ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 249 ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก
โครงกระดูกนี้แตกชำรุดเป็นอย่างมาก
“นี่คือ…” พอหลิ่วหมิงเห็นโครงกระดูกนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้
แม้ว่าจะมีม่านแสงกั้นอยู่ แต่พริบตาที่เห็นโครงกระดูกนี้ ยังคงสัมผัสได้ถึงกลิ่นไออันน่ากลัวที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเข้าสู่เขตแดนของเหลวแล้วล่ะก็ เกรงว่าพริบตาที่เข้าใกล้แท่นหิน คงถูกแรงกดดันบีบให้ถอยไปสองก้าวก็อาจเป็นได้
“ในสมัยก่อน ปรมาจารย์ลิ่วยินเคยมีปีศาจที่เลี้ยงอยู่สองตน และพวกมันช่วยกวาดล้างนิกายในแคว้นต้าเวียนทั้งหมด ซึ่งไม่มีใครต่อกรได้ หนึ่งในปีศาจที่กล่าวถึงคือราชาปีศาจ ซึ่งมันหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากที่ปรมาจารย์เสียชีวิต และอีกตนคือปีศาจมนุษย์กระดูกขาวที่อยู่ในระดับ ‘หมื่นปีศาจ’ ตนนี้ ซึ่งเป็นปีศาจมนุษย์หนึ่งเดียวของนิกายเราที่บ่มเพาะมาถึงเขตแดนนี้” ประมุขนิกายปีศาจมองโครงกระดูกบนแท่นหินแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก!” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็สูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน
อย่างที่รู้ๆ แม้ว่าปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกตนนี้ จะเป็นหนึ่งในหุ่นปีศาจที่ศิษย์ในนิกายต่างก็ฝึกฝนกัน แต่ส่วนมากก็เป็นปีศาจมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ยิ่งถ้าบ่มเพาะจนถึงระดับ ‘ร้อยกระดูก’ นั้นมีน้อยมาก ส่วนระดับ ‘พันกระดูก’ นั้น หลิ่วหมิงสงสัยว่าในนิกายจะมีคนบ่มเพาะได้สำเร็จหรือไม่
เพราะการจะบ่มเพาะหุ่นปีศาจระดับสูงเช่นนี้ขึ้นมาได้ จะต้องสูญเสียเวลาและหินจิตวิญญาณเป็นจำนวนมาก ผู้ฝึกฝนระดับสูงโดยทั่วไปยังเกรงว่าจะหาได้ไม่พอเลย แล้วจะทุ่มเทกับสิ่งของภายนอกมากเช่นนี้ได้อย่างไร
ปีศาจตรงหน้าเขาในตอนนี้ กลับเป็นปีศาจมนุษย์ที่บ่มเพาะจนถึงระดับ ‘หมื่นกระดูก’ แล้วจะไม่ให้หลิ่วหมิงประหลาดใจได้อย่างไร
ว่ากันว่าปีศาจมนุษย์กระดูกขาวระดับพันกระดูกมีพลังเทียบเท่ากับอาจารย์จิตวิญญาณ ถ้าอย่างนั้นปีศาจมนุษย์ระดับหมื่นกระดูกจะแข็งแกร่งแค่ไหน!
