ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 252 มุกล้ำค่า
เขากินโสมคนทองคำชิ้นนั้น และใช้เคล็ดวิชากระดูกดำกลั่นเอาพลังเวทย์ออกมา ซึ่งมันไม่เพียงแต่จะเพิ่มพลังเวทย์เล็กน้อย แต่ภายในร่างยังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
เดิมทีเขาก็มีโครงกระดูกแวววาวขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ตอนนี้ยังมีอักขระสีเงินจางๆ ปรากฏบนพื้นผิว แม้ว่ามันจะเล็กละเอียดและพร่ามัวจนมองเห็นไม่ชัดเจน แต่ก็แตกต่างจากก่อนหน้านั้นมาก
หลิ่วหมิงกำนิ้วมือทั้งสิบไว้แน่น เขาสัมผัสถึงความหนาแน่นของโครงกระดูกในทันที ขณะเดียวกันความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อครู่ นอกจากเขาจะกลั่นโสมคน จนทำให้พลังเวทย์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่ได้ทำเรื่องอื่นอีก
นอกจากโสมคนทองคำจะช่วยยกระดับการฝึกฝนเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่มีผลลัพธ์ในด้านอื่นอีก
เช่นนี้ก็แสดงว่าการเปลี่ยนแปลงของโครงกระดูกภายในร่าง เกิดจากพลังเวทย์ภายในร่างแปดถึงเก้าส่วน
และภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตอนเขาเป็นศิษย์จิตวิญญาณ จะต้องฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำสำเร็จแต่ละขั้น ถึงจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ และโครงกระดูกก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเช่นนี้
หรืออาจเป็นเพราะว่าเขากลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณหรือฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่สี่จนสมบูรณ์แบบ จนสามารถฝึกฝนขั้นที่ห้าได้
หลิ่วหมิงระงับอาการดีใจ และเริ่มแสดงสีหน้าลังเลขึ้นมา
ผ่านไปสักครู่ เขาถึงชักกระบี่สั้นออกมา แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายก่อนที่เขาจะหั่นโสมคนสีทองในกล่องออกมาชิ้นหนึ่งแล้วใส่เข้าปาก
ฉากเดิมๆ เริ่มเกิดขึ้นในห้องลับอีกครั้ง
ไอดำพวยพุ่งไปทั่วห้องลับอย่างรวดเร็ว และมีเสียงดังของกระดูกออกมาเป็นระยะๆ
หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อไอดำทั้งหมดม้วนหายจนหมดสิ้น หลิ่วหมิงจึงลุกขึ้นมา หลังจากขยับแข้งขยับขาแล้ว ก็พลันสูดหายใจเข้าไปลึกๆ และกระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้น
“ตู๊ม!” คลื่นอากาศม้วนตัวออกจากเท้าของเขา พื้นดินแตกร้าวออกมา ห้องลับทั้งหลังสั่นไหว
เขาใช้พลังจิตกวาดดูภายในร่าง พริบตาเดียวก็ค้นพบว่าขนาดของอักขระสีเงินบนโครงกระดูกแต่ละส่วน มีขนาดใหญ่และชัดเจนมากขึ้น ทั้งยังหนาแน่นมากขึ้นกว่าเดิม
หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ดูเหมือนว่าเขาคาดเดาไม่ผิดตั้งแต่แรก ตอนนี้ไม่ต้องฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำให้สูงขึ้นไปอีกขั้น อาศัยเพียงแค่พลังเวทย์ที่เพิ่มขึ้น โครงกระดูกในร่างก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง และความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
พอฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำจนถึงขั้นที่ห้า ไม่คิดว่ามันจะให้ผลลัพธ์อันน่าตกใจเช่นนี้ หากสามารถฝึกฝนต่อไปได้ล่ะก็ ไม่เท่ากับว่าเขามีพลังปาฏิหาริย์หรอกหรือ?
