ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 257 วิชาฝึกศพกับการรวมตัว
“อ้อ! ศิษย์หลานรู้หรือไม่ว่า หลังจากที่เจ้าสังเกตกำแพงเก็บเงาในคืนนั้นได้ไม่นาน ก็ไม่มีปรากฏการณ์ใดๆ เกิดขึ้นในกำแพงเก็บเงาอีกเลย” อาจารย์อาเยี่ยนจ้องมองหลิ่วหมิง และค่อยๆ กล่าวออกมา
“เรื่องนี้ศิษย์หลานก็ไม่รู้ชัดเช่นกัน แต่ตอนที่จากไป กำแพงนี้ยังเป็นปกติอยู่” หลิ่วหมิงกระพริบตาปริบๆ กล่าว
“อืม! เจ้าเด็กน้อยก็กล่าวเช่นนี้ ดูท่าเรื่องนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า สาเหตุหลักคงเป็นเพราะว่าผ่านมานานหลายปี พลังที่มีอยู่ในตัวจึงหมดไป ช่างน่าเสียดายจริงๆ ดูท่านิกายเราคงไม่มีวาสนาได้รับการถ่ายทอดวิชาจากปรมาจารย์ลิ่วยิน!” พออาจารย์อาเยี่ยนได้ยิน สีหน้าก็ผ่อนคลายลง แต่ก็ถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
“คงเป็นเพราะว่าศิษย์อย่างพวกข้ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ดังนั้นอาจารย์ทวดจึงไม่ถูกใจ” หลิ่วได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“คงจะเป็นเช่นนั้น แต่เรื่องสำคัญที่ข้าเรียกเจ้ามาไม่ใช่เรื่องนี้ เจ้ารู้ไหมว่าคนที่ถ่ายทอดวิชาให้เจ้า เป็นศิษย์ของข้าเอง” อาจารย์อาเยี่ยนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“อะไรนะ! อาจารย์อาหร่วนเป็นศิษย์ติดตามของท่าน?” หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก
“ในเมื่อเจ้าบรรลุระดับแล้ว ก็เรียกเขาว่า ‘ศิษย์พี่หร่วน’ ได้ ตอนหนุ่มศิษย์ของข้าคนนี้หลงใหลเคล็ดวิชากระดูกดำมาก เคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะใช้เคล็ดวิชากระดูกดำบ่มเพาะอาจารย์จิตวิญญาณให้กับนิกายเรา ด้วยเหตุนี้จึงยอมทิ้งพลังของตนเอง มิเช่นนั้น ในตอนนี้คงไม่ถึงกับต้องตายทั้งเป็นเช่นนี้ แต่การปรากฏตัวของเจ้า ทำให้ความลำบากของเขาในก่อนหน้านั้นไม่สูญเปล่าเลย” อาจารย์อาเยี่ยนค่อยๆ กล่าวออกมา
“ศิษย์รู้สึกซาบซึ้งมาโดยตลอดที่ศิษย์พี่หร่วนถ่ายทอดวิชาให้ ไม่ทราบว่าตอนนี้ศิษย์พี่หร่วนเป็นอย่างไรบ้าง?” หลิ่วหมิงกล่าว
“เขายังเก็บตัวอยู่ ต้องบรรลุสู่อาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางให้สำเร็จก่อนอายุขัย ถึงจะสามารถมีชีวิตรอดได้ นอกจากนี้ข้าอยากถามเจ้าว่า ในเมื่อเจ้ากลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว คงรู้ดีว่าเคล็ดวิชากระดูกดำในส่วนหลังไม่สามารถฝึกฝนได้อีกต่อไป ว่าแต่เจ้าเลือกวิชาหลักที่จะฝึกฝนต่อได้หรือยัง?” อาจารย์อาเยี่ยนเปลี่ยนหัวข้อในฉับพลัน
“เรื่องนี้……เป็นเพราะศิษย์รีบร้อนบรรลุระดับ จึงยังไม่มีเวลาหาวิชาที่ถูกใจได้” หลิ่วหมิงไม่อาจพูดความจริงออกไป จึงได้แต่กล่าวเช่นนี้
“อืม! ถ้าเช่นนี้ล่ะก็ เคล็ดวิชากระดูกดำของเจ้าเป็นธาตุหยิน ถ้าเป็นวิชาของสาขาฝึกศพกับสาขาหยินทนทรมาณคงไม่มีปัญหา เอาอย่างนี้เถอะ ข้ามีเคล็ดวิชาฝึกศพมอบให้เจ้าชุดหนึ่ง ลองไปตั้งใจฝึกฝนดูเล็กน้อย ไม่แน่ต่อไปอาจจะมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนของเจ้าก็เป็นได้ จำไว้ให้ดี ห้ามถ่ายทอดวิชานี้ให้คนอื่นเป็นอันขาด มิเช่นนั้นอย่าได้หาว่าข้าไร้น้ำใจ” อาจารย์อาเยี่ยนคิดไตร่ตรองเล็กน้อย แล้วกล่าวคำพูดที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง
จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อก่อนที่แผ่นหยกสีดำชิ้นหนึ่งจะพุ่งออกมา
“อาจารย์อาเยี่ยน นี่คือ……”
หลิ่วหมิงยื่นมือคว้าแผ่นหยกไว้ได้ และคิดจะถามอะไรออกไปด้วยความมึนงง
“เอาล่ะ! ข้าเหนื่อยแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อน ศิษย์หลานหลิ่วเจ้าออกไปเถอะ!” อาจารย์อาเยี่ยนไม่ให้โอกาสหลิ่วหมิงสอบถามเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่โดยไม่สนใจอะไรอีกเลย
พอหลิ่วหมิงเห็นว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกท่านนี้ไม่อยากพูดอะไรมาก เขาก็ไม่กล้าถามอะไรอีก หลังจากคารวะเสร็จก็หมุนตัวออกไปจากหอใหญ่
“อาจารย์อา ท่านจะทำเช่นนี้จริงๆ หรือ?” พอร่างหลิ่วหมิงหายไปจากประตู ก็มีเงาร่างเคลื่อนไหวตรงเสาต้นหนึ่ง
เขาคือประมุขนิกายปีศาจที่น่าจะออกไปตั้งแต่แรกแล้ว และไม่รู้ว่าเขากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่
“เจ้าก็รู้ว่าถึงแม้ข้าจะมีอายุขัยอีกร้อยปีกว่าๆ แต่ก็ต้องเตรียมตัวไว้ก่อน มิเช่นนั้นตอนที่ข้าละมือ ศพเหล็กขนเขียวตนนั้นคงไม่มีคนควบคุม ข้าไม่อยากให้ศพที่ข้าทุ่มเทมาหลายร้อยปี ตกอยู่ในสภาพเดียวกับราชาปีศาจ” อาจารย์อาเยี่ยนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมา
“ศิษย์หลานย่อมเข้าใจความกังวลของอาจารย์อา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นศิษย์น้องหลิ่วหรอกมัง เพราะเขาเพิ่งเข้าสู่ระดับของเหลว และระดับการฝึกฝนยังเปราะบางมาก หาคนอื่นได้หรือไม่?” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยความลังเล
“ฮึ! คนอื่นๆ หรือ? นอกจากศิษย์ที่เพิ่งบรรลุระดับทั้งสามคนแล้ว คนอื่นๆ ถ้าไม่อายุมากจนเกินไป ก็มีคุณสมบัติไม่เพียงพอ ไม่อาจรับการถ่ายทอดวิชาฝึกศพโดยเฉพาะของข้าได้ ไม่อย่างนั้น ทำไมตอนนั้นข้าถึงเลือกรับศิษย์น้องหร่วนของเจ้าเป็นศิษย์แค่คนเดียวล่ะ! เสียดายที่เขาไม่ค่อยมุมานะเอาเสียเลย ตอนนี้เป็นตายอย่างไรก็ไม่รู้ ข้าไม่อาจเอาทุกอย่างไปเสี่ยงกับเขาได้ ส่วนเกาชงฝึกฝนวิชาหลักของสาขาพลังโลหิตกับเจ้า ซึ่งแตกต่างจากสาขาฝึกศพมาก ดังนั้นจึงไม่อาจฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกศพ มิเช่นนั้นเขาก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว!” อาจารย์อาเยี่ยนทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา
“ช่างน่าละอายยิ่งนัก เกามีพรสวรรค์ในการฝึกฝนวิชาของสาขาพลังโลหิตจริงๆ มิเช่นนั้นข้าคงแนะนำให้เข้าสาขาฝึกศพตั้งแต่แรกแล้ว” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยความเคอะเขิน
อาจารย์อาเยี่ยนกล่าวต่อโดยไม่สนใจ
