ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 260 การปะทะกันระหว่างกำปั้นกับกระบี่
มังกรยักษ์ที่มีเปลวไฟโลหิตพวยพุ่ง ถูกแท่งแหลมๆ เจาะจนเป็นรูจำนวนมาก หลังจากมีเสียงร้องอย่างเวทนา มันก็กลายเป็นใบมีดโลหิตแวววาวก่อนร่วงลงไป
ขณะเดียวกัน เกาชงที่อยู่ตรงหน้าก็มีสีหน้าขาวซีดเป็นอย่างมาก เขาอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา อักขระโลหิตบนตัวหายวับไปทันที เขาดูอ่อนระโหยโรยแรงเป็นอย่างมาก
“ดีมาก! ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะชำนาญเส้นทางการฝึกฝนกระบี่ การประลองครั้งนี้นับว่าข้าแพ้ให้กับเจ้า ต่อไปข้าเกาชงจะรักษาสัญญา ไม่เพียงแต่เรื่องของหมิงจูเท่านั้น เรื่องที่เกี่ยวพันกับเจ้า ข้าก็จะหลบทางให้” สีหน้าเกาชงดูอึ้งทึ้งเป็นอย่างมาก จากนั้นก็จ้องมองหลิ่วหมิง และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ
เขาคว้ามือข้างหนึ่งลงด้านล่าง
“ฟู่!”
ใบมีดโลหิตที่ตกลงพื้นพุ่งทะยานขึ้นมาในฉับพลัน หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็กลายเป็นกลุ่มแสงโลหิตตกอยู่ในมือเขา
จากนั้นเกาชงก็หมุนตัวจากไป
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
“ข้าว่าแล้ว ทำไมเกาชงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณไม่นาน ก็สามารถกระตุ้นแปดมังกรโลหิตในตำนานได้ ที่แท้ก็เป็นพลังจากอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนั้น ไม่รู้ว่าอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ดูท่าคงจะเพิ่มพลังให้กับการฝึกฝนเส้นทางสายโลหิตได้เป็นอย่างมาก” เซวี่ยชื่อถอนหายใจกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“เกรงว่าจะทำให้พี่เซวี่ยชื่อผิดหวังแล้วล่ะ! ของชิ้นนั้นเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงที่ประมุขนิกายเราเคยใช้ในสมัยก่อน มันมีผลแค่วิชาแปดมังกรโลหิตของนิกายเราเท่านั้น” หยางเฉียนเรียกสติกลับมาได้ ก็ปราดตามองเซวี่ยชื่อก่อนที่จะกล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! ใยพี่หยางต้องระมัดระวังเช่นนี้ด้วยเล่า หรือท่านกลัวว่าข้าจะวางแผนมุ่งร้ายต่ออาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้หรือ!” เซวี่ยชื่อได้ยินก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก แต่ก็ยิ้มออกมา
“พี่เซวี่ยชื่อจดจำคำพูดนี้ไว้ก็พอ” หยางเฉียนกล่าวอย่างราบเรียบ
“แต่ที่ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจที่สุดก็คือศิษย์น้องหลิ่ว จากการแสดงวิชากระบี่เมื่อครู่ เกรงว่าผู้คนในที่นี้ คงมีไม่กี่คนที่สามารถเข้าใกล้การโจมตีนี้ได้ อย่างน้อยก็ข้าคนหนึ่ง” แม้ชายหนุ่มคิ้วแดงจากนิกายวาตอัคคีจะจ้องมองบนอากาศอยู่ แต่ก็กล่าวพึมพำแทรกเข้ามา
หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมา
เขาเองก็ไม่รู้ชัดเจนว่า หลิ่วหมิงแสดงวิชากระบี่ออกมาได้อย่างไร และยังมีอานุภาพอันน่าตกใจด้วย
อีกด้านหนึ่ง หญิงสาวชุดเหลืองได้ส่งเสียงให้กับจางซิ่วเหนียง
“ศิษย์พี่จาง วิชากระบี่ที่ศิษย์น้องหลิ่วแสดงออกมาเมื่อครู่เป็นวิชารวมหมื่นกระบี่ขั้นพื้นฐานใช่ไหม แม้ว่าจะเป็นวิชาที่ที่บอบบางที่สุด แต่มันเป็นวิธีการของนิกายเราไม่มีผิด อีกอย่าง เมื่อครู่ดูเหมือนว่าข้าจะได้กลิ่นไอกระบี่แปลกๆ อยู่จางๆ! นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน หรือว่าศิษย์พี่หลิ่วผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่จริงๆ?”