นิกายปีศาจในสมัยก่อน ไม่เคยมีคนฝึกฝนวิชานี้จนถึงระดับของเหลวมาก่อน ถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้ มิเช่นนั้นคงเกิดความฮือฮาไม่ใช่น้อย
มิน่าตอนนั้นปรมาจารย์ลิ่วยินถึงได้ให้ความสำคัญกับมันมาก และยังบอกว่ามันมีประวัติความเป็นมาอันยิ่งใหญ่ และยังแปลขั้นก่อนหน้าเองสองสามขั้น
หลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก ดีที่ว่าเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่จะฝึกฝนต่อ ก็เป็นวิชาระดับสุดยอดเช่นกัน สิ่งนี้มันช่วยปลอบใจเขาได้มาก
จากคำพูดจิตรับรู้ของปรมาจารย์ลิ่วยิน เคล็ดวิชากระดูกดำในส่วนหลังน่าจะอยู่ใน ‘แผ่นดินจงเทียน’ ภายหน้าก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสไปเสาะหา
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จิตของเขาค่อยๆ สั่นไหว
เวลาในหลายวันต่อมา เขาเริ่มทานสมุนไพรจิตวิญญาณอยู่ไม่หยุด เพื่อให้พลังเวทย์ในร่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมากกว่าตอนที่เพิ่งเข้าระดับอาจารย์จิตวิญญาณสามส่วน
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงดีอกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าก็คือ หลังจากที่เขาทานสมุนไพรจิตวิญญาณต้นสุดท้ายหมดแล้ว อักขระสีเงินบนกระดูกไม่เพียงแต่จะแจ่มชัดมากขึ้นเท่านั้น พื้นที่ว่างอื่นๆ ก็มีอักขระสีเงินพร่ามัวออกมาใหม่ และความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งของตอนเริ่มต้น
อย่างที่รู้ว่า เดิมทีความแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงก็น่าตกใจเป็นอย่างมากอยู่แล้ว ถ้าเพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่งล่ะก็ เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกร่างโดยเพาะที่อยู่ในระดับเดียวกันอย่างแน่นอน
ผ่านไปอีกหลายวัน หลังจากทำพลังเวทย์ที่เพิ่มมาให้มั่นคงเล็กน้อยแล้ว ก็ใช้เวลาไปทั้งหมดหนึ่งเดือนพอดี
เขาออกไปจากห้องลับ และเหาะไปจากเขาเก้าทารกทันที
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวตรงหน้าผาสูงชะโงกเงื้อมบริเวณยอดเขาหลักของสาขาฝึกศพ พอเขายกแขนเสื้อขึ้น พลังไร้รูปบางอย่างก็ชนเข้าใส่ประตูหินสีแดงที่อยู่ไม่ไกล
“ตุบ!”
ประตูหินสั่นไหว แสงสีแดงเปล่งประกายออกมา
จากนั้นเขาก็รออยู่กลางอากาศเงียบๆ
ไม่นานประตูหินก็เปิดออก ชายหนุ่มร่างกำยำที่เคยเจอในครั้งนั้นเดินออกมา พอเขาเห็นหลิ่วหมิงก็รีบคารวะอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์คารวะอาจารย์อาหลิ่ว อาจารย์ได้สั่งไว้ว่า ถ้าหลายวันนี้อาจารย์อามาหา ก็ให้เขาไปได้เลยโดยไม่รายงาน”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้คงต้องรบกวนศิษย์หลานแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้ากล่าวโดยไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
“อาจารย์อา เชิญ!” ชายร่างกำยำกล่าวอย่างนอบน้อมก่อนนำทางเข้าไป
ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็ถูกชายหนุ่มพามายังห้องรับรองที่งดงามและละเอียดอ่อน
ณ ตรงนั้น ชายชุดคลุมสีดำขมวดคิ้ว และกำลังศึกษาคัมภีร์หนาๆ ที่ประคองอยู่ในมือ
