ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 259 แปดมังกรโลหิต
ในเมื่อหลิ่วหมิงกล่าวออกมาเช่นนี้ ย่อมไม่มีใครขัดขวางการแลกมือระหว่างเขากับเกาชงได้
ในสายตาของคนส่วนใหญ่ เกาชงนับว่าเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เพราะเขาเคยสังหารผู้ฝึกฝนของเจ้าสมุทรที่อยู่ระดับเดียวกันมาแล้ว
ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าในบรรดาพวกเขาจะเคยมีคนเห็นหลิ่วหมิงลงมือมาก่อน แต่ก็เป็นเรื่องตอนเขาเป็นศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น พลังของเขาหลังจากกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ยังไม่เคยมีคนเห็นมาก่อน
พอเกาชงได้ยินคำตอบรับของหลิ่วหมิง ก็แสดงสีหน้าดุร้ายออกมา จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
หลิ่วหมิงก็ตามออกไปด้วย
คนอื่นๆ สบตากันทีหนึ่ง แล้วก็เดินตามออกไปด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน
ไม่นาน หลิ่วหมิงกับเกาชงก็สบตากันไกลๆ อยู่บนอากาศเหนือลานกว้างตรงหน้าอาราม
“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้ารู้หรือไม่ เดิมทีข้าไม่ได้จงเกลียดจงชังเจ้า!” เกาชงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะกล่าวกับหลิ่วหมิง
“อ๋อ! จริงหรือ!” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจ แต่ก็กล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เกรงว่าหมิงจูคงกลายเป็นเตาหลอมพลังของข้าไม่ช้าก็เร็ว แม้ข้าจะรู้เรื่องนี้ แต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่งของอาจารย์ได้ และตนเองก็ตกอยู่ในหลุมพรางนั้นจนไม่อาจถอนตัวได้ ด้วยเหตุนี้ ก่อนหน้านั้นข้าจึงไม่กล้าให้ระดับการฝึกฝนของตนเองเพิ่มขึ้นรวดเร็วเกินไป เพื่อที่หมิงจูจะได้ไม่ต้องสละตนเอง ดังนั้นวันที่หมิงจูถูกแย่งไป กลับทำให้ข้ารู้สึกวางใจเป็นอย่างมาก ไม่นานก็ได้เตาหลอมพลังคนใหม่ และก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณอย่างราบรื่น แต่สิ่งที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งก็คือ เจ้ากับหมิงจูมีการหมั้นหมายกันไว้ และในตอนท้ายทำไมถึงให้ตระกูลไป๋ถอนหมั้นล่ะ มันทำให้หมิงจูได้รับความอับอายเป็นอย่างมาก! และข้าติดค้างหมิงจูมากขนาดนี้ วันนี้คงได้แต่ใช้วิธีนี้ตอบแทนนาง! นอกจากนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่า คนอื่นอาจเห็นพวกเราเป็นอาจารย์จิตวิญญาณระดับเดียวกัน แต่ถ้าพูดถึงพลังที่แท้จริง เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลยแม้แต่น้อย” เกาชงค่อยๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ แม้จะปรากฏสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ก็กล่าวออกไปด้วยท่าทีที่สงบ
“ที่แท้ศิษย์น้องเกาก็คิดเช่นนี้ ยังโชคดีที่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้ายังสามารถใช้เตาหลอมพลังอันอื่นบรรลุระดับได้ แต่เรื่องที่ตระกูลไป๋ถอนหมั้นนั้น ต่างก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลของตนเอง สุดท้ายข้ากับเจ้าก็ยังอยากดูว่ากำปั้นใครใหญ่กว่ากัน แต่ข้ากลับแปลกใจว่า ทำไมศิษย์น้องเกาถึงได้มั่นใจเช่นนี้”
“ไม่ผิด! สิ่งที่พึ่งพาได้มากที่สุดของผู้ฝึกฝนอย่างข้ากับเจ้า ก็คือพลังของตนเอง! ส่วนที่ว่าทำไมถึงมั่นใจเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะว่าวิชาที่เจ้าฝึกฝน ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบได้” เกาชงกล่าวและหัวเราะเยาะออกมาก่อนที่จะทำท่ามือด้วยสีหน้าดุร้าย จากนั้นก็มีเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!” อสรพิษยักษ์สีเลือดแปดตัวกระโดดออกจากไอหมอก
แต่ละตัวยาวสิบกว่าจั้ง ลำตัวของมันเต็มไปด้วยเกล็ด มีเขาอยู่บนหัวหนึ่งเขา ดวงตาราวกับกระดิ่ง ดูดุร้ายเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ถึงกับอึ้งไปทันที แต่หลังจากมองอย่างละเอียดแล้ว ถึงค้นพบว่าอสรพิษที่ดูเหมือนมีชีวิตเหล่านี้ แท้จริงแล้ว เป็นแสงสีแดงไปทั้งตัว
หลิ่วหมิงมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา เขาสะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กระบี่สั้นสีเขียวเล่มนั้นปรากฏออกมา
“เอ๊ะ! อสรพิษโลหิตทั้งแปดตัวช่างดูแปลกประหลาดยิ่งนัก คงไม่ใช่วิชาแปดมังกรโลหิตของนิกายท่านหรอกนะ?”