“ที่หลิ่วหมิงผู้นี้ใช้วิชากระบี่ได้นั้น ข้ารู้ว่าเกิดจากอะไร ส่วนการโจมตีเมื่อครู่ ทำไมถึงมีกลิ่นไอกระบี่ออกมานี้ ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่ไม่เป็นไร! เชื่อว่าอีกสักครู่ข้าจะทำให้กระจ่างเอง” จางซิ่วเหนียงตอบกลับด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็กระทืบเท้าลงพื้นก่อนที่จะกลายเป็นรุ้งขาวพุ่งขึ้นฟ้า นางเคลื่อนไหวแค่ทีเดียวก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงที่เพิ่งประลองเสร็จและเตรียมจะเหาะลงด้านล่างได้เห็นฉากนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“คิดไม่ถึงว่าเจอกันแค่ไม่กี่ปี ศิษย์น้องหลิ่วก็ฝึกฝนวิชากระบี่ได้ มันทำให้ผู้ฝึกกระบี่เหมือนกันอย่างข้ารู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา หวังว่าศิษย์น้องจะแนะนำวิชากระบี่ให้ข้าบ้างเล็กน้อย” ดวงตาจางซิ่วเหนียงเปล่งประกายเยือกเย็น และกล่าวคำท้าสู้ออกมา
หยางเฉียน เซวี่ยชื่อ และคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ต่างก็รู้สึกตกตะลึงจนตาค้าง
หลังจากพวกเขาเห็นวิชากระบี่ของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้นแล้ว ถ้าจะทำให้จางซิ่วเหนียงรู้สึกสนใจขึ้นมา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นางกลับท้าสู้โดยไม่คิดจะปล่อยโอกาสให้คนอื่นเลย มันทำให้คนอื่นหมดคำพูดขึ้นมา
แน่นอนว่าการที่หลิ่วหมิงถูกจางซิ่วเหนียงท้าสู้ ไม่ว่าจะมองจากทางด้านใด ก็นับว่าเป็นเกียรติแก่เขาเป็นอย่างมาก
เพราะการรวมตัวในหลายครั้งที่ผ่านมาคนจำนวนมากต่างก็อยากแลกมือกับนาง แต่นางก็รับคำท้าเพียงครั้งเดียว และไม่เคยท้าสู้คนอื่นๆ มาก่อน
และก็เป็นเพราะว่าการรับคำท้าสู้ในครั้งนั้น นางแสดงพลังออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนสร้างความกดดันให้คนอื่นๆ ไม่กล้าท้าสู้กับนาง
การรวมตัวในครั้งหลังๆ จางซิ่วเหนียงเกือบจะกลายเป็นผู้ชมโดยสมบูรณ์ ไม่มีใครกล้าไปท้าสู้กับนางอีกเลย ทำให้นางเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาคนในกลุ่มนี้
ตอนนี้หลิ่วหมิงกลับไม่คิดว่านี่เป็นการให้เกียรติ พอเขามองหญิงสาวตรงหน้าแล้ว ก็ส่ายศีรษะกล่าวออกมา
“ถ้าเปรียบเทียบแค่วิชากระบี่บินล่ะก็ วิธีการฝึกฝนงูๆ ปลาๆ ของศิษย์น้อง คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสหาย และคงไม่ต้องประลองแล้ว”
“อืม! ฟังจากน้ำเสียงของสหายหลิ่ว คงมั่นใจว่ายังมีวิธีการอื่นที่เหนือกว่าวิชากระบี่บิน ดีมาก! นอกจากวิชากระบี่แล้ว มีวิธีการอะไรก็แสดงออกมาให้หมดเถอะ!” จางซิ่วเหนียงได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
จากนั้นนางก็คว้ามือไปด้านหลัง กระบี่หิมะขาวเล่มนั้นพุ่งออกมาจากฝัก และค่อยๆ หล่นลงบนมือของนาง
นางไม่ได้แสดงวิชาพิเศษอะไรออกมา เพียงแค่ตั้งกระบี่ยาวขวางไว้ตรงหน้า อากาศบริเวณก็ได้รับผลกระทบ จนก่อเกิดเป็นผลึกหิมะลอยวนรอบตัวนาง
ที่จริงจางซิ่วเหนียงก็รีบลงมือ โดยไม่ได้สนใจว่าหลิ่วหมิงจะตอบนางว่าอย่างไร
หลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ ก็ค่อยๆ หดรูม่านตาลง หลังจากคิดวกไปมาอย่างรวดเร็วแล้ว ถึงถอนหายใจด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ข้าจะรับท่านสักกระบี่ก็แล้วกัน!”