“ส่วนหยางเฉียน แม้วิชาหลักที่เขาฝึกฝนจะเหมาะสมกับวิชาฝึกศพ แต่เจ้ากับข้าก็รู้สถานะที่แท้จริงของเขาดี เขาก็ไม่อาจรับการถ่ายทอดวิชาเฉพาะของข้าได้ ด้วยเหตุนี้ จึงเหลือศิษย์น้องหลิ่วเพียงคนเดียวเท่านั้น เจ้าเด็กนี่ไม่เพียงแต่อายุยังน้อย แต่ยังฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ ดังนั้นจึงรับการถ่ายถอดวิชาเฉพาะของข้าได้อย่างไม่มีปัญหา มีจุดด้อยเพียงหนึ่งเดียวก็คือ เขามีคุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณเท่านั้น ไม่รู้ว่าในภายหน้าจะมีการพัฒนาหรือไม่ แต่ในเมื่อเขาใช้คุณบัตินี้เข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้ คิดว่าคุณสมบัติของเขาคงไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น มันคุ้มค่าที่จะลองดู”
“ได้ยินอาจารย์อาพูดเช่นนี้ คงมีแค่ศิษย์หลิ่วที่เหมาะสมที่สุด แต่ทำไมอาจารย์อาถึงมอบเคล็ดวิชาให้อย่างเดียว และไม่พูดเรื่องนี้ให้กระจ่าง” ประมุขนิกายปีศาจคิดใคร่ครวญเล็กน้อย และหัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย
“ข้าได้สัมผัสกับศิษย์หลานหลิ่วไม่มาก ยังไม่ค่อยรู้จักอุปนิสัยใจคอของเขา ดังนั้นตอนนี้จึงไม่อาจบอกเรื่องที่จะมอบศพเหล็กขนเขียวให้เขาได้ ตอนนี้ข้ายังมีเวลา ไม่ต้องรีบร้อนมาก รอดูความสามารถในการทำความเข้าใจวิชาฝึกศพของเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อาจารย์อาเยี่ยนอย่างไม่สะทกสะท้าน
“อาจารย์อาทำเช่นนี้ถือว่ารอบคอบเป็นอย่างมาก แต่ศิษย์หลานกลับบุ่มบ่ามไปเล็กน้อย ว่าแต่ที่อาจารย์อาส่งเสียงเรียกข้ากลับมา คงมีเรื่องสำคัญจะปรึกษาสินะ!” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้า และถามออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ที่ให้เจ้ากลับมา เพราะจะให้ไปพบประมุขนิกายอื่นๆ กับเพื่อนผู้อาวุโสเหล่านั้น สมครามใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของนิกายในแคว้นต้าเสวียน พวกเราแต่ละนิกายจำต้องหารือกันอย่างละเอียดสักครา” อาจารย์อาเยี่ยนถอนหายใจก่อนกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม
“ศิษย์หลานเข้าใจแล้ว” พอประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่กลับตอบรับในทันที
จากนั้นทั้งสองก็ไปจากหอใหญ่ และขี่เมฆเหาะไปกลางเมือง
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ถูกศิษย์นิกายปีศาจคนหนึ่งนำไปยังบ้านหินที่ค่อนข้างสงบหลังหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักชั่วคราวของเขาในขณะที่อยู่ที่นี่
พอหลิ่วหมิงบอกศิษย์คนนั้นให้กลับไปแล้ว เขาก็เดินเข้าไปด้านใน
บ้านหลังนี้กว้างกว่าบ้านของศิษย์ทั่วไปมาก ข้างในมีโต๊ะ เก้าอี้ และเตียงที่ปูพร้อม ทั้งยังมีชั้นจำกัดที่ปิดกั้นไว้เสร็จสรรพ ทำให้เข้าค่อนข้างพอใจเป็นอย่างมาก
ขณะที่หลิ่วหมิงเตรียมที่จะพักผ่อน พลันมีเสียงเคาะประตูดังเข้ามา
เขาไปเปิดประตูด้วยความแปลกใจ
ผู้ที่ยืนอยู่ข้างนอกเป็นชายหนุ่มสวมหน้ากากสีเงิน ซึ่งก็คือหยางเฉียนนั่นเอง!
“ศิษย์น้องหลิ่ว ข้าจะพาเจ้าไปสถานที่แห่งหนึ่ง ไปพบคนจำนวนหนึ่ง ไม่ทราบว่าเจ้าสนใจหรือไม่?”
