ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 258 การแลกมือ
พอหลิ่วหมิงเห็นเกาชงอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
ในเมื่อหยางเฉียนบอกว่าเป็นการรวมตัวของอาจารย์จิตวิญญาณที่เพิ่งบรรลุเข้ามาใหม่ เกาชงก็ย่อมมีคุณสมบัติที่จะอยู่ที่นี่
แต่หลังจากชายหนุ่มหน้าดำทักทายหยางเฉียนแล้ว ก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยความอบอุ่น
“ข้าค่อนข้างแปลกใจที่ศิษย์น้องไป๋มาปรากฏตัวที่นี่ได้ เดิมทีคิดว่านิกายปีศาจมีแค่พี่หยางกับศิษย์น้องเกาชงที่บรรลุระดับเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีอาจารย์จิตวิญญาณเกิดขึ้นมาใหม่ถึงสามคน แต่ดูจากการแสดงออกของศิษย์น้องในแดนลึกลับแล้ว ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ใช่สิ! ข้าเกือบลืมไป ศิษย์น้องไป๋ได้เปลี่ยนชื่อแล้ว ต้องเรียกว่าศิษย์น้องหลิ่วจึงจะถูก”
“มิกล้า! ข้าเข้าระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้เพราะความโชคดีเท่านั้น ใช่สิ! พี่อวิ๋น ท่านทราบเรื่องที่ข้าเปลี่ยนชื่อได้อย่างไร” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ! ในบรรดาศิษย์จิตวิญญาณจำนวนมากมายเช่นนี้ เจ้ากลับกลายเป็นอาจารย์วิญญาณได้ ถือเป็นความโชคดีได้อย่างไร เจ้าอย่าได้ถ่อมตนอีกเลย ส่วนเรื่องเปลี่ยนชื่อ พี่หยางเคยบอกพวกเราในก่อนหน้าแล้ว เจ้ากับพี่หยางมานั่งกันเถอะ พวกเรากำลังหารือแผนการรับมือกับเผ่าเจ้าสมุทรอยู่” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นกล่าว
หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็เดินเข้าไปทันที
หยางเฉียนนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ห่างจากชายหนุ่มแซ่อวิ๋นไปสองตัว หลิ่วหมิงนั่งตัวถัดมา
อีกข้างหนึ่งของเขาเป็นหญิงนิกายจันทราสวรรค์ใบหน้ารูปไข่ผู้นั้น
พอนางเห็นหลิ่วหมิงนั่งลงข้างๆ หน้าก็เริ่มแดงเล็กน้อย แต่ยังคงพยักหน้าให้หลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงเห็นท่าทีเอียงอายของหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ผู้นี้ เขาก็รู้สึกแปลกใจมาก แต่ก็ยิ้มตอบรับกลับไป
ผลลัพธ์คือนางเขินอายมากกว่าเดิม และไม่กล้าเงยหน้ามองหลิ่วหมิงอีก
แต่จางซิ่วเหนียงที่อยู่ข้างนาง เพียงแค่มองหลิ่วหมิงอย่างเย็นชา โดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา
พอชายแซ่อวิ๋นเห็นหยางเฉียนนั่งลงแล้ว เขาก็ลุกขึ้นเพื่อที่จะขยับตัวเข้าไปใกล้ แต่หยางเฉียนกลับมองเขาอย่างเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นชะงักในทันที หลังจากลูบจมูกตนเองแล้วก็นั่งลงที่เดิมด้วยความเคอะเขิน
“เอาล่ะ! ข้ากับศิษย์น้องหลิ่วมาช้าไปหน่อย ทุกท่านช่วยบอกเนื้อหาที่หารือกันให้ข้าทั้งสองฟังหน่อยได้หรือไม่” หยางเฉียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“เมื่อครู่ พวกเรากำลังพูดเรื่องอสูรสมุทรที่ปรากฏตัวสองครั้งในก่อนหน้านี้ ซึ่งจัดการมันได้ยากมาก ทุกท่านมีวิธีรับมืออะไรไหม?” ชายหนุ่มตาโตคิ้วแดงแห่งนิกายวาตอัคคีค่อยๆ กล่าวออกมา
