ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 286 กลับอย่างปลอดภัย
แต่จากตัวอย่างของกระบี่เล็กสีทองในก่อนหน้านั้น เขาย่อมไม่มองข้ามมันไปง่ายๆ
ทันใดนั้นเขาก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งแล้วชี้ไปยังมุกสีดำ
“ตู๊ม!”
เงาค่ายกลอักขระพุ่งออกมายี่สิบห้าชั้น
“เป็นแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
แต่ครู่ต่อมาค่ายกลอักขระก็สั่นสะท้าน และส่งเสียงดังออกมา จากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มหมอกสีดำอันหนาแน่น เงาร่างยอดเขาสีเหลืองลูกเล็กๆ ปรากฏอยู่ในนั้นลางๆ
“นี่คือ……”
สีหน้าหลิ่วหมิงเคร่งขรึมขึ้นมาอีกครั้ง
มันดูต่างจากเดิมเป็นอย่างมาก เวลากระตุ้นมุกพลังวารีแบบเดิม เวลากระตุ้นจะไม่มีเหตุการณ์พิเศษเช่นนี้
หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เขารีบส่งพลังจิตเข้าไปดูภายในมุกกลมๆ ผ่านไปไม่นาน สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป
เขาสะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน แสงสีฟ้ากระพริบผ่านไป จากนั้นหอยสังข์ย่อส่วนก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง
หลิ่วหมิงจับหอยสังข์ย่อส่วนไว้ และส่งพลังจิตเข้าไปตรวจสอบด้านใน จากนั้นเขาก็ต้องหลุดปากออกมา
“ดินปราณทองคำบริสุทธิ์หายไปแล้ว! คิดไม่ถึงว่าเขาจะละลายวัสดุระดับนี้เข้าไปในมุกพลังวารี แต่กลับยกระดับไปถึงแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำเท่านั้น!”
ตอนนี้เขารู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก!
อย่างที่รู้ว่า เดิมทีเขากะจะใช้ดินปราณทองคำบริสุทธิ์มาหลอมเป็นเตาหลอมโอสถจิตวิญญาณ แต่ตอนนี้กลับถูกคนที่ยึดร่างใช้ไปหมดแล้ว เขาจึงรู้สึกทั้งตกใจทั้งโมโห
หากดินปราณทองคำบริสุทธิ์สามารถยกระดับมุกพลังวารีไปถึงระดับสุดยอดได้ก็แล้วไป แต่ตอนนี้กลับอยู่แค่ระดับต่ำเท่านั้น มันได้ไม่คุ้มกับเสียเลย
หลิ่วหมิงรู้สึกเจ็บปวดใจอยู่เพียงชั่วครู่ หลังจากขบคิดไปมาก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง
ด้วยระดับฝีมือการหลอมอาวุธของผู้ที่ยึดร่างเขา สามารถทำให้กระบี่จันทราหยกไปถึงระดับสุดยอดได้อย่างง่ายดาย แล้วทำไมจะไม่รู้ว่าดินปราณทองคำบริสุทธิ์นี้ล้ำค่าแค่ไหน
หลิ่วหมิงมองดูมุกกลมๆ ในมือด้วยตาที่เป็นประกายเล็กน้อย จากนั้นก็เก็บหอยสังข์ย่อส่วนกับสิ่งของอื่นๆ เข้าไป พอมั่นใจว่าไม่มีอะไรตกค้างแล้ว เขาก็ปล่อยไอดำออกมาจากตัว
“ฟู่!”
ร่างหลิ่วหมิงถูกไอดำห่อหุ้มไว้ และพุ่งออกจากยอดเขา
ไอดำพวยพุ่งรวมตัวกัน จากนั้นเขาก็มาปรากฏตัวกลางอากาศ
เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า และปล่อยพลังจิตสำรวจดูรอบด้าน พอมั่นใจว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีคนอื่นๆ แล้ว ถึงพลิกมือข้างหนึ่งขึ้นมา มุกกลมๆ สีดำปรากฏขึ้นบนมือ
หลิ่วหมิงร่ายคาถา และเริ่มส่งพลังเวทย์เข้าไปในมุกกลมๆ
พริบตาเดียวมุกพลังวารีก็หนักขึ้นกว่าเดิมหมื่นจิน!
