ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 282 กำเนิดจิตปีศาจ
“เป็นไปไม่ได้”
มนุษย์เกราะทองคำหดรูม่านตาลง และหลุดปากออกมา
เจ้าของมือที่เต็มไปด้วยโลหิตนั้น คือหลิ่วหมิงที่ควรจะตายไปแล้ว
ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมด้วยแสงสีดำจางๆ และบาดแผลนองเลือดคือโลหิตสีทองอ่อนๆ ขณะเดียวกันบาดแผลทั้งหมดก็สมานกันอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อส่งเสียงดังออกมาติดต่อกัน และก่อเกิดเป็นมัดกล้ามอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามีหนอนแสงตัวเล็กๆ เลื้อยขยุกขยิกอยู่ใต้ผิวหนัง ครู่เดียวร่างกายส่วนบนของเขาก็ไม่มีบาดแผลใดๆ หลงเหลืออยู่เลย ขณะเดียวกันกล้ามตามแขนและขาก็นูนขึ้นมา ระหว่างคิ้วมีเปลวเพลิงสีดำลุกไหม้อยู่ จากนั้นมันก็กลายเป็นอักขระสีดำไม่ทราบชื่อ และเปล่งประกายลำแสงสีดำลึกลับออกมา
แม้มนุษย์เกราะทองคำจะตกตะลึงพรึงเพริดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ขยับแขนข้างหนึ่งโดยไม่ต้องคิด นิ้วทั้งห้าแนบชิดติดกัน และโบกไปทางหลิ่วหมิงที่อยู่บนพื้น
เสียงระเบิดดังออกมา!
อากาศทางด้านหนึ่งสั่นสะเทือน คมมีดแสงสีทองจางๆ ปรากฏตัวขึ้น และฟันใส่ร่างหลิ่วหมิง
“เพล้ง!”
หลิ่วหมิงขยับแขนข้างหนึ่งในทันที นิ้วทั้งห้าแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว และคว้าคมแสงสีทองที่พุ่งเข้ามาไว้ได้
ฉากนี้ทำให้มนุษย์เกราะทองคำมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
แม้ว่าการโจมตีของเขาในเมื่อครู่จะไม่ใช่การโจมตีของระดับผลึก แต่คมมีดแสงก็แหลมคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มันไม่ใช่สิ่งที่กายเนื้อจะสามารถต้านทานได้
ที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ กลิ่นไอบนตัวหลิ่วหมิงในขณะนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นมามากเท่าไหร่ แต่กลับดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก เทียบกับก่อนหน้านั้นแล้ว ราวกับเป็นคนละคนเลยทีเดียว
ในขณะที่มนุษย์เกราะทองคำลังเลอยู่เล็กน้อยว่า ควรจะกระตุ้นพลังเวทย์เพื่อใช้พลังการโจมตีระดับผลึกจัดการคู่ต่อสู้ที่เพิ่งฟื้นมาโดยฉับพลันหรือไม่นั้น ‘หลิ่วหมิง’ ที่อยู่ด้านล่างก็แหงนหน้า และลืมตาทั้งสองขึ้นมา
พอมีเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ลำแสงสีเงินยาวครึ่งฉื่อสองลำ ก็ม้วนตัวออกจากดวงตาของเขา
มนุษย์เกราะทองคำกลางอากาศพลันรู้สึกว่ามีแสงเย็นสะท้านทั้งสองด้าน จากนั้นแขนทั้งสองก็หลุดร่วงลงไป
ครั้งนี้ทำให้มนุษย์เกราะทองคำตกใจเป็นอย่างมาก พอเขาคำรามด้วยความโมโห ร่างกายก็พุ่งออกไปสิบกว่าจั้ง ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นอักขระสีทองออกมา หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นโล่ยักษ์สีทองต้านอยู่ด้านหน้า
แขนทั้งสองที่หลุดออกไป ก็ส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” จากนั้นก็ระเบิดออกมาอย่างน่าประหลาดใจ
ขณะเดียวกัน ก็มีจุดแสงสีทองปรากฏออกมาบริเวณไหล่ทั้งสอง หลังจากมันพวยพุ่งรวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นแขนสองข้างที่ดูเหมือนของเดิมไม่มีผิด
มนุษย์เกราะทองคำจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ
“เจ้าเป็นใครกันแน่! เจ้าไม่ใช่เด็กมนุษย์ในก่อนหน้านั้นอย่างแน่นอน!”
