ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 261 วิชาขี่กระบี่ปราณแกร่ง
“สหายทุกท่าน ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คิดว่าคนอื่นๆ คงไม่สนใจทำการแลกมืออีก พวกเราแยกย้ายกันเถอะ ไว้ค่อยแลกมือกันในโอกาสหน้า” หยางเฉียนเห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
“ได้! พอเห็นฝีมือทั้งสองครั้งของศิษย์น้องท่านแล้ว ข้าก็ไม่มีอารมณ์ที่จะต่อสู้อีก” ชายหนุ่มคิ้วแดงยิ้มอย่างขมขื่น และกล่าวออกมา
จากนั้นเขาก็ทำความเคารพบรรดาผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้น และเหยีบเมฆสีแดงทะยานขึ้นฟ้าไป
เซวี่ยชื่อและคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่เห็นเช่นนี้ ต่างก็พากันกล่าวลาแล้วก็จากไป
พริบตาเดียวขอบลานกว้างก็เหลือเพียงหยางเฉียนกับชายหนุ่มแซ่อวิ๋นเท่านั้น
“พี่อวิ๋น ท่านยังมีเรื่องอันใดอีกหรือ?” หยางเฉียนเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ไม่มีอะไร ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชาประเภทหยินชนิดหนึ่ง ต้องใช้พลังภายนอกเข้าช่วย ประจวบเหมาะกับข้าได้ไม้พลังหยินชิ้นเล็กๆ มาพอดี มันน่าจะเหมาะกับเจ้า” ชายแซ่อวิ๋นเหยียดปากยิ้ม จากนั้นก็หยิบไม้แห้งที่มีไอสีดำแผ่ออกมายื่นให้หลิ่วหมิง
“ไม้พลังหยิน! ของชิ้นนี้มีประโยชน์ต่อข้ามาก ข้ามีสามพันหินจิตวิญญาณ คงเพียงพอที่จะจ่ายราคาสิ่งของชิ้นนี้” ยังไม่ทันได้รับไม้ดำ เขาก็ล้วงเอาถุงหนังที่ใส่หินจิตวิญญาณโยนออกไปก่อน
“ไม่ต้อง! ของสิ่งนี้ข้าเต็มใจมอบให้เจ้า!” แม้ชายหนุ่มหน้าดำจะรับถุงหนังมาแล้ว แต่ก็ส่ายหน้าโบกมือปฏิเสธอยู่ไม่หยุด จากนั้นก็คิดที่จะโยนหินจิตวิญญาณกลับไป
“ถ้าพี่อวิ๋นไม่รับหินจิตวิญญาณไว้ล่ะก็ ข้าก็ไม่อาจรับไม้พลังหยินชิ้นนี้ได้” หยางเฉียนเห็นเช่นนี้ก็ตีหน้าขรึมขึ้นมา
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นย่อมเข้าใจในความเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย หลังจากยิ้มออกมาอย่างขมขื่นแล้วก็เก็บถุงหนังเข้าไป
สีหน้าหลิ่วหมิงที่อยู่ภายใต้หน้ากากผ่อนคลายขึ้นมา เขายื่นมือไปรับไม้ดำ และจ้องมองด้วยความชอบใจ
“ใช่สิ! ข้าขอดูใบหน้าที่แท้จริงของท่านได้หรือไม่?” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทันที ไม่รู้เป็นเพราะอะไรถึงกล่าวออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เจ้าพูดอะไร!” หยางเฉียนที่กำลังชมไม้ในมืออยู่ต้องหยุดชะงักในทันที น้ำเสียงดูเยือกเย็นเสียดกระดูกยิ่งนัก
“เฮ่อๆ! ถ้าไม่ได้ล่ะก็ ให้คิดว่าข้าไม่เคยพูดก็แล้วกัน” ชายหนุ่มใจเต้นขึ้นมา และรีบกล่าวแก้เก้อ
“สหายอวิ๋น เจ้าอย่าลืมคำสาบานที่ให้ไว้ในตอนนั้น นอกจากข้าจะเต็มใจแล้ว ห้ามพูดเรื่องสถานนะที่แท้จริงของข้าออกไปอย่างเด็ดขาด อย่างอื่นยิ่งไม่ต้องไปเพ้อฝัน ยิ่งเจ้าลืมใบหน้าที่แท้จริงของข้าไปหมดสิ้นก็ยิ่งดี” หยางเฉียนลูบหน้ากากไปมา และกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึมเป็นอย่างมาก
“ข้าย่อมจำเรื่องนี้ได้ แต่ใบหน้าเจ้าน่าตื่นตะลึงเช่นนี้ ไหนเลยข้าจะลืมได้ลง”
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นถอนหายใจกล่าวออกมา
“ฮึ! ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร ก็ควรจำไว้ให้ดี วันที่เจ้าเห็นใบหน้าที่แท้จริงของข้าเป็นครั้งที่สอง วันนั้นคือวันตายของเจ้า หยางเฉียนกล่าวอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อและขี่เมฆเหาะจากไป
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นจ้องมองหลังของหยางจนหายไปลับตา ตอนนี้เขารู้สึกอึ้งเป็นอย่างมาก
……
เงาดำเคลื่อนไหวตรงหน้าบ้านหิน!
