ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 246 ฮือฮา
“ศิษย์น้องกุย ยินดีกับเจ้าจริงๆ ในที่สุดเขาเก้าทารกก็มีอาจารย์จิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้ว เหมือนว่าครั้งนี้ข้าจะมองพลาดไป คิดไม่ถึงว่าศิษย์หลานหลิ่วจะเข้าสู่ระดับของเหลวได้ ดูท่าคุณสมบัติของเขาคงไม่ด้อยไปกว่าเกาชง” ในที่สุดประมุขนิกายปีศาจก็เรียกสติกลับมา และกล่าวกับกุยหรูฉวนด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“แม้ข้าจะรู้ว่าช่วงนี้ศิษย์หลานเข้าไปในบ่อจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะควบแน่นปราณแกร่งได้สำเร็จ ซึ่งทำให้ข้ารู้สึกตกใจระคนดีใจด้วยเช่นกัน!” กุยหรูฉวนรีบกล่าวออกมา
ส่วนคนอื่นๆ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ต่างก็ต้องกล่าวแสดงความยินดีกับกุยหรูฉวน
กุยหรูฉวนก็ตอบรับด้วยรอยยิ้ม
ขณะนี้ หลินไฉอวี่รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก
ตอนนี้นางถึงเข้าใจว่าทำไมก่อนหน้านั้นชายฉกรรจ์แซ่เหลยถึงได้มองเห็นความสำคัญของหลิ่วหมิง และถ้าในปีนั้นนางยืนหยัดอีกสักเล็กน้อย ไม่เท่ากับว่าสาขาระบำปีศาจในตอนนี้มีอาจารย์จิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกคนหรือ?
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่านางจะกล่าวแสดงความยินดีกับกุยหรูฉวน แต่ก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้
ส่วนฉู่ฉีผู้นำสาขาหยินทนทรมาณที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับกุยหรูฉวนมาโดยตลอด แม้ว่าภายนอกจะไม่แสดงอาการแปลกใจออกมา แต่คิดว่าในใจคงรู้สึกกลัดกลุ้มไม่น้อย
“เอาล่ะ! ในเมื่อรู้ว่าเป็นศิษย์คนไหนที่บรรลุระดับของเหลว พวกเราก็วางใจได้แล้ว ศิษย์หลานหลิ่วเพิ่งจะบรรลุอาจารย์จิตวิญญาณ ยังต้องทำระดับนี้ให้มั่นคงก่อน พวกเราก็ไม่ควรไปรบกวนเขา ให้เขาเก็บตัวต่อไปเถอะ แต่หลังออกจากการเก็บตัวแล้ว ศิษย์น้องถงจะต้องแจ้งข้าในทันที ข้าเป็นถึงประมุขนิกายปีศาจจะต้องพาเขาไปบูชาที่หอบูรพาจารย์สักครั้ง หลังจากเลื่อนลำดับอาวุโสของเขาแล้วค่อยพูดเรื่องอื่นกัน” ประมุขนิกายปีศาจเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับชายชุดคลุมสีขาว
“แน่นอน! เพียงแค่ศิษย์หลานออกจากการเก็บตัว ข้าจะแจ้งศิษย์พี่ท่านประมุขเป็นคนแรก” ชายชุดคลุมสีขาวกล่าวอย่างไม่ลังเล
ประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
เวลาต่อมา ชายชุดคลุมสีขาวก็พาคนทั้งหมดไปยังหอชั้นสาม ให้พวกเขามองเห็นลำแสงสีน้ำเงินที่หลิ่วหมิงพ่นออกมาในบ้านหิน จากนั้นถึงกล่าวลาและจากไปโดยไม่สงสัยอะไรอีก
พอกุยหรูฉวนขี่เมฆกลับถึงที่พักตนเอง ก็รีบเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง แล้วให้ศิษย์ในนิกายส่งออกไปข้างนอกในคืนนั้นเลย
ขณะเดียวกัน หลังจากประมุขนิกายปีศาจไปจากหุบเขาแล้ว ก็ตรงไปยังเขตต้องห้ามที่อยู่หลังยอดเขาหลักทันที
