ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 265 ผู้ฝึกฝนระดับผลึกออกโรง
ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงมาอยู่ห่างจากเขาสามจั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ และกำลังจะชกกำปั้นมาทางเขา
แต่ยังไม่ทันได้ชกออกไป พลังมหาศาลที่ทำให้ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรรู้สึกหวาดกลัวก็ทะลักออกมาก่อน
ลี่ซาขยับแขนทั้งสองโดยไม่ต้องคิด เพื่อนำค้อนยักษ์ทั้งสองมาบังตรงหน้า
“ตู๊ม!”
กำปั้นสีทองชกลงระหว่างค้อนทั้งสองอย่างหนักแน่น
ลี่ซารู้สึกชาที่แขนทั้งสอง และค้อนทั้งสองก็แยกตัวออกจากกันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ขณะเดียวกันเขาก็ร่นถอยออกไป จนไม่สามารถตั้งหลักได้ชั่วขณะ
เขารู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก แต่ก็แสดงสีหน้าดุร้ายในฉับพลัน และพ่นโล่ขนาดเล็กสีเลือดออกมา มันเพียงแค่หมุนติ้วๆ จากนั้นก็กลายเป็นม่านแสงสีเลือดปกคลุมเขาไว้
“ฮ่าๆ! มีโล่โลหิตแดงนี้แล้ว เจ้าอย่าคิดว่าจะทำอะไรข้าได้” ลี่ซาหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้เขาถึงตั้งหลักได้
ขณะนี้หลิ่วหมิงดึงกำปั้นกลับมาและกางนิ้วทั้งห้าออก มุกกลมๆ สีดำพุ่งออกจากในนั้น และกลายเป็นไอหมอกสีดำโจมตีลงบนม่านโลหิต
ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
พอม่านแสงสีเลือดถูกมุกกลมๆ โจมตีจนแตกกระจาย มันก็พร่ามัวไปโจมตีหน้าอกของชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรอย่างรุนแรง
ลี่ซาร้องออกมาอย่างเวทนา รูเลือดขนาดเท่าปากถ้วยปรากฏบนหน้าอกของเขา ปราณแกร่งไม่สามารถปกป้องร่างเขาได้เลยแม้แต่น้อย เขาแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา ร่างของเขาพองแล้วก็ยุบก่อนที่จะระเบิดตัวกลายเป็นฝนโลหิต
อาจารย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นี้ ถูกหลิ่วหมิงสังหารไปแล้ว
หลิ่วหมิงอาศัยโอกาสนี้เคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็ออกจากรัศมีของฝนโลหิตได้ จากนั้นก็คว้ามือออกไปข้างหนึ่ง
“ฟู่!” “ฟู่!” เข็มเงาหยก มุกสีดำ และกำไลเปลือกหอยพุ่งยิงกลับมา พอเขาสะบัดแขนเสื้อมันทั้งหมดก็หายเข้าไปในนั้น
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองค้อนยักษ์สีเงินที่ดูไม่ธรรมดาทั้งสอง หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็โยนยันต์เก็บของออกไปสองผืน
แสงสว่างม้วนตัวผ่านไป อาวุธขนาดใหญ่ทั้งสองถูกเก็บเข้าไปในนั้น
หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อออกไป เพื่อเก็บยันต์เก็บของ แต่ขณะนั้นพลันได้ยินเสียงตะคอกด้วยความโมโห
“ไอ้มนุษย์ต่ำทราม บังอาจฆ่าหลานชายข้า ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น!”
เสียงนี้ดังราวกับเสียงฟ้าร้อง!