จากนั้น เขาก็สะบัดกระบี่จันทราหยกอย่างไม่เกรงใจ เงากระบี่จำนวนมากปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง พวกมันทั้งหมดรวมตัวเข้าด้วยกัน
“ตู๊ม!” แสงกระบี่ยักษ์ม้วนตัวออกไป
มีเสียงแหลมปะปนอยู่ในสถานที่ที่แสงสีเขียววิ่งผ่าน ดูเหมือนว่าอานุภาพของมันจะแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นสามส่วน
“ทำได้ดี! ข้าจะให้สหายหลิ่วได้รู้ว่า อะไรคือวิชากระบี่ที่แท้จริง!” จางซิ่วเหนียงจ้องมองแสงกระบี่ยักษ์ทีมีอานุภาพอันน่าตกใจ และกล่าวออกมา จากนั้นกระบี่ยาวหิมะขาวก็ตั้งตรงอยู่ตรงหน้า ผลึกหิมะรอบด้านพุ่งเข้าใส่กระบี่ ก่อให้เกิดไอเย็นสะท้าน และลำแสงจ้าแสบตา
“ฟู่!”
กระบี่ยาวหิมะขาวถูกจางซิ่วเหนียงโยนออกไป และภายใต้การกระตุ้นของเคล็ดวิชา มันก็กลายเป็นแพรขาวก่อนที่จะพุ่งยิงไปปะทะกับแสงกระบี่ยักษ์ที่พุ่งเข้ามา
แสงกระบี่สีเขียวกับสีขาวประสานเข้าด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงจนตาค้างก็ได้บังเกิดขึ้น
พอแสงกระบี่สีเขียวที่ดูมีอานุภาพน่าตกใจสัมผัสโดนแพรขาวเล็กน้อย มันก็ระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ
จางซิ่วเหนียงที่อยู่ด้านหลัง ก็ยกมือร่ายคาถาแล้วชี้ไปด้านหน้า
กระบี่ยาวหิมะขาวปรากฏขึ้นในแพรขาว หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบ มันก็พุ่งมาทางหลิ่วหมิง
มันรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ เพียงแค่พร่ามัวไม่กี่ที ก็มาปรากฏตรงหน้าหลิ่วหมิง และฟันลงมาอย่างน่ากลัว
หลิ่วหมิงเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่คิดจะหลบหลีกแต่อย่างใด แต่กลับขยับแขนแล้วคำรามออกมา กำปั้นสีทองอร่ามพุ่งเข้าใส่กระบี่ยาวหิมะขาวจนกระเด็นออกไป ราวกับไม่กลัวถูกคมกระบี่ฟันจนขาดเป็นสองส่วน
จางซิ่วเหนียงที่อยู่ตรงหน้าเห็นเช่นนี้ ก็ไม่คิดที่จะหยุดควบคุมกระบี่บิน แต่กลับถือโอกาสฟันลงไปอย่างโหดเหี้ยม
“ตู๊ม!”