และพริบตาที่หลิ่วหมิงเข้าไปในห้องโถง ผู้อาวุโสก็รีบเก็บคัมภีร์ทันที และเงยหน้าขึ้นกล่าวอย่างราบเรียบ
“ศิษย์น้องหลิ่วมาได้ทันเวลาพอดี สิ่งที่เจ้าต้องการเพิ่งหลอมเสร็จเมื่อสองวันก่อน”
“พูดอย่างนี้ แสดงว่าศิษย์พี่หลอมสำเร็จแล้วใช่ไหม!” หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินเช่นนี้
“ไม่เพียงแต่หลอมสำเร็จเท่านั้น แต่ยังสร้างความประหลาดใจที่ไม่คาดคิดอีกด้วย ตามข้ามาเถอะ!” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำกล่าวด้วยสีหน้าแปลกๆ จากนั้นก็เดินนำออกไปจากห้องรับรอง
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็เดินตามไปด้วยความสนใจทันที
ไม่นานเขาก็ถูกศิษย์พี่หวงพามายังห้องหินสีแดงที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินหลายสิบจั้ง
เมื่อผู้อาวุโสเปิดประตูหินออก ไอร้อนด้านในก็ประทุออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกเสียวสะท้านเล็กน้อย แสงสีน้ำเงินเปล่งประกายออกมา มันช่วยกั้นไอร้อนไว้ได้
ขณะนี้เขาถึงมองเห็นทุกอย่างในห้องหินอย่างชัดเจน
ในห้องหิน มีหลุมขขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลางยาวจั้งกว่าๆ กลางหลุมมีเปลวไฟสีแดงคุโชน
บนหลุมสีเตาหลอมยักษ์สีดำสูงหลายจั้งวางอยู่ใบหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่ามันสร้างมาจากวัสดุอันใด ภายใต้เปลวไฟที่แผดเผา มันก็ยังไม่เปลี่ยนสีเลยแม้แต่น้อย
ส่วนมุมอื่นๆ ของห้องหิน มีโต๊ะรูปร่างแปลกๆ วางอยู่สี่ห้าตัว ด้านบนมีเครื่องมือวางระเกะระกะอยู่
สิ่งเดียวที่หลิ่วหมิงจำได้ก็คือ ค้อนยักษ์ยาวจั้งกว่าๆ ที่เปล่งประกายแสงสีขาว
“มุกพลังวารีอยู่ข้างใน หลังจากหลอมสำเร็จมันยังไม่รู้จักเจ้าของ ข้าจึงนำมันไปเผาชุบในเตาหลอมตลอด อานุภาพของมันจะได้ไม่ลดลงไป ตอนนี้ข้าจะเปิดเตาหลอมให้ศิษย์น้องดู!” ศิษย์พี่หวงกล่าว จากนั้นก็ทำท่ามือแล้วชี้ไปทางเตาหลอมยักษ์ทันที
“ฟู่!” พลังเวทย์พุ่งยิงออกไป และจมหายเข้าไปในเตาหลอมยักษ์
ทันใดนั้น มีเสียงดังโครมครามมาจากเตาหลอมยักษ์ ฝาเตาหลอมที่ดูหนักอย่างหาที่เปรียบไม่ได้มก็ค่อยๆ เปิดออกมา
“ซู่!”
พริบตาที่ฝาเตาหลอมเคลื่อนตัวออก กลุ่มแสงสีดำก็พุ่งออกมาตามร่อง และหมุนตัวติ้วๆ ก่อนที่จะลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ
พริบตานั้น ความรู้สึกเย็นเฉียบกวาดไปทั่วห้องหิน ไอร้อนระอุโดนกวาดออกไปเรียบ และก่อให้เกิดความเปียกชื้นขึ้นมา
หลิ่วหมิงเขม้นตาทั้งสองจนมองเห็นสิ่งที่อยู่ในแสงสีดำอย่างชัดเจน
มุกดำขนาดเท่านิ้วโป้ง เปล่งแสงแวววาวใสแจ๋วปรากฏตัวท่ามกลางไอสีดำที่ล้อมรอบ และยังแผ่ไอเย็นชุ่มชื้นออกมา
“นี่คือมุกพลังวารี ที่แท้ก็ดูมีพลังจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก” หลิ่วหมิงพูดพึมพำ
ศิษย์พี่หวงที่อยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนี้ กลับถอนหายใจกล่าวออกมา
“ข้าหลอมสมบัติในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรที่ให้คุณสมบัติสูงขึ้นมาก จนเกือบจะเลยขีดจำกัดการหลอมอาวุธของข้า ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามุกเม็ดนี้ไม่เหมาะกับข้า ข้าก็อยากจะได้มันไว้เช่นกัน แต่ตอนนี้คงได้แต่คืนให้เจ้าแล้วล่ะ!”