“อ๋อ! ศิษย์น้องเถียนพูดถึงเจ้าตัวที่สามารถพ่นน้ำทะเลออกมาไม่ได้ไม่มีที่สิ้นสุด และทำให้อากาศบริเวณนั้น กลายเป็นพื้นที่ของปลาวาฬยักษ์ใช่ไหม!” หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ ก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
“พี่หยางรู้ชัดแจ้งเช่นนี้ หรือว่าท่านเคยพบอสูรสมุทรในการสู้รบครั้งก่อน?” ชายหนุ่มคิ้วแดงถามด้วยความแปลกใจ
“ไม่เพียงแต่ได้เจอกับมันเท่านั้น ข้าเกือบเสียชีวิตในเงื้อมมือมันกับอาจารย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรคนหนึ่ง” หยางเฉียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“อืม! อสูรสมุทรตนนี้รับมือได้ยากจริงๆ ตัวมันเองไม่สามารถโจมตีได้ แต่กลับมีเนื้อหนังในการป้องกันที่น่าตกใจ ทั้งยังควบคุมน้ำทะเลอย่างชำนาญ ถ้าเผ่าเจ้าสมุทรคนอื่นๆ ร่วมมือกับมันล่ะก็ พลังคงเพิ่มขึ้นไม่ใช่น้อย เดิมทีคิดว่ามีแค่ศิษย์น้องเถียนกับศิษย์น้องจางที่ได้พบกับมัน แต่ในตอนนี้กลับมีพี่หยางเพิ่มขึ้นมาอีกคน” เซวี่ยชื่อเอ่ยปากออกมา
“อ๋อ! ศิษย์น้องจางก็เคยเจออสูรสมุทรตนนี้ด้วย? ไม่ทราบว่าศิษย์น้องรับมือกับมันอย่างไร ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง? ตอนนั้นข้าเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแสดงวิชาหลบหนีไป” หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ ก็หันมากล่าวกับจางซิ่วเหนียงด้วยความประหลาดใจ
“ข้าทำลายการป้องกันตัวของอสูรสมุทรตนนั้นก่อน และฆ่ามันในดาบเดียว จากนั้นก็ทิ้งแขนข้างหนึ่งของอาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรไว้” จางซิ่วเหนียงกล่าวอย่างสงบ
พอได้ยินเช่นนี้ ผู้คนส่วนมากต่างก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง และมองมาด้วยความประหลาดใจ
“ศิษย์น้องจางสมกับเป็นเจ้าของร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่จริงๆ หลังจากบรรลุระดับแล้ว อานุภาพของกระบี่บินแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เกรงว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางก็ไม่อาจเทียบได้” เซวี่ยชื่อกล่าว
ศิษย์พี่ใหญ่แห่งหอสายธารโลหิตผู้นี้ เคยได้รับความเจ็บปวดจากจางซิ่วเหนียงมาไม่ใช่น้อย หลังจากบรรลุระดับแล้ว วิชาสายธารโลหิตของเขา เข้าสู่ขั้นที่ยากจะหาที่เปรียบได้ และน่าจะเอาชนะผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่เป็นสองรองใครของนิกายจันทราผู้นี้ได้ แต่ตั้งแต่หลังจากเห็นนางต่อสู้กับเผ่าเจ้าสมุทรอยู่หลายครั้ง เขาก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างเด็ดขาด
ส่วนหยางเฉียนกับชายหนุ่มคิ้วแดงที่เคยเห็นอสูรเจ้าสมุทร ต่างก็มองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างขมขื่น
“ศิษย์พี่จาง เชี่ยวชาญวิชากระบี่บินถึงขั้นนี้ และบรรดาพวกเราก็มีแค่นางเท่านั้นที่ทำได้ ดังนั้นวิธีรับมืออสูรสมุทรของนาง เกรงว่าพวกเราคงไม่อาจใช้ได้ แต่ในเมื่ออสูรตนนี้เชี่ยวชาญวิชาควบคุมวารี พวกเราใช้เพลิงอัคคีรับมือดีหรือไม่?” เกาชงถามออกไป