หากไม่ใช่ว่าเขาทำการป้องกันไว้แต่แรก และมีพลังที่มากขึ้นล่ะก็ มุกพลังวารีนี้อาจจะหลุดมือตกลงไปแล้วก็ได้
ครู่ต่อมา เขาหยุดร่ายคาถา และโยนมุกพลังวารีไปยังเขาลูกเล็กๆ ที่สูงหลายร้อยจั้งในบริเวณนั้น
พอมุกพลังวารีหลุดจากมือ หมอกสีดำจำนวนมากก็ทะลักออกมา และเคลื่อนไหวไปอยู่เหนือยอดเขาลูกนั้น
“ตู๊ม!”
เงาร่างยอดเขายักษ์สีเหลืองลอยออกจากหมอกดำ หมอกดำทั้งหมดม้วนตัวเป็นแม่น้ำยาวสีดำลอยวนรอบยอดเขายักษ์สองสามรอบ จากนั้นทั้งสองก็ร่อนลงมาด้วยเสียงอันดัง
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
ยอดเขาด้านล่างถูกเงาร่างยอดเขายักษ์กดดันจนระเบิดตัวออกมา ขณะเดียวกันหมอกดำก็พวยพุ่งในรัศมีลี้กว่าๆ ทำให้อากาศบริเวณนั้นมีความหนาแน่นเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา
เกรงว่าการโจมตีระดับนี้ คงไม่ใช่เรื่องที่อาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำชิ้นหนึ่งจะสามารถทำได้ อีกอย่าง เมื่อครู่เขาไม่ได้ใช้พลังเวทย์ทั้งหมด ชั้นจำกัดที่เพิ่มขึ้นมาในมุกพลังวารีก็ยังไม่ได้นับการปรับแต่งที่แท้จริง
เขาแสดงสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็โบกไปยังอากาศที่อยู่ไกลๆ
เงาร่างยอดเขายักษ์สีเหลืองกับหมอกสีดำที่อยู่บริเวณนั้นสลายไป มุกพลังวารีพุ่งออกจากกองเศษหินด้วยเสียงอันดัง และพุ่งกลับมาในมือของเขา
หลิ่วหมิงสังเกตดูมุกพลังวารีในมือไม่กี่ที ก็เก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ ลูกกลมๆ สีเขียวพุ่งออกมา พอถูกกระตุ้นก็มีเสียงกลไกลดัง “ครอกแคร่ก!” และกลายเป็นเรือกลเหาะสีเขียวที่ยาวสองจั้ง
หลิ่วหมิงลอยลงด้านหน้าเรือเหาะอย่างไร้สุ้มเสียง และใช้ปลายเท้าแตะลงบนเรือเหาะ
เรือลำนี้พร่ามัวกลายเป็นกลุ่มแสงสีเขียวและพุ่งทะยานออกไป
ไม่รู้ว่ามีแผ่นค่ายกลอยู่บนมือหลิ่วหมิงตั้งแต่เมื่อไหร่ และทิศทางเรือเหาะเปลี่ยนไปตามแสงที่ปรากฏออกมาบนนั้น
ผ่านไปหลายชั่วยาม เรือเหาะพุ่งออกมาถึงขอบเทือกเขาอย่างไร้สุ้มเสียง และมาปรากฏตัวเหนือยอดเขาที่โดนพังทลายลงมา พื้นที่บริเวณนั้นดูระเกะระกะเป็นอย่างมาก
สถานที่แห่งนี้คือที่ที่เขาต่อสู้กับมนุษย์เกาะทองคำในก่อนหน้านี้!