หลิ่วหมิงคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว และกูเหมือนจะไม่กล้าคิดถึงเรื่องนี้แล้ว
“ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกนี้เคยช่วยปรมาจารย์ลิ่วยินปราบศัตรูมามากต่อมากแล้ว พูดถึงชื่อเสียงของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าราชาปีศาจเลย เหตุที่มีคนรู้จักมันน้อยมาก เป็นเพราะว่ามันถูกทำลายในครั้งที่ปรมาจารย์เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ แม้ว่าภายหลังจะถูกปรมาจารย์ซ่อมแซมอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งเช่นเดิมแล้ว รักษาไว้ได้เพียงแค่พลังเกือบครึ่งหนึ่งไว้ได้เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยังสามารถต้านทานพลังของผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นได้ แน่นอน! เรื่องนี้ยังไม่เคยมีการทดสอบดูว่าจริงเท็จแต่ประการใด” ประมุขนิกายปีศาจกล่าว
“พลังเกือบครึ่งหนึ่ง ทั้งยังสามารถเทียบได้กับพลังของผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้น! ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกนี้ น่ากลัวกว่าในตำนานมาก” หลิ่วหมิงจ้องมองโครงกระดูกจิ๋วในม่านแสงด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน
“มันไม่ใช่อย่างนั้น ว่ากันว่าส่วนสำคัญของกระดูกจิตวิญญาณที่ปรมาจารย์ลิ่วยินใช้ทำเป็นปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกนี้ มีเบื้องหลังอันยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้พลังของมันจึงแข็งแกร่งกว่า ‘ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก’ โดยทั่วไปสองสามส่วน แต่อย่างไรก็ตาม ตอนที่มันถูกทำลายนั้น กลับใช้กระดูกจิตวิญญาณอันอื่นมาซ่อมแซม และนำไปบ่มเพาะในหลุมพลังหยินบางแห่ง ให้ไอหยินค่อยๆ บ่มเพาะมัน แต่พันกว่าปีก่อนได้พยายามซ่อมแซมมาได้แค่ระดับนี้ จากนั้นก็ไม่สามารถซ่อมแซมได้อีก และวิญญาณนักรบระดับสูงสุดที่ปรมาจารย์ลิ่วยินใช้ควบคุมอยู่ก็แตกสลายไปนานแล้ว ต่อมาผู้อาวุโสรุ่นหลังๆ ก็ลองใช้วิญญาณนักรบอย่างอื่นมาควบคุม แต่ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ จนมีผู้น้อยคนหนึ่งที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาควบคุมกระดูก ใช้คล็ดวิชานี้กระตุ้นปีศาจมนุษย์โดยตรงจนทำให้มันเคลื่อนไหวได้หนึ่งครั้ง โดยไม่ต้องใช้วิญญาณนักรบควบคุมเลย” ประมุขนิกายปีศาจค่อยๆ อธิบายออกมา
“ข้าเข้าใจแล้ว! ศิษย์พี่ท่านประมุขคิดว่าถ้าข้าสามารถควบคุมปีศาจหมื่นกระดูกนี้ได้ ก็จะสามารถใช้มันต้านทานเผ่าเจ้าสมุทรได้ดีกว่าค้อนกลืนวิญญาณด้ามนั้น แต่เมื่อไม่มีวิญญาณนักรบคอยควบคุมอยู่ เกรงว่าอานุภาพมันคงลดลงไปไม่ใช่น้อย” หลิ่วหมิงกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่
“ข้าย่อมรู้เรื่องนี้ดี แต่จากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสในแต่ละรุ่น แม้จะขาดวิญญาณนักรบระดับสูงสุดไป แต่อานุภาพของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ค้อนกลืนวิญญาณจะสามารถเทียบได้ และด้วยความสามารถของศิษย์น้อง สามารถควบคุมได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกย่อมควบคุมได้ยากกว่าค้อนกลืนวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นท้ายสุดแล้วศิษย์น้องจะเลือกชิ้นไหน ก็ต้องลองทดสอบดูผลลัพธ์ก่อนถึงจะได้ แต่นอกจากจะใช้เคล็ดวิชาควบคุมกระดูกควบคุมค้อนกลืนวิญญาณแล้ว ศิษย์พี่ยังมีวิธีอื่นที่พอจะควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้ เพียงแต่วิธีการนี้มีผลกระทบในภายหลังไม่น้อย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ข้าก็ไม่คิดจะใช้มัน” ประมุขนิกายปีศาจยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา
“ข้าเข้าใจความหมายของศิษย์พี่แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกต่อไป และพยักหน้าตอบรับในทันที
“ดีมาก ข้าจะคลายผนึกเดี๋ยวนี้” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยความดีใจ
จากนั้น เขาก็พลิกมือข้างหนึ่งขึ้นมา แผ่นค่ายกลสีทองแผ่นนั้นปรากฏขึ้นบนมืออีกครั้ง พอสะบัดข้อมือ มันก็ไปแปะอยู่บนม่านแสงหลากสี
“เพล้ง! แผ่นค่ายกลสั่นไหวแค่ไม่กี่ทีก็ทำให้ม่านแสงหลากสีแตกกระจายหายไปในพริบตา
ประมุขนิกายปีศาจถอยไปอีกด้านหนึ่ง เพื่อดูว่าหลิ่วหมิงจะทำอย่างไรต่อไป
หลิ่วหมิงมองดูโครงกระดูกจิ๋วบนแท่นหิน หลังจากหรี่ตาทั้งคู่ลง ก็ทำท่ามืออย่างไม่รีบร้อน ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมาเบาๆ
หลังจากที่เคล็ดวิชากระดูกดำฝึกฝนจนถึงขั้นที่สี่ เขาย่อมรับรู้ได้ถึงเคล็ดวิชาประหลาดที่ใช้ควบคุมกระดูกจิตวิญญาณชนิดต่างๆ
เวลาว่างระหว่างที่อยู่ในเสวียนจิงสี่ปีนั้น เขาย่อมใช้เวลาเล็กน้อยในการฝึกวิชานี้จนสำเร็จ แต่กลับเป็นครั้งแรกที่แสดงวิชานี้ต่อหน้าคนอื่น
ไอสีดำพุ่งออกมาตามจังหวะการร่ายคาถา และหมุนวนรอบตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง ครู่เดียวก็มีเสียงพิลาปร่ำไห้อย่างน่าเวทนาดังมาแว่วๆ
ประมุขนิกายปีศาจที่แต่เดิมอมยิ้มมองดูอยู่ ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างอดไม่ได้
ดูเหมือนว่าระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ของศิษย์น้องหลิ่วผู้นี้ จะเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็หยุดร่ายคาถา และค่อยๆ เตะนิ้วลงบนโครงกระดูก
แสงสว่างเปล่งประกายออกมา
แสงสีขาวพุ่งยิงออกมา และหายวับเข้าไปในหัวกระโหลก
จากนั้นหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนท่ามืออีกครั้ง
“ฟู่!”
โครงกระดูกแตกร้าวเกิดการสั่นไหว อักขระสีดำเปล่งประกายออกมา และแขนข้างที่เหลืออยู่ก็เกาะแท่นหินแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมา
ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็ชี้นิ้วไปยังโครงกระดูก
จากนั้นเท้าทั้งคู่ของโครงกระดูกจิ๋วก็เคลื่อนไหวและกระโดดลงจากแท่นหิน แต่ตอนที่เท้าแตะพื้นนั้น ก็ซวนเซจนเกือบจะล้มลงพื้น
หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้นมา และเร่งร่ายคาถาทันที ขณะเดียวกันนิ้วทั้งสิบก็เคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด พลังเวทย์พุ่งยิงออกไปเส้นๆ ราวกับสายฝน และพลังเวทย์ทั่วร่างก็เริ่มพุ่งเข้าไปในโครงกระดูก
ครู่ต่อมา ก็มีเสียงดัง “พรึ่บ!” จากเบ้าตาสีดำทั้งสอง เปลวไฟสีทองจางๆ ปรากฏออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ แล้วก็ลุกไหม้คุโชนขึ้นมา
พริบตานั้น อักขระสีดำจำนวนมากลอยออกจากร่างของโครงกระดูก และระเบิดตัวเป็นไอหมอกล่องลอยออกไป
ไม่นาน โครงกระดูกก็ถูกไอหมอกสีดำจางๆ ปกคลุมไว้อย่างหนาแน่น เห็นเพียงเงาร่างจางๆ เท่านั้น
เสียงคำรามแปลกประหลาดเต็มไปด้วยอานุภาพอันน่าเกรงขาม ดังมาจากไอหมอก
เงาร่างพร่ามัวของโครงกระดูกขยายตัวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ไม่นานมันก็ดูสูงใหญ่มหึมา
“เพล้ง!”