ลำแสงสีเงินในดวงตาทั้งสองของ ‘หลิ่วหมิง’ ที่อยู่ด้านล่างได้สลายไปนานแล้ว เผยให้เล็กลูกตาสีเงินแวววาว แต่ใบหน้าเขาไม่มีความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ออกแรงที่นิ้วทั้งห้า คมแสงสีทองก็แตกกระจายเป็นผุยผง จากนั้นก็หดฝ่ามือเข้ามา และพลิกขึ้นมาดู
กลางฝ่ามือมีเกล็ดสีแดงอยู่สิบกว่าแผ่น แต่ละแผ่นมีขนาดใหญ่ไม่เกินเมล็ดถั่ว แต่มันปกคลุมบริเวณที่รับคมมีดแสงสีทองไว้อย่างน่าอัศจรรย์
ส่วนเกราะหนังเกล็ดมังกรที่เขาสวมติดตัวในก่อนหน้านั้น พื้นผิวของมันดูว่างเปล่า เกล็ดสิบกว่าแผ่นที่เคยมีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่รู้ว่า ‘หลิ่วหมิง’ ผู้นี้ใช้วิธีการอะไรในการดูดเกล็ดมังกรเข้าไปในร่าง และเคลื่อนย้ายไปที่มืออย่างน่าอัศจรรย์ มิเช่นนั้นต่อให้ร่างกายเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่อาจต้านทานคมมีดแสงอันแหลมคมนี้ได้
มนุษย์เกราะทองคำเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะดูลึกลับ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่แข็งแกร่งอย่างที่เขาคิด
ขณะนี้ ‘หลิ่วหมิง’ แหงนหน้ามองมนุษย์เกราะทองคำ หลังจากสังเกตดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“เห็นแก่เมื่อครู่ที่เจ้าโจมตีร่างแฝงของข้าจนได้รับบาดเจ็บ และคลายผนึกให้ข้า ข้าจะให้เจ้าตายแบบสะใจ ซึ่งข้าเพียงแค่จะลบสติปัญญาเจ้า และเก็บยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองนี้ไว้ คิดว่ามาจนถึงตอนนี้แล้ว ยันต์ลึกลับที่สามารถก่อเกิดสติปัญญาได้อย่างเจ้า คงมีไม่มากในโลกใบนี้”
น้ำเสียงเขาคล้ายกับหลิ่วหมิงเล็กน้อย แต่เห็นได้ชัดว่าทุ้มต่ำกว่ามาก
“ยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองอะไรกัน เจ้าพูดเหลวไหล! ไม่ว่าเจ้าคืออะไรที่ครอบครองร่างเจ้าเด็กมนุษย์นี่อยู่ก็ตาม ในเมื่อเจ้าอยากตายจริงๆ ข้าจะช่วยสงเคราะห์ให้” พอมนุษย์เกราะทองคำได้ยินคำว่า ‘ยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลือง’ ก็เต้นแร้งเต้นการาวกับมีใครมาเหยียบหาง และกลิ่นไอสังหารก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เขาทำท่ามือด้วยมือข้างเดียว อักขระสีทองทะลักออกมาจากตัว ขณะเดียวกันเงาร่างยักษ์ตรงด้านหลังก็ปรากฏออกมา ชั่วเวลาเพียงสองอึดใจ มันก็มีขนาดใหญ่สี่ห้าจั้ง
และระดับการฝึกฝนของมนุษย์เกราะทองคำ ก็เข้าสู่ระดับผลึกในทันที