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ถึงเดินออกจากพื้นที่ต้องห้ามด้วยสีหน้าครุ่นคิด และเหาะตรงไปยังยอดเขาของสาขาพลังโลหิตทันที
ผ่านไปไม่นาน ข่าวเรื่องที่มีอาจารย์จิตวิญญาณคนใหม่นามว่า ‘หลิ่วหมิง’ ก็แพร่กระจายไปทั่วนิกายปีศาจอย่างรวดเร็ว
แต่คนที่รู้จริงๆ ว่า ‘หลิ่วหมิง’ คือ ‘ไป๋ชงเทียน’ ในปีก่อนนั้น มีอยู่น้อยมาก
เพราะเรื่องที่นักพรตแซ่จงฟื้นคืนสถานะที่แท้จริงของหลิ่วหมิง เป็นการแจ้งทางนิกายอย่างเงียบๆ เท่านั้น ไม่ได้เปิดเผยให้รู้กันทั่วทั้งนิกาย
แต่เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป ภายใต้สถานการณ์ที่กุยหรูฉวนก็ไม่ได้ปิดบังว่า อาจารย์จิตวิญญาณคนใหม่ที่มีนามว่า ‘หลิ่วหมิง’ คือคนเดียวกันกับ ‘ไป๋ชงเทียน’ ในปีก่อน เรื่องนี้จึงกระฉ่อนขึ้นมา
สำหรับผู้ที่เคยเห็นหรือรู้จักหลิ่วหมิง ต่างก็ฮือฮาขึ้นมา
……
“อะไรนะ! หลิ่วหมิงคือไป๋ชงเทียนในตอนนั้น” ป่าเล็กๆ แห่งหนึ่งในนิกายปีศาจ ชายหนุ่มสีหน้าเย็นชากล่าวกับหญิงใบหน้างดงามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ผิด! ข้าได้รับการยืนยันจากปากศิษย์สาขาเก้าทารกคนหนึ่งที่ข้าสนิทด้วย ผู้ที่เพิ่งควบแน่นปราณแกร่งสำเร็จนี้ เป็นศิษย์น้องไป๋ชงเทียนในปีก่อนอย่างแน่นอน ดูเหมือนว่า ‘หลิ่วหมิง’ จะเป็นชื่อที่แท้จริงของเขา ไป๋ชงเทียนเป็นแค่ชื่อที่เขาสวมรอยเข้ามาเท่านั้น” หญิงใบหน้างดงามถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
ทั้งสองคนนี้ก็คือตู้ไห่กับมู่อวิ๋นเซียนนั่นเอง
“ศิษย์น้องไป๋ ไม่สิ! ต้องพูดว่าศิษย์น้องหลิ่ว ในปีนั้นเขามีเพียงแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ คุณสมบัติเช่นนี้ยังสามารถกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ” สีหน้าตู้ไห่เปลี่ยนไปมาในทันที
“ตอนที่ข้าได้ยินเรื่องนี้ ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน ดูท่าพวกเราจะดูเบาศิษย์น้องหลิ่วไปหน่อย แต่ถ้าพี่ชายข้ารู้เรื่องนี้เข้า คงรู้เสียดายอย่างแน่นอน” มู่อวิ๋นเซียนถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“แน่นอน ถ้าตระกูลมู่ของพวกเจ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าหลิ่วหมิงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ต่อให้ตระกูลไป๋จะยื่นข้อเสนอมากแค่ไหน ก็คงไม่ยอมยกเลิกงานแต่งนี้” ตู้ไห่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
“เรื่องของหมิงจู ข้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว และไม่อยากยุ่งอะไรมาก แต่ถ้าพวกเราได้เจอกับศิษย์น้องหลิ่วอีกครั้ง เกรงว่าคงต้องเรียก ‘อาจารย์อาหลิ่ว’ แล้ว” มู่อวิ๋นเซียนหัวเราะอย่างขมขื่น ในหัวโผล่ภาพเด็กหนุ่มอายุสิบสามสิบสี่ที่เข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณในปีนั้น แล้วนางก็ตกอยู่ในภวังค์
……
“อะไรนะ! ‘หลิ่วหมิง’ ที่เป็นอาจารย์จิตวิญญาณคนใหม่ก็คือ ‘ไป๋ชงเทียน’ ในปีนั้น!
