ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 255 ชายแดน
ไหมแวววาวเหล่านี้คือไอปีศาจบริสุทธิ์พลังหยินแห้งที่เขาได้มาจากสมบัติของราชวงศ์ก่อน
แสงสีน้ำเงินเปล่งประกายออกจากร่าง พอเขาสะบัดแขน ผลึกไหมแวววาวก็ม้วนตัวเข้าร่างแมงป่องกระดูกขาวในพริบตา
ในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ส่งพลังจิตสั่งให้แมงป่องกระดูกขาวดูดเอาไอปีศาจบริสุทธิ์นี้เข้าไป
ด้วยความล่อตาล่อใจประกอบกับคำสั่งของหลิ่วหมิง ในที่สุดแมงป่องกระดูกขาวก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ในที่สุดมันก็อ้าปากกว้างดูดเอาไอดำเข้ามา ผลึกไหมสีเงินที่อยู่บริเวณนั้นพุ่งเข้าปากมันทันที
ขณะเดียวกันเปลวไฟสีม่วง ก็คุโชนออกมาปกคลุมร่างแมงป่องกระดูกขาวไว้
ปราณหยินรอบด้าน ต่างก็พุ่งเข้าหาร่างแมงป่องกระดูกขาวราวกับถูกอะไรบางอย่างกระตุ้น
หลายวันมานี้แมงป่องกระดูกขาวมีท่าทีแปลกประหลาด บวกกับการกลืนกินไอปีศาจบริสุทธิ์พลังหยินแห้ง ทำให้มันเข้าถึงระดับปราณแกร่ง และเริ่มทะลวงระดับของเหลวอย่างเต็มรูปแบบได้ทันที
เมื่อหลิ่วหมิงรับรู้ถึงพลังฟ้าดินที่เคลื่อนไหวอยู่รอบด้าน ก็ค่อยๆ แสดงสีหน้าดีใจออกมา เขาหยิบขวดเล็กๆ ออกมาสองขวด และโยนใส่ไอหมอกสีดำ จากนั้นถึงใช้พลังจิตสั่งแมงป่องกระดูกขาว และหยิบธงค่ายกลออกมาวาง เพื่อปิดกั้นพื้นที่บริเวณนี้ไว้ จากนั้นก็พุ่งตัวขึ้นด้านบนท่ามกลางแสงสีเหลืองที่เปล่งประกายบนร่าง
หลิ่วหมิงขี่เมฆลอยอยู่บนอากาศ และใช้พลังจิตอันแข็งแกร่งตรวจสอบทุกสิ่งที่อยู่ใต้ดินตลอดเวลา
เวลาค่อยๆ ผ่านไป เขาอยู่ที่นี่หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ
เช้าวันที่สอง แสงอาทิตย์ก็ส่องประกายจากยอดเขาที่อยู่ไกลๆ หลังจากหลิ่วหมิงไม่พบเห็นความผิดปกติใดๆ ใต้พื้นดิน ก็ตัดสินใจจากไปในที่สุด
แต่พอเขากวาดสายตามองไปที่บึง ก็ยังรู้สึกไม่วางใจเล็กน้อย
อย่างที่รู้ว่า ปีศาจอย่างแมงป่องกระดูกขาวที่เข้าสู่ระดับของเหลวนั้น มันสามารถช่วยเขาได้เป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้เขาต้องรีบไปชายแดน จึงไม่อาจอยู่ที่นี่หลายเดือนเพื่อเฝ้าดูมันโดยเฉพาะ และการเข้าระดับของแมงป่องกระดูกขาวย่อมต้องหลีกเลี่ยงพลังรบกวนจากภายนอก แม้ที่นี่จะเปล่าเปลี่ยว แต่ใครจะรู้ล่ะว่า จะมีคนหรืออสูรบุกรุกเข้ามาหรือไม่ หากทำลายโอกาสการเข้าระดับของแมงป่องกระดูกขาวไป เกรงว่าเขาคงแทบอยากฆ่าตัวตายไปด้วย
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ หลังจากกัดฟันแล้วก็ตบถุงหนังอีกใบ
“ฟู่!” พอมีเสียงดังออกมา ไอสีดำก็ม้วนตัวออกจากถุงหนัง หลังจากนั้นศีรษะชายผู้หนึ่งก็ปรากฏออกมา