พอกล่าวจบ ศิษย์พี่หวงก็โบกมือไปทางมุกกลมๆ แล้วดูดมันเข้ามา หลังจากลูบดูสองสามครั้งแล้วถึงยื่นให้หลิ่วหมิง
“ศิษย์พี่กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าหลอมออกมาเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางใช่ไหม!” หลิ่วหมิงได้ยินก็ดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบรับมุกกลมๆ แล้วกล่าวออกมา
สำหรับเขาแล้ว มุกพลังวารีเป็นสมบัติมหัศจรรย์ อานุภาพของมันไม่ใช่สิ่งที่อาวุธจิตวิญญาณระดับเดียวกันจะเทียบได้ ถ้าตอนนี้หลอมเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางแล้ว ไม่เท่ากับว่าอานุภาพของมันพอที่จะสามารถทัดเทียมกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงได้หรอกหรือ!
“ไม่เพียงแค่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง แต่ยังเป็นอาวุธที่ใส่ชั้นจำกัดเข้าไปสิบแปดชั้น แม้จะห่างจากอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงที่แท้จริงเป็นอย่างมาก แต่คิดว่าอานุภาพคงห่างกันแค่ก้าวเดียว”
ได้ยินหลิ่วหมิงถามเช่นนี้ ศิษยพี่หวงก็มีสีหน้าเสียดายอย่างเจ็บปวด และเกือบจะกัดฟันกล่าวออกมา
ถ้ารู้แต่แรกว่าตนเองสามารถหลอมมุกพลังวารีที่มีคุณสมบัติสูงเช่นนี้ เขาคงไม่ต้องการค่าตอบแทนเพียงเล็กน้อย สำหรับเขาแล้วนับว่าครั้งนี้เสียเปรียบไปมาก
เพราะอาวุธจิตวิญญาณที่ตนเองใช้ เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางที่มีแค่สิบสามชั้นจำกัดเท่านั้น
“ครั้งนี้คงต้องลำบากศิษย์พี่แล้ว อ่ะ! นี่คือค่าตอบแทนที่ศิษย์น้องได้กล่าวไว้ในวันนั้น ศิษย์พี่นับดูก่อนว่ามีอะไรผิดพลาดหรือไม่!”
พอหลิ่วหมิงฟังจบก็ยิ้มออกมา หลังจากตรวจสอบดูมุกในมือจนมั่นใจว่าเป็นอาวุธจิตวิญญาณสิบแปดชั้นจำกัดจริงๆ แล้ว ก็รีบหยิบขวดเล็กๆ หนึ่งใบกับหินจิตวิญญาณอีกจำนวนหนึ่งให้ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำ
……
ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงเหาะออกจากยอดเขาหลักของสาขาฝึกศพ เขาลูบมุกสีดำในมืออยู่ตลอดๆ ด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
เขาไม่ได้เหาะกลับไปถ้ำที่พักของตนเอง แต่กลับเหาะออกไปจากเขานิกายปีศาจ และมุ่งหน้าออกไปยังที่ไกลๆ
อึดใจเดียวก็เหาะไปได้ร้อยกว่าลี้ หลิ่วหมิงเลือกหุบเขาหินที่เงียบสงบแห่งหนึ่งแล้วร่อนลงไป
ขณะนี้เขาถึงได้หยิบมุกในแขนเสื้อออกมา เขาใช้นิ้วบีบเพียงเล็กน้อย มันก็ราบแบนได้ดั่งใจ
มุกพลังวารีนี้อ่อนนุ่มอย่างน่าอัศจรรย์
แต่เมื่อเทียบน้ำหนักของหยดพลังวารีแต่เดิมกับมุกพลังวารีแล้ว ตอนนี้มันกลับมีน้ำหนักเบามาก เบาจนราวกับไร้น้ำหนัก
หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเหตุการณ์นี้ แต่กลับเปล่งแสงสีน้ำเงินออกมาจากตัว และเริ่มส่งพลังเวทย์ใส่มุกกลมๆ
ผ่านไปไม่นาน มุกกลมๆ ก็เริ่มเปล่งลำแสงสีดำออกมา ขณะเดียวกันไอหมอกจำนวนมากก็ปรากฏออกมา และออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
……………………………………….