แม้หลิ่วหมิงจะมีพลังเวทย์ที่บริสุทธิ์และพลังจิตที่แข็งแกร่ง แต่ก็ต้องโอนเอนจนเกือบตกลงจากอากาศ
ขณะเดียวกัน มีเสียงแผดยาวดังจากด้านหลังกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร เงาร่างพร่ามัวราวกับปีศาจพุ่งยิงเข้ามา มันเปล่งประกายเพียงไม่กี่ที ก็มาถึงกลางสนามรบ
เผ่าเจ้าสมุทรที่ขวางทางอยู่ต่างก็ถูกชนจนกระเด็น เบาหน่อยก็แค่เนื้อหนังถลอกปอกเปิก หนักหน่อยก็กระดูกหักและเสียชีวิต
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้สติจากการวิงเวียนศีรษะ เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที สถานที่ที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกล มีผู้อาวุโสร่างผอมแห้งสวมชุดคลุมสีเงินปรากฏออกมา ดวงตาราวกับนกเขาทั้งสองจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเขียวปัด
หลิ่วหมิงมีสีหน้าหนักอึ้ง เขาพลิกฝ่ามือโดยไม่ต้องคิด กระบอกเหล็กสีดำมืดมิดปรากฏออกมา และพอเสียงกลไกลดัง “คร่อกแคร่ก!” ตาข่ายไหมแวววาวก็แผ่คลุมไปยังด้านหน้า ขณะเดียวกันก็มีแสงสีเขียวเปล่งประกายในมืออีกข้าง อึดใจเดียวก็ฟันกระบี่ออกไปสิบกว่าครั้ง
เขาขยับเท้าทั้งสองอย่างไม่รอรี และพุ่งตัวออกไปราวกับลูกธนู
“คิดจะหนีหรือ? เอาชีวิตของเจ้ามาก่อนเถอะ!”
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งตะคอกออกมา เขาคว้ามือไปทางหลิ่วหมิงโดยไม่สนใจตาข่ายไหมแวววาวกับปราณกระบี่สิบกว่าสายเหล่านั้น
“ฟู่!”
เปลวแสงสีฟ้าพุ่งออกจากตัวเขา พอตาข่ายไหมกับปราณกระบี่สีเขียวเข้าใกล้ ก็ถูกเปลวแสงนี้เผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่หลบออกไปสิบกว่าจั้งกลับรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง พลังมหาศาลระเบิดออกมา จนทำให้เขากระเด็นออกไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขาทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นร่างของเขาก็หนักขึ้นและหยุดลงอยู่กับที่
ฉากนี้ทำให้ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งอุทาน “เอ๋!” ออกมาเบาๆ แต่ต่อมาก็เผยสีหน้าดุร้าย และค่อยๆ งอนิ้วทั้งห้า
“ช้าก่อน!”
ขณะนั้นเอง มีเสียงคนผู้หนึ่งดังมาจากด้านหลังของนิกายปีศาจ ต่อมาก็มีไอสีดำพวยพุ่งเหนือตัวผู้อาวุโสร่างผอมแห้ง มือปีศาจยักษ์ที่เต็มไปด้วยขนสีเขียวพุ่งออกมาราวกับสายฟ้าแลบ และจับศีรษะของผู้อาวุโสไว้
สีหน้าของผู้อาวุโสเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ฝ่ามือที่ยื่นออกมารีบเปลี่ยนทิศทางไปยังกรงเล็บปีศาจเหนือศีรษะ
“ตู๊ม!
กรงเล็บปีศาจกับฝ่ามือของผู้อาวุโสระเบิดควันสีเขียวออกมา ทันใดนั้นพายุบ้าระห่ำม้วนตัวออกไปรอบทิศทาง กลุ่มการต่อสู้ที่อยู่บริเวณนั้นได้รับคลื่นสั่นสะเทือนจนล้มระเนระนาด ผู้ที่มีพลังเวทย์น้อยหน่อยก็หยุดแสดงวิชาจนร่วงลงมาจากอากาศ
หลิ่วหมิงที่อยู่ใกล้หน่อย แม้จะบังคับตนเองให้นิ่งได้ แต่เมื่ออยู่ในท่ามกลางพายุบ้าระห่ำ ก็รู้สึกเหมือนกับมีคมมีดมากรีดตรงหน้า ขณะเดียวกันก็รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงหวาดผวาอย่างสุดขีด
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ผู้ลงมือต้านทานที่อยู่เบื้องหลังก็คืออาจารย์อาเยี่ยนนั่นเอง แต่ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามมีฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงเช่นนี้ จะต้องเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างแน่นอน
เมื่อครู่ผู้อาวุโสระดับผลึกได้ลงมือกับเขา สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย หลังจากคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว เขาก็รีบหลบหนีไปในท่ามกลางพายุบ้าระห่ำ
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับกรงเล็บปีศาจในอากาศปราดตามองหลิ่วหมิงที่หนีไปท่ามกลางพายุบ้าระห่ำ
ทันใดนั้นเขาก็เผยสีหน้าดุร้ายออกมา และขยับแขนอีกครั้งก่อนที่จะชี้นิ้วผ่านอากาศไปทางหลิ่วหมิง
“หยุดนะ!”