“เกรงว่าจะไม่ได้ บอกทุกท่านอย่างไม่บิดบัง ข้านับว่าเป็นผู้ที่ชำนาญวิชาธาตุไฟ และยังมีอาวุธจิตวิญญาณประเภทเดียวกันคอยช่วย แต่พลังการกระตุ้นเพลิงอัคคีไม่สามารถทำลายน้ำทะเลจำนวนมากได้ในทันที ถ้าแค่รับมือกับอสูรตนนี้เพียงอย่างเดียวก็พอได้ ซึ่งใช้เวลานิดหน่อยเท่านั้น แต่บริเวณใกล้ๆ ยังมีอาจารย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรคนอื่นๆ อีก ดังนั้นจึงไม่อาจสังหารอสูรเจ้าสมุทรตนนี้ได้” ชายหนุ่มคิ้วแดงขมวดคิ้วกล่าว
หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าติดต่อกัน
ประจักษ์ชัดว่า ในตอนนั้นเขาก็เคยใช้วิธีการเช่นนี้ แต่มันก็ไม่ได้ผลใดๆ
“ถ้าพลังเพลิงอัคคีไม่ใช่จุดอ่อนของมันล่ะก็ ลองใช้วิชาที่เป็นธาตุน้ำดู พอทำน้ำทะเลให้กลายเป็นน้ำแข็ง คงจะสามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของสูรตนนี้ได้” เกาชงคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“อันนี้ก็ไม่ได้ แม้ข้าจะไม่เคยลองวิชานี้ และอสูรสมุทรก็ไม่เคยโจมตีมาก่อน แต่พลังของมันไม่มีที่สิ้นสุด พลังปิดผนึกของน้ำแข็งเพียงเล็กน้อยไม่สามารถทำอะไรมันได้ ข้าเคยเข้าใกล้อสูรตนนี้ แต่กลับถูกหางของมันฟาดกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง” หยางเฉียนกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
“อสูรสมุทรโหดเหี้ยมเช่นนี้ หรือว่ามันจะไม่มีจุดอ่อนใดๆ เลย” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม
“ในเมื่อพลังน้ำแข็งและอัคคีใช้ไม่ได้ ทุกท่านเคยใช้พิษไหม” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ก็เอ่ยปากออกมาในที่สุด
“พิษ? อันนี้ไม่เคยลองจริงๆ ไม่แน่อาจจะเป็นวิธีการที่ดีก็ได้ ขณะที่อสูรสมุทรกระตุ้นน้ำทะเล มันต้องดูดพ่นน้ำทะเลออกมา เพียงแค่ใส่พิษเข้าไปในน้ำ มันก็จะถูกพิษอย่างง่ายดาย” หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ตาก็สว่างขึ้นมา
“ด้วยขนาดของอสูรสมุทร เกรงว่าพิษธรรมดาคงไม่มีผลกับมัน” เซวี่ยชื่อกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่
“เฮ่อๆ! พูดถึงเรื่องการใช้พิษ สหายส่วนมากก็ไม่ชำนาญ แต่ด้วยพลังของนิกายคงหาพิษประหลาดได้ไม่ยาก ชนิดเดียวไม่ได้ผล ก็ใส่เข้าไปหลายๆ ชนิด เกรงว่าคงมีสักชนิดที่มีผลกับมัน ต่อให้ไม่อาจทำให้มันตายด้วยพิษ แต่ถ้าทำให้มันอ่อนแอได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี” หลิ่วหมิงกล่าว
“อืม! พี่หลิ่วกล่าวได้มีเหตุผล มันคุ้มค่าที่จะลองดู” ชายใบหน้าอัปลักษณ์ที่อยู่ข้างเซวี่ยชื่อพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา
“ขออภัยที่ข้าน้อยสายตาไม่แหลมคม สหายท่านนี้คือ……” หลิ่วหมิงมองชายอัปลักษณ์ทีหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยความแปลกใจ
“อ๋อ! พี่หลิ่วมาช้าไปหน่อย ไม่รู้จักศิษย์น้องของข้าก็เป็นเรืองปกติ นี่คือเซวี่ยหนิง ศิษย์น้องของข้า เขามีพลังไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย ตอนนั้นเขาก็เข้าไปแดนลึกลับด้วย แต่ถูกล้อมอยู่ในสถานที่บางแห่งซะส่วนใหญ่ มิเช่นนั้น ตอนนั้นนิกายเราคงไม่ดูไร้ประสิทธิภาพเช่นนี้” เซวี่ยชื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าว่าอยู่ทำไมถึงคุ้นหน้าพี่เซวี่ยหนิงเช่นนี้” ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะเข้าใจเล็กน้อยแล้ว