มันคือหัวบินนั่นเอง
เฝ้าอยู่ที่นี่ จนกว่ามันจะเข้าระดับได้สำเร็จ!” หลิ่วหมิงตะคอกเสียงต่ำออกไป
หัวบินหัวเราะแปลกๆ ไม่กี่ทีแล้วก็บินไปยังต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้น จากนั้นก็พร่ามัวหายเข้าไปในต้นไม้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง เขาโยนของสิ่งหนึ่งออกไป ซึ่งมันก็คือลูกกลมๆ สีเขียวหนึ่งลูก
พอเขาทำท่ามือแล้วชี้ไปที่มัน ก็เกิดเสียงดัง “ครอกแคร่ก!” ก่อนที่จะกลายเป็นเรือเหาะยาวหลายจั้ง
มันคือเรือกลเหาะที่เขาได้มาจากงานประมูลในเสวียนจิงในครั้งนั้น
หลิ่วหมิงค่อยๆ เหยียบเท้าข้างหนึ่งลงบนเรือเหาะ จากนั้นมันก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีเขียวก่อนที่จะทะยานออกไป
ถ้าหัวบินอยู่ข้างกายเขาย่อมมีผู้ช่วยเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง แต่จากระดับของเขาในตอนนี้ ช่วยบินไม่อาจช่วยอะไรเขาได้มากนัก ด้วยเหตุนี้ไม่สู้ให้มันอยู่ปกป้องแมงป่องกระดูกขาวให้เข้าสู่ระดับอย่างปลอดภัยจะดีกว่า
แม้เขาจะไม่รู้ว่า ครั้งนี้แมงป่องกระดูกขาวมีโอกาสสำเร็จมากน้อยแค่ไหน แต่ดูจากที่มันกลืนกินเกล็ดกับหนังมังแดงมากมายเช่นนี้ คิดว่าคงเป็นเรื่องที่คุ้มค่าแก่การรอคอย
ในขณะที่เขาค่อยๆ นั่งเรือเหาะออกไปตรงขอบฟ้า บึงแห่งนี้ก็ฟืนฟูกลับสภาพเดิม ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
……
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน หลิ่วหมิงก็ตามทันฝูงเรือเหาะของนิกายปีศาจในที่สุด หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็มาปรากฏตัวอยู่เหนือเรือเหาะลำที่เขาจากมา
จากนั้นเขาก็เก็บเรือกลเหาะ และค่อยๆ ลอยลงบนเรือเหาะกระดูก ก่อนที่จะเดินเข้าห้อง โดยไม่สนใจสายตาประหลาดใจของศิษย์คนอื่นๆ
ห้องบนเรืออีกห้องหนึ่ง ประมุขนิกายปีศาจกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ทันใดนั้นมีเสียง “หวึ่งๆ!” ดังออกมา
เขารีบหยิบแผ่นค่ายกลอันเดิมออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป พอเห็นอักขระใหม่ที่ปรากฏบนนั้น ก็หลับตาเข้าฌานต่อ
……
หนึ่งเดือนต่อมา ในเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ทอดยาวหลายแสนลี้ เมื่อฝูงเรือเหาะ เหาะผ่านยอดเขายักษ์ที่สูงหลายพันจั้ง ก็พลันมีแสงสว่างตรงหน้า ด้านหน้าเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำเปล่าเปลี่ยวกว้างสุดลูกหูลูกตา
และสถานที่ที่อยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกล ป้อมปราการกำแพงเมืองขนาดใหญ่ที่ดูสูงร้อยจั้งตั้งอยู่ที่นั่น