เสียงอาจารย์เยี่ยนที่เต็มไปด้วยความโมโหดังมาจากกลุ่มไอสีดำกลางอากาศ ส่วนกรงเล็บปีศาจก็คว้าลงไปพร้อมกับพายุบ้าระห่ำ แต่เห็นได้ชัดว่ามันสายเกินไปแล้ว
แสงสีฟ้าเปล่งประกายขึ้นตรงหน้าผู้อาวุโสร่างผอมแห้ง เล็บดำชิ้นเล็กๆ พุ่งออกไปด้วยเสียงดัง “ฟิ้ว!” เพียงแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่พยายามหนีเพื่อเอาชีวิตรอดนั้น พลันรู้สึกเย็นสะท้านในใจ จากนั้นก็รู้ร้อนตรงหลัง ร่างของเขากระโจนออกจากการโจมตีอันแข็งแกร่งนี้ ขณะเดียวกันก็ต้องกระอักเลือดออกมา
ขณะนี้ เขารู้สึกเจ็บปวดที่หลังเป็นอย่างมาก ราวกับว่าถูกแท่งแหลมๆ แทงเข้าอย่างรุนแรง
พอผู้อาวุโสร่างผอมแห้งเห็นหลิ่วหมิงโซเซไม่กี่ทีแล้วก็ปีนขึ้นมาโดยไม่เป็นอะไรเลย เขาก็รู้สึกตื่นตะลึงอย่างอดไม่ได้ แต่ในขณะที่คิดจะลงมือกับหลิ่วหมิงอีกครั้งด้วยความโมโหนั้น พลันมีแสงสีขาวปรากฏออกมาบริเวณนั้น และล้อมรอบตัวเขาไว้
“เย่เทียนเหมย!”
ขณะนี้ ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งกระโดดตัวราวกับเหยียบโดนหางเข้า พอสะบัดแขนเสื้อทั้งสอง เคียวเกี่ยวข้าวสีทองสองด้านก็ปรากฏออกมา ขณะเดียวกันเขาก็หมุนตัวติ้วๆ กลายเป็นเงาร่างสีทอง
ถึงอย่างไรก็ตาม พอลำแสงสีขาวฟันลงบนร่างของเขา ก็มีเสียงแหลมแสบหูดังออกมา
ผ่านไปเพียงชั่วครู่ ก็มีเสียงดัง “เพล้ง!” ร่างสีทองถูกลำแสงสีขาวปั่นจนระเบิด แต่พอมีลำแสงเปล่งประกายในนั้น สายรุ้งสีฟ้าอันน่าตกใจก็ถือโอกาสพุ่งออกมา มันพร่ามัวไม่กี่ทีก็หลบหนีไปไกลแล้ว
ขณะนั้นเอง มีเสียงคำรามแปลกประหลาดดังมากลางอากาศ ลำแสงสีเขียวพุ่งลงจากฟ้า และปะทะใส่สายรุ้งที่กำลังหลบหนีพอดี
มีเสียงฮึดฮัดดังมาจากสายรุ้งอันน่าตกใจ แต่มันเพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งหลบหนีต่อ และพริบตาเดียวก็กลับมาถึงกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร
ขณะนี้ มีเสียงอาฆาตแค้นของผู้อาวุโสร่างผอมแห้งดังขึ้นมา
“บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านเซียนกับสหายเยี่ยนข้าจดจำไว้ในใจแล้ว และยังมีเจ้าเด็กที่สังหารหลานของข้าเมื่อครู่ ข้าจะถลกหนังดึงเอ็นของเจ้าในไม่ช้าก็เร็ว เพื่อที่จะได้ระบายความแค้นในใจ”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสก็ค่อยๆ ห่างออกไป จากนั้นก็หายไปเลย
สิ่งนี้ทำให้แต่ละนิกายที่กำลังต่อสู้กับผู้ฝึกฝนของเผ่าเจ้าสมุทรต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ และค่อยๆ หยุดการต่อสู้ลง