เท้าสีขาวขนาดเท่าอ่างล้างหน้าก้าวออกจากไอหมอก ราวกับว่าอีกไม่นานร่างของปีศาจยักษ์ก็จะออกมาจากหมอกสีดำแล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ใจเต้นขึ้นมา
แต่ขณะนั้นเอง ปีศาจยักษ์ที่อยู่ท่ามกลางหมอกดำก็ส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ร่างของมันหดลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นหมอกดำก็สลายตัวออกไป และปรากฏภาพโครงกระดูกแตกร้าวยืนอยู่ไกลๆ เปลวไฟสีทองในเบ้าตามันกลายเป็นสีดำมืดสนิท ราวกับไม่ว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“แม้ข้าจะควบคุมปีศาจมนุษย์ตนนี้ได้ แต่มันก็ค่อนข้างจะฝืนตัวเองไปหน่อย เกรงว่าคงไม่อาจใช้มันทำการต่อสู้ได้” หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว และหันมากล่าวกับประมุขนิกายปีศาจด้วยสีหน้าผิดหวัง
“ฮ่าๆ! ศิษย์น้องอย่าได้สิ้นหวังไป เจ้าแสดงออกมาได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มาก สามารถควบคุมปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกได้ถึงระดับนี้ มันก็เพียงพอแล้ว นี่! ข้าเตรียมสิ่งของให้เจ้าไว้หนึ่งอย่าง” ประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าผิดหวังแต่อย่างใด แต่กลับหัวเราะออกมา
ในระหว่างที่พูด เขาหยิบป้ายกระดูกสีขาวอันหนึ่งออกจากแขนเสื้อ บนนั้นมีอักขระสีดำเหมือนกับที่ปรากฏบนผิวของโครงกระดูกจารึกอยู่ และมันเปล่งก็เปล่งแสงแพรวพราวออกมา
“นี่คือ……” หลิ่วหมิงรับป้ายมาและถามออกไปด้วยความงุนงง
“สิ่งนี้คือป้ายจำกัดปีศาจที่ทำจากซี่โครงชิ้นเล็กๆ ของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสในสมัยก่อนใช้ควบคุมปีศาจตนนี้ หลังผ่านการครุ่นคิดอย่างหนักก็นำมันมาทำเป็นอาวุธเวทย์ ถ้ามีมันก็สามารถควบคุมปีศาจตนนี้ได้ดั่งใจมากยิ่งขึ้น” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่คิดว่าของสิ่งนี้จะมีผลลัพธ์เช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นให้ข้าลองดูหน่อยเถอะ” หลิ่วหมิงได้ยินก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
เขากวาดสายตาไปยังโครงกระดูกที่อยู่ไม่ไกล และส่งพลังเวทย์เข้าใส่ป้ายในมือ ขณะเดียวกันก็โบกมันไปด้านหน้า
บังเกิดเสียงดังขึ้น
อักขระบนนั้นเปล่งแสงประกายออกมา ขณะเดียวกัน อักขระสีดำจำนวนมากก็พุ่งออกจากในนั้น ก่อนที่จะพุ่งไปฝังตรงข้างราวกับสายฝนกระหน่ำ
โครงกระดูกสั่นไหว อักขระสีดำเหล่านี้ถูกดูดเข้าไปในร่างของมัน เปลวไฟสีทองในเบ้าตาคุโชนขึ้นมาตามจังหวะการร่ายคาถา หมอกสีดำพวยพุ่งออกจากร่าง
ไม่นานโครงกระดูกก็ถูกหมอกสีดำปกคลุม เสียงคำรามอันน่าตกใจดังขึ้นมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันกลิ่นไออันน่าหวาดกลัวมากกว่าครั้งก่อนก็ม้วนตัวออกมา
หลิ่วหมิงหดม่านตาลง และปีศาจยักษ์สูงเจ็ดแปดจั้งก็เดินออกจากไอหมอกสีดำ
……………………………………….