“วิธีการระดับดาราสวรรค์ที่อ่อนแอเช่นนี้ ถ้าระดับดาราสวรรค์ที่แท้จริงมาพบเข้า คงโมโหจนต้องกระอักเลือดออกมา แต่ในเมื่อสามารถปล่อยพลังออกมาเช่นนี้ได้ ดูท่ายันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองนี้ คงมีคุณสมบัติไม่เลว แม้แต่ในสมัยบรรพกาลยังนับว่าเป็นยันลึกลับระดับสุดยอด แต่ด้วยกลิ่นไอของเจ้าในขณะนี้ ยกระดับเข้าถึงเขตแดนผลึกได้ นับว่าดูฝืนไปหน่อย เกรงว่าต่อไปนี้คงไม่อาจแปลงร่างได้อีก” ‘หลิ่วหมิง’ เห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้แปลกใจมากนัก เขาเพียงแค่กล่าวออกมาราวกับคิดอะไรอยู่
พอมนุษย์เกราะทองคำได้ยินประโยคแรกของ ‘หลิ่วหมิง’ สีหน้าเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมาทันที และพอหลิ่วหมิงกล่าวจบ เขาก็คำรามออกมาอย่างอดไม่ได้
“ต่อให้เป็นพลังที่อ่อนแอ ก็สามารถบดขยี้ระดับของเหลวอย่างเจ้าได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ”
พอกล่าวจบ มนุษย์เกราะทองคำก็ทำท่ามือกระตุ้นพลังเวทย์อย่างไม่รีรอ เงาร่างยักษ์ที่พร่ามัวอยู่ตรงหลังลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ขณะเดียวกันก็ขยับแขนอัดไปทางหลิ่วหมิง
“ฟู่!”
คลื่นสะเทือนเหนือศีรษะหลิ่วหมิง ฝ่ามือสีทองขนาดหลายหมู่ปรากฏออกมา และนิ้วทั้งห้าก็กางออกก่อนกดลงไปด้านล่าง
อากาศด้านล่างส่งเสียงดังออกมา พลังไร้รูปกดลงจากอากาศ
‘หลิ่วหมิง’ รู้สึกแค่ว่าอากาศรอบด้านดูอึดอัดขึ้นมา และกดดันจนกระดูกทั่งร่างส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!”
“กายเนื้อนี่ช่างอ่อนแอจริงๆ เป็นถึงระดับของเหลว แต่ไม่อาจทนรับพลังเล็กน้อยนี้ได้” ‘หลิ่วหมิง’ มองดูฝ่ามือยักษ์สีทองที่กดลงมา เขาหรี่ตาทั้งคู่แล้วกล่าวกับตนเอง และไม่ได้สนใจพลังมหาศาลที่กดลงมาเลย
มนุษย์เกราะทองคำเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และเพิ่มการกระตุ้นเงาร่างยักษ์ที่อยู่ด้านหลัง
“ตู๊ม!”
ฝ่ามือยักษ์สีทองกดลงมาอีกครั้ง พลังที่แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้สามส่วน ทำให้พื้นดินบริเวณที่หลิ่วหมิงอยู่จมลงไป จนเกิดเป็นรอยฝ่ามือที่ลึกฉื่อกว่าๆ
ร่าง ‘หลิ่วหมิง’ ที่อยู่ตรงใจกลางฝ่ามือยักษ์แตกร้าวออกมา โลหิตจำนวนมากพุ่งยิงออกมาจนกลายเป็นหมอกโลหิต พอร่างของเขาถูกฝ่ามือยักษ์สีทองกดดันจนใกล้จะระเบิดออกมานั้น หลิ่วหมิงก็กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
“นิ้วทำลายเทพ!”
พอกล่าวจบ แสงโลหิตสีแดงก็พุ่งออกจากหมอกโลหิต มันพร่ามัวกลายเป็นเงานิ้วมือโลหิตยักษ์ยาวจั้งกว่าๆ และแตะไปยังกลางฝ่ามือยักษ์สีทองอย่างง่ายดาย
ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้น!