ในช่วงเวลานั้น มีเงาร่างคนผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากไอสีดำ ผู้อาวุโสมวยผมสามจุกสวมชุดคลุมสีเทาพุ่งลงมาจากฟ้า ซึ่งก็คืออาจารย์อาเยี่ยนนั่นเอง
พริบตาที่ปรากฏตัวขึ้น เขาไม่ได้สนใจหลิ่วหมิงเลย แต่กลับโบกมือไปยังลำแสงสีขาวและกล่าวออกมา
“ขอบคุณท่านเซียนเย่ที่ยื่นมือเข้าช่วย มิเช่นนั้นศิษย์หลานหลิ่วคงยากที่จะพ้นด่านเคราะห์ในครั้งนี้ไปได้”
“ตอนนี้พวกเราแต่ละนิกายร่วมมือกัน เฒ่าประหลาดลี่กล้าเข้าสนามรบลงมือกับผู้น้อย โดยที่ไม่สนใจข้อตกลงที่ทำกันไว้ ข้าจึงไม่อาจนิ่งดูดายได้”
พอกล่าวจบ ลำแสงสีขาวก็หายวับไป หญิงสาวใบหน้าสวยงามสวมชุดสีขาวปรากฏออกมา นางคือเย่เทียนเหมยแห่งนิกายจันทราสวรรค์นั่นเอง
แต่สายตานางที่มองหลิ่วหมิงกลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
อย่างที่รู้กันว่า การใช้เล็บโจมตีของผู้อาวุโสร่างผอมแห้งในก่อนหน้านั้น ต่อให้นางเป็นผู้ฝึกฝนที่อยู่ในระดับเดียวกัน ก็ไม่กล้าใช้เนื้อหนังของตนเองมาต้านทาน
แต่พอหลิ่วหมิงถูกโจมตี ก็แค่กระอักเลือดออกมา จากนั้นก็ไม่เป็นอะไรเลย สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าครั้งนี้ท่านเซียนไม่ออกโรงช่วย เกรงว่าคงยากที่จะบีบให้เฒ่าประหลาดลี่ถอยไปได้ ศิษย์หลานหลิ่ว เจ้ามาขอบคุณผู้อาวุโสเย่ที่ช่วยชีวิตเถอะ!” อาจารย์อาเยี่ยนส่ายศีรษะกล่าวออกมา และกวักมือมาทางหลิ่วหมิง
“ข้าน้อยขอขอบคุณผู้อาวุโสเย่ที่ยื่นมือเข้าช่วย!” หลิ่วหมิงฝืนทนความเจ็บปวดตรงหลังเพื่อลุกขึ้นมากล่าวกับเย่เทียนเหมยอย่างนอบน้อม
“ไม่เป็นไร! คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี ศิษย์หลานหลิ่วไม่เพียงแค่ฝึกฝนวิชากระบี่สำเร็จ แต่ยังเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณด้วย!” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“มิกล้า! ถ้าไม่มีคำชี้แนะจากท่านในปีนั้น ข้าน้อยคงยังไม่เข้าสู่เส้นทางการฝึกฝนกระบี่” หลิ่วหมิงยังคงกล่าวอย่างนอบน้อม
“อะไรนะ! ศิษย์หลานหลิ่วเรียนวิชากระบี่จากท่านเซียนเย่หรือ?” อาจารย์อาเยี่ยนได้ยินก็กล่าวออกมาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงแตรสัญญาณดังมาจากข้างหลังกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร จากนั้นเผ่าเจ้าสมุทรและอสูรสมุทรต่างก็พากันถอยออกไปราวกับกระแสน้ำที่ไหลทะลัก
เมฆดำกลางอากาศ น้ำทะเลบนพื้นก็ถอยออกไปด้วยเสียงดังโครมคราม พริบตาเดียวก็กลายเป็นเส้นสีดำอีกครั้งก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
……………………………………….