หลิ่วหมิงร่อนลงจากฟ้า พอเขาสะบัดแขนเสื้อไปด้านหน้า พลังไร้รูปบางอย่างก็พุ่งไปผลักประตูหินออก
เขาขยับตัวอีกครั้ง!
เมื่อเขาเข้าไปในบ้านหิน ประตูก็ค่อยๆ ปิดเข้าหากัน
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะ และยื่นมือข้างหนึ่งออกไปด้านหน้า
รอยแผลบนมือกลายเป็นรอยแผลจางๆ เท่านั้น
ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา แม้ไม่ต้องใช้วิชาฟื้นฟู ก็สามารถรักษาตัวเอง และจัดการกับอาการบาดเจ็บเล็กน้อยทั่วไปได้
เขาขยับนิ้วทั้งห้าไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่ามันยังคล่องตัวดีอยู่ ก็รู้สึกวางใจขึ้นมามาก
หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อดึงกระบี่สั้นสีเขียวเล่มนั้นออกมาสังเกตดู ขณะเดียวกันภาพกระบี่ยาวหิมะขาวของจางซิ่วเหนียงเล่มนั้น ก็ผุดขึ้นในสมอง
แม้จะไม่รู้ว่ากระบี่ที่นางใช้เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับใด แต่คิดว่าคงไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณระดับต้นอย่างแน่นอน มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่จะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางพอๆ กับกระบี่จันทราหยก
วิชากระบี่บินที่ฝ่ายตรงข้ามแสดงออกมามีอานุภาพน่าตกใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็รับรู้ได้ลางๆ ว่า จางซิ่วเหนียงไม่ได้แสดงอานุภาพที่แท้จริงของกระบี่บินนี้ออกมาทั้งหมด
ซึ่งกล่าวได้ว่า ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ผู้นี้มีความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ห่างจากเขามาก
กล่าวในอีกมุมหนึ่งได้ว่า วิชากระบี่บินของจากซิ่วเหนียงน่ากลัวกว่าอย่างเห็นได้ชัด
หลิ่วหมิงนึกถึงฉากที่นางโยนกระบี่ออกไป จากนั้นก็กลายเป็นแพรขาวโจมตีแสงกระบี่ที่กระบี่จันทราหยกปล่อยออกมาได้อย่างง่ายดาย
เห็นได้ชัดว่า เคล็ดวิชาการกระตุ้นให้กระบี่กลายเป็นแสงกระบี่ของจางซิ่วเหนียง สูงส่งกว่าวิธีการที่เขาใช้ในตอนนี้มาก
ดูท่าเขาต้องทำความเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งเล่มนั้นแล้ว เชื่อว่าในความความลึกซึ้งของคัมภีร์นี้ จะต้องมีเคล็ดวิชาขั้นสูงที่คล้ายกันบันทึกอยู่
แต่ก่อนเป็นเพราะว่าระดับการฝึกฝนของเขาไม่เพียงพอ จึงไม่อาจทำความเข้าใจออกมาได้มากกว่านี้ แต่หลังจากกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว เชื่อว่าจะต้องได้อะไรที่มากขึ้นอย่างแน่นอน
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ เขาเก็บกระบี่จันทราหยก และหลับตาทั้งคู่ลง
เขาทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง แสงสว่างผุดขึ้นในสมองของเขา คัมภีร์สีทองปรากฏขึ้นในจิตรับรู้ และค่อยๆ เปิดไปทีละหน้า
เขานั่งขัดสมาธิอยู่พื้น และอ่านดูเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งอย่างรวดเร็ว