ในห้องหินแห่งหนึ่งของเขาพลังโลหิต ศิษย์เก่าสาขาพลังโลหิตหลายคนรวมตัวอยู่ที่นั่น แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าที่ดูไม่ได้เลย
สือเจียนกับลวี่อวิ๋นที่เคยเจอกับหลิ่วหมิงก็อยู่ในนั้นด้วย พวกเขาทั้งสองมีสีหน้าหนักใจมากที่สุด
“แล้วจะทำอย่างไรดี! เพราะเรื่องของอาจารย์อาเกา ตอนนั้นพวกเราจึงทำตัวเป็นศัตรูกับเขา ถ้าอาจารย์อาหลิ่วออกจากเก็บตัวล่ะก็ พวกเราคงไม่อาจอยู่ได้โดยสงบ” ชายฉกรรจ์สวมชุดทะมัดทะแมงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ใครจะไปรู้ว่าศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณจะสามารถก้าวสู่อาจารย์จิตวิญญาณได้เหมือนกับอาจารย์อาเกาล่ะ ถ้ารู้แต่แรก พวกเราคงไม่กล้าไปยุแหย่เขาหรอก ที่แย่ที่สุดในตอนนี้ก็คือ อาจารย์อาเกายังอยู่ที่ชายแดน อยากให้เขาปกป้องพวกเราก็คงทำไม่ได้” สือเจียนค่อยๆ กล่าวออกมา
“นั่นน่ะสิ! ถ้าอาจารย์อาเกาอยู่ในนิกายล่ะก็ ต่อให้เขามาหาเรื่องพวกเรา ก็ต้องผ่านด่านอาจารย์อาเกาก่อน แต่ตอนนี้น่ะหรือ คงต้องเกิดเรื่องยุ่งยากกับพวกเราเข้าแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่ามีเรื่องที่เผ่าเจ้าสมุทรรุกรานเข้ามา พวกเราสามารถหาข้ออ้างออกนอกนิกายเพื่อหลบอาจารย์อาหลิ่วชั่วคราวได้ แต่ถ้าตอนนี้พวกเราออกนอกนิกายโดยไม่มีคำสั่งจากผู้ฝึกฝนระดับสูงล่ะก็ คงโดนโทษทรยศนิกายอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสผมสีขาวเทาอีกคนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“ศิษย์พี่ทั้งสองอย่าได้กังวลเกินเหตุ! แม้ตอนนั้นพวกเราจะช่วยอาจารย์อาเกาจนต้องเป็นศัตรูกับคนผู้นี้ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรเขาเลย ไม่แน่ พออาจารย์อาหลิ่วผู้นี้ออกจากการเก็บตัว อาจจะลืมเรื่องทั้งหมดไปแล้วก็ได้ พวกเราก็อย่าคิดมากไปเลย” ลวี่อวิ๋นปรับสีหน้าแล้วฝืนยิ้มก่อนกล่าวออกมา
“ศิษย์น้องลวี่พูดได้มีเหตุผล หวังว่ามันคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ” ชายฉกรรจ์สวมชุดทะมัดทะแมงกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่
ผู้อาวุโสสบตากับสือเจียนทีหนึ่งแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ด้วยสถานะอาจารย์จิตวิญญาณของหลิ่วหมิงในตอนนี้ พวกเขาคงได้แต่คาดหวังเช่นนี้แล้ว
……
ในกระท่อมบนเขาระบำปีศาจที่มีบรรยากาศงดงามหลังหนึ่ง หญิงใบหน้างดงามสวมชุดสีเหลืองยืนอยู่ในนั้น นางกำลังมองผ่านหน้าต่างไปยังน้ำตกที่อยู่ไกลๆ สีหน้าของนางดูกลัดกลุ้มเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก หญิงสาวร่างอรชรสวมชุดสีเขียวเดินพุ่งเข้ามา และพูดด้วยเสียงอันดัง
“ศิษย์พี่เฉียน ท่านทราบข่าวหรือยัง ‘อาจารย์อาหลิ่ว’ ที่ในนิกายเล่าลือกันเมื่อไม่นานมานี้ ก็คือ ‘ไป๋ชงเทียน’ ที่เราเคยเจอเขามาก่อน!