พอผู้ชมด้านล่างเห็นอสรพิษสีเลือดบนอากาศทั้งแปดตัว ต่างก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากเซวี่ยชื่อที่ฝึกฝนเส้นทางสายโลหิตจ้องมองอย่างละเอียดแล้ว ก็หลุดปากพูดออกมา
“เคล็ดวิชาแปดมังกรโลหิต! นี่คือวิชาอะไรกัน ใช่วิชาที่เกาชงฝึกฝนหลังบรรลุระดับหรือไม่?” หลิ่วหมิงย่อมได้ยินคำพูดของเซวี่ยชื่อ และคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงฮึดฮัดของเกาชงดังออกมาจากหมอกโลหิต
อสรพิษแปลกประหลาดส่ายหัวพ่นเปลวไฟสีเลือดเข้าหาหลิ่วหมิงเป็นจำนวนมาก
เปลวไฟสีเลือดเหล่านี้มายังไม่ทันมาถึงตัวหลิ่วหมิง กลิ่นคาวเลือดก็โชยเข้ามาในฉับพลัน จากนั้นหลิ่วหมิงก็สูดหายใจเข้าด้วยความเยือกเย็น
อย่างที่รู้ว่า เพราะเขาเคยทานสมุนไพรจิตวิญญาณไป ดังนั้นพิษธรรมดาจึงไม่มีผลต่อเขา ดูท่าเปลวไฟสีเลือดนี้คงจะไม่ธรรมดา
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และสะบัดกระบี่สั้นในมืออย่างไม่รอรี ทันใดนั้นชั้นจำกัดสิบกว่าชั้นก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา พอมีเสียงดังกังวานขึ้น เงากระบี่สีเขียวเงาหนึ่งก็เปล่งประกายออกมาและประกอบเข้าด้วยกันอย่างแปลกประหลาด
ทันใดนั้นความรู้สึกเย็นเสียดกระดูกก็ปรากฏขึ้นบนอากาศ แสงกระบี่ยาวสิบกว่าจั้งเปล่งประกายออกมา
เปลวไฟโลหิตพวยพุ่งรวมตัวกัน จากนั้นก็ถูกกระบี่สั้นสีเขียวกวาดออกไปจนหมดสิ้น
อสรพิษโลหิตสองในแปดตัวที่ปรากฏบนอากาศ ถูกคลื่นกระบี่สั้นสีเขียวฟาดฟันจนระเบิดออกมาเป็นหมอกโลหิต
ขณะนี้ อานุภาพของแสงกระบี่สีเขียวก็หมดลง และพร่ามัวหายไปในอากาศ
แต่ฉากที่คาดไม่ถึงนี้ทำให้เซวี่ยชื่อ และคนอื่นๆ ที่ชมอยู่ด้านล่าง ต่างก็จ้องมองจนตาค้าง
“เป็นไปไม่ได้! เจ้ามีพลังแบบนี้ได้อย่างไร!” มีเสียงโมโหอย่างสุดขีดของเกาชงดังออกมาท่ามกลางไอหมอกโลหิต ดูเหมือนว่าเขาจะยอมรับผลการโจมตีเมื่อครู่ไม่ได้
หลิ่วหมิงกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา เขาเพียงแค่สะบัดกระบี่จันทราหยกอีกครั้ง เงากระบี่จำนวนมากก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ทำให้ผู้ที่ชมฉากนี้อยู่รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น
แม้แต่เขาเองก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก พอคิดไปคิดมาแล้ว ก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ประการแรก เมื่อครู่เขาใช้วิธีการควบคุมกระบี่จิตวิญญาณตามบันทึกประสบการณ์ที่เย่เทียนเหมยให้ไว้ และการลงมือเมื่อครู่ก็เป็นวิธีการลงมือของผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริง ดังนั้นมันจึงให้ผลลัพธ์ที่น่าตกใจเช่นนี้