หนึ่งชั่วยามผ่านไป เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจระคนดีใจ
“วิชาขี่กระบี่ปราณแกร่ง! ที่แท้ก็มีวิชาฝึกกระบี่ที่ควบคุมกระบี่ทำลายศัตรูได้! ถ้าฝึกฝนวิชานี้จนถึงตอนท้าย จะสามารถสังหารศัตรูในรัศมีร้อยลี้ได้อย่างไร้ร่องรอย ทั้งยังสามารถรวมร่างกับกระบี่และทำการเหาะไปได้ ทั้งหมดล้วนพัฒนาให้เกิดเป็นวิธีอื่นๆ ที่ร้ายกาจขึ้นมา ดีมาก! ให้ข้าดูก่อนว่าความสามารถนี้ต้องฝึกฝนอย่างไร?” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำด้วยความตื่นเต้น
‘วิชาขี่กระบี่’ ที่จางซิ่วเหนียงฝึกฝน แท้จริงแล้วเป็นแค่ความสามารถในการรวมร่างกับกระบี่เท่านั้น
แต่ผู้ฝึกฝนโดยทั่วไป ต่างก็ชอบเรียกความสามารถนี้ว่าวิชาขี่กระบี่
หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหลับตาทั้งคู่อีกครั้ง เขาพาจิตจมดิ่งเข้าไปในทะเลจิตรับรู้
เวลาค่อยๆ ผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่อีกครั้ง ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา
“วิชาขี่กระบี่ฝึกฝนยากลำบากเช่นนี้! ไม่เพียงแต่ต้องจดจำท่ามือ และเคล็ดกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน แต่ยังต้องฝึกฝนร่วมกับพลังจิตอยู่ไม่หยุด จึงจะสามารถควบคุมกระบี่ได้ดั่งใจ จากนั้นก็กระตุ้นพลังเวทย์ภายในร่างกับความมหัศจรรย์ของกระบี่ ถึงจะแสดงอานุภาพของกระบี่บินออกมาได้จนถึงขีดสุด
ตามที่บรรยายเกี่ยวกับวิชาขี่กระบี่ในคัมภีร์ แม้ว่าระดับการฝึกฝนที่แตกต่างกันจะทำให้อานุภาพของกระบี่บินแตกต่างกันเป็นอย่างมาก แต่ลำพังแค่ระดับความช่ำชองในการฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ ก็สามารถแบ่งได้เป็น ขั้นเริ่มต้น ขั้นกลาง ขั้นปลายและขั้นสมบูรณ์แบบ เป็นต้น และภายใต้การฝึกฝนระดับเดียวกัน ก็มีอานุภาพที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน
จากการคาดเดาของหลิ่วหมิง ระดับความยากในการฝึกฝนวิชาขี่กระบี่นี้ ต่อให้เป็น ‘วิชาระดับสูง’ เหล่านั้นก็เทียบกันไม่ติด
แม้กระทั่งหากผู้ฝึกฝนมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ อาจจะต้องติดค้างอยู่ในขั้นเริ่มต้นก็เป็นได้
และการรวมร่างกับกระบี่ในวิชาขี่กระบี่ อย่างน้อยต้องอยู่ในขั้นกลางจึงจะแสดงความสามารถนี้ออกมาได้ และความสามารถในการบินของกระบี่บินนั้น ถ้าฝึกฝนไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบก็ไม่สามารถทำได้
ก่อนเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ จางซิ่วเหนียงก็มีความสามารถในการรวมร่างกับกระบี่แล้ว ดูท่าร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ของนางคงมีคุณสมบัติที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก
จากความเห็นของหลิ่วหมิง วิชากระบี่บินของศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ที่โดดเด่นผู้นี้ ยังหยุดอยู่แค่ขั้นเริ่มต้นเท่านั้น