เวลาต่อมา พวกเขาก็หารือวิธีการรับมือกับอสูรสมุทรอีกหลายรูปแบบ แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ทั้งหมด แต่พอถึงเวลาเผชิญหน้ากับมัน ก็จะได้ไม่ถึงกับไร้ซึ่งหนทางในการรับมือ
ในระหว่างเวลานี้ หยางเฉียนเล่าเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์จิตวิญญาณที่เก่งกาจของเผ่าเจ้าสมุทรให้หลิ่วหมิงฟังเล็กน้อย เพื่อที่เขาจะได้ระวังตัวไว้
ผ่านไปอีกสักครู่ ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นก็มองหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม และพลันกล่าวออกมา
“เอาล่ะ! เราหารือเรื่องเผ่าเจ้าสมุทรกันแค่นี้เถอะ ต่อไปจะเริ่มการแลกมือของเราได้หรือยัง ครั้งนี้ศิษย์น้องหลิ่วเข้าร่วมล่ะก็ คิดว่าคงมีสนใจเข้าร่วมไม่ใช่น้อย”
พอได้ยินเช่นนี้ สายตาจำนวนมากก็มองมาที่หลิ่วหมิงภายในพริบตา
หลิ่วหมิงไม่ได้แสดงสีหน้าผิดปกติออกมาแต่อย่างไร
“สหายหลิ่วเป็นผู้มาใหม่ ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ ข้าจะ……” ชายหนุ่มคิ้วแดงตาเป็นประกายขึ้นมา ขณะที่เขากำลังจะกล่าวคำท้าสู้ออกมา พลันถูกใครบางคนขัดจังหวะโดยฉับพลัน
“หลิ่วหมิง เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่?” เขาคือเกาชงที่กำลังจ้องมองหลิ่วหมิง และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ
พอคำพูดนี้เปล่งออกมา นอกจากหลิ่วหมิงแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงในทันที
อย่างที่รู้กันดีว่า แม้จะไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอย่างชัดแจ้งในระหว่างการแลกมือ แต่ภายใต้สถานการณ์ปกติ ย่อมเป็นการท้าสู้ระหว่างนิกาย และไม่เคยมีการแลกมือกันภายในนิกายเดียวกันมาก่อน
แม้หยางเฉียนจะไม่แปลกใจที่ได้ยินเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ จากนั้นก็ใช้น้ำเสียงโทนต่ำกล่าวออกมา
“ศิษย์น้องเกา เจ้า……”
“ศิษย์พี่หยาง ข้ารู้ว่าท่านจะพูดอะไร แต่การแลกมือระหว่างข้ากับศิษย์น้องหลิ่วจะต้องดำเนินต่อไป! ถ้าข้าแพ้ล่ะก็ ข้าจะปล่อยวางเรื่องระหว่างข้ากับศิษย์น้องหลิ่วในก่อนหน้านั้น และจะไม่กวนใจเขาอีก ตั้งแต่นี้ไปถ้าสถานที่ไหนมีเขา ข้าก็จะหลบทางให้ และไม่แย่งชิงสิ่งใดกับเขาอีก แต่หากข้าชนะล่ะก็ เขาจะต้องคุกเข่าก้มศีรษะให้ข้าต่อหน้าผู้คนสามครั้ง ให้ข้าได้ระบายความคับแค้นใจออกมา” เกาชงกล่าวด้วยสีหน้ามืดมน
พอได้ยินเกาชงกล่าวอย่างหนักแน่นเช่นนี้ แววตาหยางเฉียนก็เปลี่ยนไปหลังจากจ้องมองหลิ่วหมิงสองสามที ก็ถอนหายใจแล้วไม่กล่าวอะไรออกมาอีก
ข้อพิพาทระหว่างศิษย์น้องสองคนนี้ เขาได้บอกกล่าวไปแต่แรกแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะสะสมมาจนถึงขั้นนี้
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ต่างก็มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ
“ได้! ในเมื่อศิษย์น้องเกามั่นใจถึงเพียงนี้ ข้าคงต้องขอคำชี้แนะจากศิษย์น้องเกาแล้วล่ะ!” หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่มองเกาชง และตอบรับอย่างไม่สะทกสะท้าน
……………………………………….