“หืม! มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ เจ้าไม่ได้ฟังมาผิดใช่ไหม?” หญิงชุดเหลืองคือเฉียนฮุ่ยเหนียงที่เคยเข้าแดนลึกลับพร้อมกับหลิ่วหมิงในปีนั้น เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ก็รีบหันตัวมาด้วยความตกตะลึง
“เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน ทั้งยังเล่าลือไปทั่วนิกายแล้ว จุ๊ๆ! ช่างคิดไม่ถึงจริงๆ หลายปีก่อนยังเป็นเจ้าหนูน้อยที่พวกเราพาไปตลาดอยู่เลย ตอนนี้กลับกลายเป็นอาจารย์อาของพวกเราแล้ว” หญิงชุดเขียวก็คือเจ้าเด็กชุ่ยเอ๋อร์นั่นเอง ตอนนี้นางกล่าวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
“เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไหร่กัน ยังมีหน้ามาเรียกคนอื่นว่าเจ้าหนูน้อยอีก แต่ข้ากลับไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจที่ ‘ศิษย์น้องหลิ่ว’ กลายเป็น ‘อาจารย์อาหลิ่ว’ มากนัก แม้เขาจะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ แต่ตอนนั้นกลับทำเรื่องมหัศจรรย์ได้อยู่บ่อยๆ ถ้าจะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ไหนเลยจะเหมือนศิษย์พี่อย่างข้าเล่า แม้ว่าจะเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบมาหลายปีแล้ว แต่ก็ควบแน่นปราณแกร่งล้มเหลวติดต่อกันถึงสองครั้ง อีกไม่นานอายุก็จะเกินแล้ว ตอนนี้ไม่มีทางที่จะเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้เลย” เฉียนฮุ่ยเหนียงกล่าวอย่างไม่มีทางเลี่ยง แต่พอคิดถึงเรื่องราวของตนเองแล้ว สีหน้าก็หม่นหมองลง
“ศิษย์พี่อย่าท้อใจเป็นอันขาด ที่เจ้าหนูน้อยคนนี้เข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้ อย่างมากก็อาศัยโชคชะตา ด้วยคุณสมบัติของศิษย์พี่ ช้าเร็วก็ทะลวงเขตแดนระดับของเหลวได้อยู่ดี อย่าได้ไปใส่ใจมันมากนัก นิกายเราก็ใช่ว่าจะไม่มีตัวอย่างที่อายุเกินสามสิบแล้วยังก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้” หญิงชุดเขียวได้ยินเช่นนี้ ถึงได้นึกถึงเรื่องที่ศิษย์พี่ตรงหน้ารู้สึกเสียใจกับการทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณล้มเหลวในก่อนหน้านั้น นางจึงรีบเปลี่ยนคำพูดในฉับพลัน
“เจ้าวางใจเถอะ! ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาปลอบใจ เดิมทีความสามารถในการก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณ ล้วนอาศัยจังหวะและโชคชะตาของตัวเองกว่าครึ่งหนึ่ง ต่อให้ภายหน้าโอกาสการสำเร็จเป็นอาจารย์จิตวิญญาณจะต่ำ ข้าก็จะไม่ละทิ้งโดยง่าย” เฉียนฮุ่ยเหนียงยิ้มและตอบกลับไป ตอนนี้นางดูร่างเริงขึ้นมามาก
แม้หญิงสาวชุดเขียวจะไม่รู้มูลเหตุ แต่พอเห็นว่าเฉียนฮุ่ยเหนียงอารมณ์ดีขึ้นมามาก นางย่อมรู้สึกดีใจอย่างถึงขีดสุด จากนั้นก็พูดจาเจี๊ยวจ๊าวเกี่ยวกับเรื่องในนิกายต่อ
หนึ่งเดือนต่อมา ตรงชายแดนระหว่างแคว้นต้าเสวียนกับแคว้นไห่เยวี่ย บนยอดหอสูงร้อยจั้งในเมืองขนาดใหญ่ที่แต่ละนิกายรวมพลังกันสร้างขึ้น
“เพล้ง!”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ตบโต๊ะตรงหน้าจนแตกกระจายในฉับพลัน สีหน้าเขาดูหนักอึ้งเป็นอย่างมาก
แผ่นกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะร่วงลงพื้น บนนั้นมีอักขระเล็กๆ เขียนอยู่เป็นจำนวนมาก เนื้อหาบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่หลิ่วหมิงเปลี่ยนชื่อและกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็คือ ‘เกาชง’ อาจารย์จิตวิญญาณคนใหม่ของนิกายปีศาจที่มีชื่อเสียงในเมืองขนาดใหญ่นี้
……………………………………….