มิเช่นนั้นการประลองในก่อนหน้า นางคงไม่ใช้แค่ปราณกระบี่ทำลายผิวภายนอกของกำปั้น ซึ่งไม่อาจฟันกำปั้นให้ขาดได้
แน่นอน ถ้าวิชาขี่กระบี่ของจางซิ่วเหนียงฝึกฝนจนถึงระดับอันน่ากลัวเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ไม่อาจใช้กำปั้นไปรับไว้ได้ และเขาคงปล่อยพลังของมุกพลังวารีออกไปทั้งหมดอย่างไม่ลังเล
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วิชากระบี่บินก็เป็นวิชาที่เพิ่มพลังให้เขาได้อย่างรวดเร็ว
แม้หลิ่วหมิงไม่ได้คาดหวังว่า จะฝึกฝนสำเร็จขั้นต้นในระยะเวลาสั้นๆ แค่สองสามเดือน แต่ความตั้งใจแรกคือ ให้กระบี่จันทราหยกออกตัวไปโจมตีศัตรูในระดับง่ายๆ ได้นั้น เป็นสิ่งที่เขาก็พอจะทำให้
หลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็ตัดสินใจในทันที เขาหยิบกระบี่สั้นในแขนเสื้อออกมา และเริ่มฝึกฝนวิชาขี่กระบี่อย่างจริงจัง
สิ่งนี้ไม่เหมือนกับวิชาขี่อาวุธจิตวิญญาณทั่วไป ไม่ว่าเขาจะโยนกระบี่สั้นขึ้นไปในอากาศกี่ครั้งก็ตาม กระบี่สั้นก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศครู่หนึ่งก่อนที่จะสั่นไหวและตกลงมา หรือไม่ก็เปล่งประกายอยู่กลางอากาศอย่างบ้าคลั่ง และปล่อยปราณกระบี่อันแหลมคมออกมา ซึ่งมันไม่สามารถรวมเป็นรูปร่างที่แท้จริงได้……
หลิ่วหมิงเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในบ้านหินนานครึ่งเดือน
เมื่อเขารู้สึกว่าสามารถกุมเคล็ดลับของวิชากระบี่บินได้จำนวนหนึ่งแล้ว เสียงระฆังก็ดังมาจากนอกประตูในฉับพลัน!
หลิ่วหมิงได้รับแจ้งเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงย่อมรู้ว่านี่เป็นเสียงแจ้งเตือนว่า มีเผ่าเจ้าสมุทรปรากฏตัว
เขารีบเก็บกระบี่สั้นแล้วเดินไปผลักประตู
หลังจากก้าวยาวๆ ออกไปด้านนอก ก็ค้นพบว่าทั่วทั้งเมืองยักษ์เกิดความวุ่นวายขึ้นมา
เรือเหาะและรถศึกจำนวนมาก พากันทะยานขึ้นจากพื้นที่ของแต่ละนิกาย
บนกำแพงเมือง นักรบชุดเกราะแต่ละกลุ่มพากันพุ่งขึ้นไปบนกำแพง และตั้งธนูอาญาสิทธิ์ขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว และเล็งออกไปไกลๆ
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา เมฆบังเกิดใต้เท้าและดันตัวเขาพุ่งขึ้นฟ้า พริบตาเดียวก็ขึ้นมาสูงร้อยกว่าจั้ง ทำให้สามารถมองเห็นสถานการณ์บริเวณเมืองยักษ์ได้อย่างชัดเจน
หอสูงสิบกว่าแห่งบนพื้นที่รอบๆ เมืองยักษ์ ล้วนเปล่งแสงแตกต่างกันออกไป ขณะเดียวกันอาวุธที่แขวนอยู่บนนั้นก็ส่งเสียงหวึ่งๆ ออกมาอยู่ไม่หยุด และจังหวะของเสียงก็สอดคล้องกัน ราวกับว่าต่างก็ขานรับกันอยู่
และในขณะเดียวกัน จุดยุทธศาสตร์ที่หอสูงสิบกว่าแห่งล้อมรอบอยู่ ค่ายกลสีเงินขนาดมหึมากำลังก่อตัวขึ้น
มีเสียงดังโครมครามจากขอบฟ้าไกลๆ เส้นสีดำเส้นหนึ่งปรากฎออกมา พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่ขึ้น และกลายเป็นเมฆดำพวยพุ่งเข้ามา
……………………………………….