แม้ว่ากำแพงเมืองจะครอบคลุมขนาดพื้นที่แค่สิบกว่าลี้ แต่ตัวกำแพงสร้างจากอิฐสีเงินไม่ทราบชื่อ เมื่อมองไปไกลๆ จะเห็นคูเมืองเปล่งประกายระยิบระยับ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของกำแพงเมืองขนาดใหญ่
แต่ขณะนี้ กำแพงด้านนอกล้วนกลายเป็นหลุมขรุขระ บางแห่งก็กลายเป็นรูขนาดต่างๆ รูเล็กมีขนาดกว้างชุ่นกว่าๆ รูใหญ่กว้างหลายฉื่อ
ดูเหมือนว่าเมืองยักษ์ทั้งเมืองจะผ่านศึกใหญ่มาแล้วหนึ่งรอบ จึงมีสภาพทรุดโทรมเป็นอย่างมาก
รอบเมืองมีหอศิลาขนาดต่างๆ ตั้งอยู่ มันสร้างมาจากอิฐสีเงินเช่นกัน แต่หอที่สูงสุดสูงประมาณพันกว่าจั้ง ต่ำสุดก็ไม่ถึงร้อยสองร้อยจั้ง มันถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวทั้งตัว และตรงปลายสุดมีของอย่างหนึ่งห้อยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตราประทับ ดาบสั้น ง้าวยาว และอาวุธอื่นๆ ที่แตกต่างกันไป
บริเวณหอศิลาแต่ละแห่ง ต่างก็มีคนเข้าออกอยู่ไม่หยุด จากหอศิลาถึงเมืองยักษ์ หรือเมืองยักษ์ถึงหอศิลาล้วนมีคนเหาะไปมา
ไม่ว่าจะเป็นหอศิลาหรือเมืองยักษ์ ต่างก็มีคนขี่เมฆลอยค้างอยู่ในอากาศ และค่อยๆ ใช้พู่กันอาญาสิทธิ์เขียนอักขระลงบนอิฐสีเงิน บางก็ใช้สิ่วใช้ค้อนเล็กๆ สร้างแผนภาพต่างๆ บางคนก็ถือกระบอกกลมๆ พ่นของเหลวเหนียวข้นสีเงินใส่กำแพงเมืองยักษ์
เมื่อของเหลวเหล่านี้ถูกพ่นออกมา ลอยแตกร้าวบนกำแพงก็หายไป มันปิดรูต่างๆ บนนั้นไว้อย่างแน่นหนา
บนกำแพงเมือง มีทหารชุดเกราะลาดตระเวนไปมา อากาศบริเวณนั้นมีวิหคยักษ์สีดำขนาดแตกต่างกันสิบกว่าตัวบินวนไปมา มันคอยตรวจดูลาดเลาจากมุมที่สูง
แต่ก็ด้วยเหตุนี้ เมื่อฝูงเรือเหาะเหาะผ่านเหนือยอดเขา ก็ถูกคนในเมืองยักษ์ค้นพบทันที
หลังจากมีเสียงร้องแหลมดังจากเมืองยักษ์ ไอดำก็พวยพุ่งเข้ามาทันที ครู่เดียวก็มาถึงหน้าเรือเหาะ จากนั้นก็สลายตัวไป เผยให้เห็นผู้อาวุโสชุดดำมัดมวยผมสามจุก
เขาคืออาจารย์อาเยี่ยนที่เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกของนิกายปีศาจนั่นเอง
“คารวะอาจารย์อา ทำไมท่านถึงมารับด้วยตนเองล่ะ!” พอประมุขนิกายปีศาจเห็นอาจารย์อาเยี่ยนก็รีบก้าวไปคารวะทันที
หลิ่วหมิง หลินไฉอวี่ และคนอื่นๆ ก็คารวะตามเช่นกัน
“ข้าคำนวณดูเวลาแล้ว คิดว่าคงเป็นพวกเจ้า ถึงได้ออกมาดูด้วยตนเอง พวกเจ้าเดินทางมาไกลด้วยความเร่งรีบ มันไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เข้าไปในเมืองก่อนแล้วค่อยคุยกันเถอะ!” อาจารย์อาเยี่ยนจ้องมองฝูงเรือเหาะแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ประมุขนิกายปีศาจกล่าวตอบรับทันที “ทราบ!”