ขณะที่กำปั้นสีทองอยู่ห่างจากกระบี่ยาวหิมะขาวฉื่อกว่าๆ นั้น ก็พลันมีหมอกดำม้วนตัวออกจากกำปั้นในฉับพลัน พลังไร้รูปบางอย่างพุ่งทะลักออกมา
กระบี่ยาวหิมะขาวสั่นสะท้าน และถูกพลังไร้รูปปัดกระเด็นออกไป อึดใจเดียวก็กระเด็นไปไกลสิบกว่าจั้งถึงสามารถตั้งหลักได้
กระบี่ยาวในครั้งนี้ เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งและส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา ราวกับว่าจะถูกทำลายอย่างแน่นอน
จางซิ่วเหนียงมีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว หลังจากจ้องมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วก็โบกมือไปด้านหน้า
กระบี่ยาวหิมะขาวพุ่งยิงกลับมา และเสียบลงฝักตรงหลังนางอย่างมั่นคง
“สหายหลิ่วไม่ธรรมดาจริงๆ ซิ่วเหนียงหวังว่าครั้งหน้าคงมีโอกาสได้รับการชี้แนะจากท่าน ศิษย์น้องเฟิ่งหลวน พวกเราไปกันเถอะ!” นางกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ และเรียกหญิงสาวชุดเหลืองก่อนที่จะขี่เมฆเหาะจากไป
หญิงสาวที่ชื่อเฟิ่งหลวนได้ยินเช่นนี้ ก็รีบกล่าวลาหยางเฉียนและคนอื่นๆ ก่อนจะขี่เมฆตามไป
พริบตาเดียว หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ก็หายลับไปกับตา
คนที่เหลืออยู่ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย
กระบี่ที่โจมตีเกาชงจนพ่ายแพ้ในก่อนหน้านั้นก็ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกตกใจมาก แต่ฉากใช้กำปั้นทำลายวิชากระบี่บินของจางซิ่วเหนียงกลับทำให้พวกเขาหวาดผวายิ่งกว่า
แต่หลิ่วหมิงที่อยู่กลางอากาศในขณะนี้กลับมีสีหน้าหนักอึ้งเป็นอย่างมาก เขาค่อยๆ ดึงกำปั้นสีทองกลับมา ส่วนหน้าของกำปั้นแตกร้าวไปส่วนหนึ่ง และมีรอยเลือดซึมออก
แม้ว่ากระบี่เมื่อครู่จะถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป แต่ปราณกระบี่อันแหลมคมที่กระบี่บินปล่อยออกมา กลับทำลายผิวของกำปั้นไปเล็กน้อย
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงหวาดกลัวอานุภาพกระบี่บินของจางซิ่วเหนียงอยู่ไม่หยุด
เมื่อเขาดึงกำปั้นกลับมาแล้ว นิ้วทั้งห้าก็ค่อยๆ คลายออก เผยให้เห็นมุกกลมๆ ที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอกสีดำเม็ดหนึ่ง
มันคือมุกพลังวารีเม็ดนั้น!
ที่หลิ่วหมิงกล้าใช้กำปั้นรับกระบี่บินนั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าความมั่นใจในทองคำหลอมเหลว กับมุกพลังวารีที่เขากำไว้ในมือนั่นเอง
เพราะมีมุกพลังวารีช่วยไว้ เขาถึงแสดงพลังออกมาได้จนถึงขีดสุด และยังโจมตีกระบี่บินของจางซิ่วเหนียงจนกระเด็นออกไปได้
“ศิษย์พี่ทุกท่าน ตอนนี้ศิษย์น้องรู้สึกเหนื่อยแล้ว ต้องขอตัวกลับก่อน” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะผู้คนที่อยู่ด้านล่างด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นเมฆสีเทาก็ปรากฏขึ้นตรงใต้เท้าก่อนที่เขาจะหันตัวเหาะจากไป
……………………………………….