ประการที่สอง กระบี่จันทราหยกเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง พอสามารถกระตุ้นชั้นจำกัดทั้งหมดได้ อานุภาพก็ย่อมเพิ่มขึ้นหลายเท่า และเขาอาศัยความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ที่อยู่เหนือกว่าคนอื่น ทำให้กระบี่เล่มนี้เปล่งอานุภาพขั้นสูงสุดของมันออกมา
สุดท้าย หลังจากเขาฟันกระบี่ออกไปแล้ว ก็รับรู้ได้ลางๆ ว่าตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งในร่างเขาสั่นไหว เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้มีผลกระทบต่อกระบี่จิตวิญญาณเกินความคาดหมายของเขาไปมาก
แน่นอนว่ายังมีเหตุผลอื่นๆ เช่นเขามีพลังอันน่ากลัวมากกว่าผู้ฝึกร่างที่อยู่ในระดับเดียวกัน และมีพลังจิตที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้กระบี่เมื่อครู่แสดงอานุภาพออกมา
“พี่หยาง เจ้าแน่ใจหรือว่าน้องหลิ่วอยู่สาขาเก้าทารก และไม่ใช่ผู้ฝึกฝนกระบี่!” ชายแซ่อวิ๋นหันมากล่าวกับหยางเฉียนที่อยู่ด้านข้าง
“แน่นอนว่าศิษย์น้องหลิ่วไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ตอนนั้นเขาก็เคยร่วมมือกับเราในแดนลึกลับ ตรงนี้เจ้าก็น่าจะเข้าใจดี” แม้หยางเฉียนจะสวมหน้ากาก แต่ก็ตอบกลับด้วยดวงตาที่ตื่นตะลึง
“นี่จะต้องไม่ใช่วิชาแปดมังกรโลหิตที่แท้จริงอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นจะถูกทำลายง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร!” เซวี่ยชื่อที่อยู่อีกด้านกล่าวออกมาด้วยความโล่งใจ สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เซวี่ยหนิงที่อยู่ด้านข้างกลับจ้องมองกลางอากาศด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก นิ้วทั้งสิบกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
ส่วนจางซิ่วเหนียงกับหญิงชุดเหลืองกับมีท่าทีที่แตกต่างกันออกไป
จางซิ่วเหนียงหรี่ตามองหลิ่วหมิงที่อยู่กลางอากาศ และกลิ่นไอกระบี่ก็พุ่งออกจากตัวของนาง ราวกับว่ากระบี่เมื่อครู่ของหลิ่วหมิงกระตุ้นให้นางอยากจะต่อสู้ขึ้นมา
หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์อีกคน จ้องมองด้วยความตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
ขณะนั้นเอง เกาชงก็แผดเสียงออกมาจากหมอกโลหิตอีกครั้ง!
“ฟู่!” “ฟู่!” อสรพิษโลหิตอีกสองตัวพุ่งออกจากในนั้น และเคลื่อนไหวมารวมกับอีกหกตัวอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นมังกรที่มีเขาตรงหัวสองเขา และมีสี่กรงเล็บ
พอมังกรโลหิตเปลี่ยนร่างแล้ว มันก็ทะยานขึ้นฟ้าพร้อมเสียงคำรามลั่น!