พริบตาที่ฝ่ามือยักษ์สีทองถูกนิ้วโลหิตแตะต้อง มันก็เกิดการสั่นไหวขึ้น และแตกร้าวออกมา จากนั้นก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
ขณะเดียวกัน เงาร่างยักษ์ด้านหลังมนุษย์เกราะทองคำก็หายวับไปทันที
“แย่แล้ว!”
มนุษย์เกราะทองคำเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ต่อสู้มานาน พอเห็นฉากเช่นนี้ ไหนเลยจะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ได้สร้างสถานการณ์ขู่ขวัญ แต่กลับมีความสามารถในการสังหารเขาจริงๆ เขารีบทำท่ามือด้วยมือทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เพื่อกระตุ้นพลังเวทย์ทั้งหมด จากนั้นก็พร่ามัวเป็นสายรุ้งทะยานขึ้นฟ้าหลบหนีไป
“คิดจะหนีหรือ? มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
เสียง ‘หลิ่วหมิง’ ดังออกจากหมอกโลหิตอีกครั้ง
นิ้วโลหิตหมุนวนหนึ่งรอบ และชี้ไปทางมนุษย์เกราะทองคำที่อยู่ไกลๆ
“ตู๊ม!”
มนุษย์เกราะทองคำที่กระตุ้นความเร็วจนถึงขีดสุด และหนีออกไปไกลร้อยกว่าจั้ง พลันรู้สึกว่าร้อนไปทั่วร่างกาย และร่างของเขาก็ถูกพลังมหาศาลโจมตีจนระเบิดออกมา
ขณะนี้มีเสียงดัง “ฟู่!” เงาโลหิตพุ่งออกจากหมอกโลหิตด้านล่าง มันพร่ามัวไม่กี่ทีก็ทะลุผ่านมนุษย์เกราะทองคำที่ระเบิดตัว
พอแสงโลหิตดับลง ‘หลิ่วหมิง’ ก็ปรากฏตัวบนอากาศ
เพียงแต่ในตอนนี้ ทั่วทั้งร่างของเขาเจิ่งนองไปด้วยโลหิต ในมือถือยันต์สีทองอร่ามอยู่ผืนหนึ่ง
“ไม่เลว ไม่เลวจริงๆ คิดไม่ถึงว่าพอออกจากผนึกแล้ว ก็ได้ของล้ำค่าชิ้นนี้มา แต่ถ้าเจ้านี่ไม่ถูกข้าข่มขู่ไว้ ข้าคงไม่กล้าโจมตีในระยะประชิด และยังเหลือเวลาให้ข้าแสดงวิชาสังเวยโลหิตออกมา ซึ่งอาศัยแค่กายเนื้อคงไม่อาจกระตุ้นนิ้วทำลายเทพออกมาได้”
‘หลิ่วหมิง’ สังเกตดูยันต์สีทองในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูประหลาดๆ
ที่น่าตกใจก็คือ ยันต์สีทองผืนนี้ยังคงดิ้นรนอยู่ในมือเขาไม่หยุด ราวกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต
ครู่ต่อมา ‘หลิ่วหมิง’ ก็ทำเสียงฮึดฮัด และอ้าปากพ่นหมอกโลหิตสีทองจางๆ ออกมา ยันต์สีทองสั่นไหวอยู่ท่ามกลางหมอกโลหิตไม่กี่ที ก็เปล่งประกายแสงกลายเป็นยันต์สีเหลืองเก่าๆ ผืนหนึ่ง
จากนั้นหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ร่อนลงด้านล่าง
ขณะนั้นเอง อักขระสีดำระหว่างคิ้วของเขาเปล่งประกายสองสามที จากนั้นบาดแผลบนร่างก็สมานกันอย่างรวดเร็ว
……………………………………….