ดังนั้นฝูงเรือเหาะจึงพากันเหาะเข้าเมืองภายใต้การนำทางของผู้อาวุโส และร่อนลงในเขตพื้นที่ที่กำหนดไว้ให้นิกายปีศาจโดยเฉพาะ
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงเห็นชัดว่า บ้านหินแต่ละหลังที่สร้างขึ้นในเมืองยักษ์ เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ แบ่งเป็นเขตพื้นที่ต่างๆ อย่างง่ายๆ นิกายปีศาจครอบครองพื้นที่หนึ่งในนั้น
ขณะที่เรือเหาะร่อนลงมานั้น ศิษย์นิกายศาจจำนวนหนึ่งที่รออยู่ที่นั่นก็แหงนหน้าขึ้นมา
ภายใต้คำสั่งของประมุขนิกายปีศาจ ศิษย์ที่มาใหม่ก็กระโดดลงจากเรือเหาะ และถูกพาเข้าไปยังบ้านหินต่างๆ เพื่อจัดการเรื่องที่พัก
ประมุขนิกายปีศาจ หลิ่วหมิง และอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ตามอาจารย์อาเยี่ยนเข้าไปหอขนาดใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มบ้านหิน
เมื่อหลิ่วหมิงเดินเข้าไปในหอใหญ่ ก็มองเห็นผู้ฝึกฝนระดับสูงของนิกายปีศาจที่ยืนรออยู่แต่แรกแล้ว หนึ่งในนั้นมีชายฉกรรจ์แซ่เหลย นักพรตแซ่จง และคนอื่นๆ
“ศิษย์คารวะอาจารย์!” หลิ่วหมิงรีบเดินเจ้าไปคารวะนักพรตแซ่จงทันที
“เจ้าทำได้ดีมาก! ข้ารู้จากศิษย์พี่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าสู่ระดับของเหลวได้ ดีมาก! สมกับที่ข้ามองเห็นแววของเจ้าในตอนแรก แต่ตอนนี้เจ้าก็เป็นอาจารย์จิตวิญญาณเหมือนกัน ต่อไปเรียกข้าว่า ‘อาจารย์’ ก็พอ และไม่ต้องคารวะข้าเช่นนี้ จะว่าไปแล้วก็ช่างน่าละอายใจเสียจริง ตอนนั้นข้าได้สอนเจ้าน้อยมาก เจ้ามีความสำเร็จเช่นนี้ได้ ล้วนอาศัยตัวเจ้าเองทั้งนั้น” พอนักพรตแซ่จงเห็นหลิ่วหมิงแสดงออกเช่นนี้ ก็รีบลุกขึ้นมาโบกมือ และกล่าวด้วยรอยยิ้มในทันที
“ถูกต้อง! ตอนนั้นข้ากับศิษย์พี่กุยมองข้ามเจ้าไป และไม่เคยคิดว่า ‘ศิษย์หลานหลิ่ว’ ในตอนนั้น จะกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้จริงๆ หวังว่าศิษย์น้องคงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกข้า” ผู้ที่นั่งอยู่ข้างนักพรตแซ่จงลุกขึ้นมากล่าวด้วยความดีใจ ซึ่งเขาก็คือจูชื่อนั่นเอง
หลิ่วหมิงย่อมกล่าวคำว่า “มิกล้า!” ออกมา
ขณะนั้นเอง อาจารย์จิตวิญญาณที่มาใหม่ต่างก็จับกลุ่มกับคนที่อยู่ในหอ บ้างก็พูดคุยกันเล็กน้อย บ้างก็สอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของเผ่าเจ้าสมุทร ผู้คนดูจอแจไปชั่วขณะ
แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขารับรู้ได้ถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตร จึงรีบหันไปมองทันที
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ กำลังจ้องมองเขาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
เขาคือเกาชงนั่นเอง
หลิ่วหมิงไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย และเขายังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ ชายหนุ่มสวมหน้ากากสีเงินที่อยู่อีกด้านก็เดินเข้ามา
“ศิษย์น้องหลิ่ว ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี ข้ากับเจ้าต่างก็เข้าสู่ระดับของเหลวแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่หยาง ช่างน่าละอายยิ่งนัก คุณสมบัติของศิษย์น้องไม่เพียงพอ จึงต้องสะสมหลายปี ไม่เหมือนกันศิษย์พี่ที่พอกลับจากแดนลึกลับก็ทะลวงคอขวดได้สำเร็จทันที” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตอนที่ติดต่อผ่านค่ายกลสื่อสาร เขาย่อมรู้เรื่องที่หลังจากเกาชงกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว หยางเฉียนก็กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณตามมาติดๆ
……………………………………….