ทันใดนั้นหมอกโลหิตทั้งหมดก็พวยพุ่งไปยังร่างของมังกร ทำให้ร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นมา พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเท่ากว่าๆ ตอนนี้มันยาวยี่สิบจั้งกว่าๆ แล้ว ขณะเดียวกันกลิ่นไออันน่ากลัวก็แผ่ออกมา
ขณะที่หมอกโลหิตถูกมังกรโลหิตดูดจนหมดสิ้นนั้น ร่างของเกาชงก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง
แต่พอผู้คนที่อยู่ด้านล่างเห็นรูปร่างของเกาชงแล้ว ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
เกาชงในตอนนี้ ไม่เพียงแต่มีศีรษะที่กลายเป็นสีแดงเลือด ร่างของเขายังเต็มไปด้วยอักขระสีเลือดจำนวนมาก ขณะเดียวกันเส้นเลือดก็นูนออกมาจากผิวหนัง และสั่นไหวอยู่ไม่หยุด แลดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
“ไป!”
เกาชงไม่สนใจสายตาผู้คนที่อยู่ด้านล่าง มือทั้งสองกระตุ้นวิชาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ตะโกนเสียงต่ำออกไป
มังกรโลหิตอ้าปากพ่นลำแสงสีเลือดออกมา ขณะเดียวกันก็มีพายุบังเกิดขึ้นใต้เท้า พอร่างขนาดใหญ่ดูพร่ามัว มันก็กลายเป็นบ้ายุบ้าระห่ำกระโจนเข้ามา
หลิ่วหมิงจ้องมองฉากนี้ด้วยประกายตาอันเยือกเย็น
เขาสะบัดกระสั้นสีเขียวออกไปด้านหน้า เงากระบี่จำนวนมากหดตัวรวมกันและถูกปล่อยออกไป จากนั้นจันทราหยกก็ปรากฏออกมา และหมุนติ้วๆ ขยายใหญ่ขึ้น
พอลำแสงสีแดงปะทะกับจันทรากลมๆ ก็ถูกสำแสงสีเขียวโจมตีจนแตกละเอียดเป็นผุยผง
พอจันทราหยกเคลื่อนไหวอีกที มันก็กลายเป็นแสงกระบี่สีเขียวที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมครึ่งหนึ่ง และม้วนตัวพุ่งเข้าใส่มังกรโลหิต
“ตู๊ม!”
แสงกระบี่ขนาดใหญ่ปะทะกับมังกรโลหิต
แสงสีแดงกับสีเขียวผสานเข้าด้วยกัน มันทั้งสองต่างก็คุมเชิงกันไว้
สีหน้าเกาชงเปลี่ยนไปมาก เขารีบเปลี่ยนท่ามือในทันที และอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา
โลหิตบริสุทธิ์กลายเป็นกลุ่มหมอกโลหิต หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ แล้ว ก็กลายเป็นอักขระสีเลือดก่อนจมหายไปในอากาศ
ครู่ต่อมา มังกรโลหิตตรงหน้าก็ปล่อยเปลวไฟโลหิตพวยพุ่งออกมา ขณะเดียวกันก็มีอักขระสีเลือดปรากฏขึ้นบนเกล็ดของมัน
ภายใต้สถานการณ์ที่แสงกระบี่สีเขียวถูกเปลวไฟโลหิตห่อหุ้มไว้ แสงของมันก็อ่อนลงในทันที
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบทำท่ามือด้วยมือเดียว และชี้ไปกลางอากาศ
ทันใดนั้นพลังเวทย์ในร่างก็พุ่งทะลักออกมา
แสงกระบี่ยักษ์ที่อยู่ไกลๆ เปล่งประกายขึ้น จากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีเขียวก่อนที่จะระเบิดตัวจนแตกกระจาย แท่งแหลมๆ สีเขียวจำนวนมากพุ่งยิงออกมา
……………………………………….