“ไปพบคน?” หลิ่วหมิงย่อมแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“ไม่ผิด! พวกเขาคืออาจารย์จิตวิญญาณสาขาอื่นๆ ที่เพิ่งกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณไม่กี่ปีมานี้เช่นกัน เหมือนจะเป็นคนที่เข้าไปแดนลึกลับในก่อน ศิษย์น้องเองก็คงเคยพบเห็นมาแล้ว” หยางเฉียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อ๋อ! ถ้าอย่างนั้นเป้าหมายที่ต้องไปพบคือ……” หลิ่วหมิงเข้าใจในทันที แต่ยังมีท่าทีงุนงงเล็กน้อย
“เฮ่อๆ! ที่สำคัญก็คืออาจารย์จิตวิญญาณใหม่ของอย่างพวกเราในแต่ละนิกายควรรู้จักกันเล็กน้อย นอกจากนี้อาจจะต้องศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กันบ้าง” หยางเฉียนกล่าวอย่างไม่ลังเล
“ข้าเข้าใจแล้ว ได้! ข้าจะไปกับศิษย์พี่” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ดีมาก! ข้ารู้ว่าศิษย์น้องจะต้องไม่พลาดเรื่องนี้อย่างแน่นอน” หยางเฉียนได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
จากนั้นทั้งสองก็ทะยานขึ้นฟ้า มุ่งหน้าเหาะไปยังทิศทางบางแห่ง
ผ่านไปไม่นาน อารามขนาดเล็กก็ปรากฏตรงหน้า ด้านหน้ายังมีดาดฟ้ากว้างร้อยกว่าจั้ง มันตั้งอยู่ระหว่างเขตพื้นที่ของนิกายทั้งสอง
“ศิษย์น้องหลิ่ว คือสถานที่แห่งนี้ ตามข้าลงไปเถอะ” หยางเฉียนกล่าวจบก็พาหลิ่วหมิงร่อนลงไปด้านล่าง
ไม่นานทั้งสองก็เข้าไปในอาราม
“เฮ่อๆ! ศิษย์พี่หยาง ครั้งนี้เจ้ามาช้าไปนะ” ในอารามมีคนจำนวนมากนั่งล้อมวงพูดคุยกันอยู่ พอชายหนุ่มหน้าดำเห็นหยางเฉียนก็รีบลุกขึ้นมาเรียกด้วยความดีใจ
ชายหนุ่มผู้นี้คือศิษย์พี่อวิ๋นแห่งหุบเขาเก้าช่อง ที่หลิ่วหมิงเคยร่วมมือกันในแดนลึกลับ
ได้ยินชายหน้าดำกล่าวเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็พากันมองมาทันที
“เฮ่อๆ! ข้ามาช้าเพราะไปเชิญศิษย์น้องหลิ่วให้มาพร้อมกัน พี่อวิ๋นเรียกซะดังขนาดนี้ หรือว่ายังไม่พอใจกับการแลกมือในครั้งก่อน ครั้งนี้คิดที่จะท้าสู้อีกใช่หรือไม่?” หยางเฉียนปราดตามองชายหนุ่มแซ่อวิ๋นทีหนึ่ง และกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็สังเกตคนอื่นๆ ไปด้วย ส่วนมากล้วนเป็นคนที่เขาค่อนข้างคุ้นเคย
หญิงสาวสะพายกระบี่ยาวหิมะขาวคนนั้น คือจางซิ่วเหนียงแห่งนิกายจันทราสวรรค์
ถัดมาเป็นหญิงสาวอ่อนโยน ใบหน้ารูปไข่ สวมชุดสีเหลือง นางสะพายกระบี่สั้นสีเขียวตรงหลังสองเล่ม
ดูเหมือนว่าชายสวมชุดคลุมสีเลือดสองคน ก็เป็นคนที่เคยพบในแดนลึกลับ หนึ่งในนั้นคือ ‘เซวี่ยชื่อ’ ศิษย์พี่ใหญ่แห่งหอสายธารโลหิต
นอกจากนี้ ชายหนุ่มสามชุดวาตอัคคี ตาโตคิ้วแดง มีพัดใบลานสีแดงเสียบไว้ตรงเอว ก็ค่อนข้างคุ้นหน้าเล็กน้อย คงจะเคยเห็นในแดนลึกลับเช่นกัน
ส่วนคนสุดท้ายที่รูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ และจ้องมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น ก็คือเกาชงนั่นเอง
……………………………………….