษย์จำใส่ใจแล้ว ใช่สิ! หลายปีก่อนศิษย์ได้รับข่าวจากนิกายว่า มีเผ่าเจ้าสมุทรแฝงตัวอยู่ในนิกายทั้งห้าของพวกเรา และที่มาแฝงตัวอยู่ในนิกายเราคือศิษย์พี่เจียหลาน ทั้งยังขโมยหัวราชาปีศาจที่ปรมาจารย์ลิ่วยินเคยควบคุมมัน ไม่ทราบว่าทั้งหมดนี้จริงเท็จประการใด?” หลิ่วหมิงโค้งตัวกล่าวขอบคุณ และถามออกไปด้วยความลังเลเล็กน้อย
“เป็นเรื่องจริงแท้อย่างแน่นอน ผู้ที่ค้นพบว่าเจียหลานเป็นเผ่าเจ้าสมุทรแฝงตัวมา ก็คือศิษย์น้องปิงแห่งนิกายหยินทนทรมาณ และยังเป็นอาจารย์ของเจียหลานเองด้วย เดิมทีศิษย์น้องปิงได้พาเจียหลานไปคลายปริศนาราชาปีศาจที่หายไปในปีนั้น แม้กระทั่งยังคลายผนึกที่อยู่ในหัวราชาปีศาจด้วย แต่ขณะนั้นเอง เจียหลานได้เผยสถานะของเผ่าเจ้าสมุทรออกมา และยังใช้วิธีการชั่วร้ายแว้งกัดศิษย์น้องปิงขโมยหัวราชาปีศาจไป นิกายจันทราสวรรค์และนิกายอื่นๆ ก็เกิดเรื่องราวพอๆ กัน ถ้าไม่ถูกขโมยสมบัติล้ำค่า ก็เป็นผู้ฝึกระดับสูงในนิกายถูกทำร้าย สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก ทางด้านนิกายจันทราสวรรค์ เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ที่เป็นหนึ่งในสองผู้อาวุโสของนิกาย ก็ถูกพิษแปลกประหลาดของเผ่าเจ้าสมุทร ตอนนี้ยังสลบไสลอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของนิกายจันทราสวรรค์” กุยหรูฉวนได้หยินหลิ่วหมิงถามเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าอันหนักอึ้ง
“ที่แท้ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องจริง ดูท่าการรุกรานของเผ่าเจ้าสมุทรในครั้งนี้ คงวางแผนมานานหลายปีแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวออกมา
เวลาต่อมา เขาฟังคำแนะนำการทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณจากกุยหรูฉวนเล็กน้อย หลังจากนั้นก็กล่าวลาออกไปจากห้องโถง
ต่อมาเขาก็ไปรายงานตัวที่หอดำเนินการ และถือโอกาสคืนตำแหน่งศิษย์ตรวจตราในเสวียนจิงด้วย และรับรางวัลมาจำนวนหนึ่ง
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงค้นพบว่า มีศิษย์หนุ่มสาวในนิกายเพิ่มขึ้นมามาก ขณะเดียวกันใบหน้าศิษย์เก่าที่คุ้นเคยก็ลดลงไปมาก
ดูท่าหลายปีมานี้ นิกายปีศาจคงรับศิษย์ใหม่มาอีกกลุ่มหนึ่ง ขณะเดียวกันศิษย์เก่าจำนวนมากก็ถูกสั่งให้ไปที่ชายแดนแคว้นต้าเสวียน
ภายในระยะเวลาสี่วัน หลิ่วหมิงพักผ่อนอยู่ในที่พักของตนเองโดยไม่ออกไปไหน
ครึ่งเดือนผ่านไป หลิ่วหมิงมาถึงหน้าหุบเขาที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างยอดเขาสองลูกของนิกายปีศาจอย่างเงียบๆ
ตรงทางเข้าหุบเขา มีหอขนาดใหญ่สูงสามชั้นอยู่หลังหนึ่ง ประตูใหญ่หน้าหอมีป้ายแขวนอยู่อันหนึ่ง บนนั้นมีคำว่า ‘หอจิตวิญญาณวังสวรรค์’ เขียนติดอยู่
หลิ่วหมิงหยิบอะไรบางอย่างในแขนเสื้อแล้วก้าวยาวๆ เข้าไปในหอ
ในห้องโถงตรงชั้นแรกของหอ นอกจากจะมีค่ายกลสีขาวจางๆ แล้ว รอบด้านล้วนว่างเปล่าไม่มีเงาของคนเลย
……………………………………….