พอหลิ่วหมิงมั่นใจว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีกับดักของเผ่าเจ้าสมุทร ถึงกล้าเผยรูปร่างที่แท้จริงของเรือเหาะออกมา
เขากวาดสายตาดูหลุมขนาดใหญ่แต่ละหลุมที่อยู่บนพื้น ก็มองออกว่าร่องรอยเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนเขาถูกยึดร่างไม่นาน อย่างมากก็สามสี่วันเท่านั้น
เขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น ธงค่ายกลสีฟ้าอ่อนหนึ่งปึกกับกล่องหยกปรากฏออกมา
ก่อนหน้าที่เขาสำรวจดูในหอยสังข์ย่อส่วน ก็ค้นพบของสองสิ่งนี้อย่างน่าประหลาดใจ
ธงค่ายกลเหล่านี้ไม่ต้องพูดถึง เขามองออกว่าเป็นธงค่ายกลอานุภาพไม่ธรรมดาที่ปักอยู่บริเวณขอบพื้นที่นี้ในตอนแรก
ส่วนยันต์ในหล่องหยกนั้น เขาก็พอเดาได้คร่าวๆ แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจมากนัก
หลิ่วหมิงยืนอยู่ส่วนหน้าของเรือเหาะ หลังจากมองสิ่งของทั้งสองที่อยู่บนมือซักพัก ก็เก็บพวกมันเข้าไป จากนั้นถึงกระตุ้นเรือกลเหาะให้ทะยานจากไป
แต่พริบตาที่ไปจากเทือกเขานั้น เขาทำท่ามือแล้วชี้ไปยังพื้นเรือเหาะสองสามที ทันใดนั้นชั้นจำกัดที่แฝงอยู่บนนั้นก็ทำให้เรือเหาะลางเลือนขึ้นมา
เขาได้ตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้วว่า ถ้าเจอหน่วยสอดแหนมของเผ่าเจ้าสมุทรบริเวณเมืองยักษ์ หรือรู้สึกไม่ชอบมาพากลล่ะก็ จะรีบเลี้ยวหนีไปยังแคว้นต้าเสวียนทันที
เห็นได้ชัดว่าหลิ่วหมิงกังวลมากไปหน่อย
เขาเหาะมาครึ่งวันก็ยังไม่พบกับหน่วยสอดแนมของเผ่าเจ้าสมุทรเลย แต่กลับเจอศิษย์ที่ลาดตระเวนของนิกายกลุ่มหนึ่ง
ในนั้นมีศิษย์นิกายปีศาจอยู่สองสามคน
หลิ่วหมิงเข้าไปหาด้วยความดีใจ ไม่นานก็รู้จากปากศิษย์หลานเหล่านี้ว่า เหตุเพราะผู้อาวุโสระดับผลึกของทั้งสองฝ่ายยื่นมือเข้าแทรกแทรง จึงทำให้ศึกระหว่างเผ่าในครั้งนี้สิ้นสุดลง และกองทัพเผ่าเจ้าสมุทรก็ถอยกลับไปแคว้นไห่เยวี่ยแล้ว
เมื่อหลิ่วหมิงได้ยินข่าวนี้ ย่อมรู้สึกดีใจและตกใจไปพร้อมๆ กัน หลังจากสอบถามอย่างละเอียด ก็ทราบว่าจางซิ่วเหนียง และคนอื่นๆ ที่ไปเมืองลอยน้ำของเผ่าเจ้าสมุทรพร้อมกับเขา ต่างก็กลับมาเมืองยักษ์อย่างปลอดภัยแล้ว
และเมื่อไม่นานมานี้ นิกายปีศาจเพิ่งส่งศิษย์จำนวนมากออกไปตามหาเขา
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมามาก จากนั้นก็รีบกระตุ้นเรือกลเหาะพุ่งเข้าไปในเมืองยักษ์อย่างไม่ลังเล
หลายชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวในเขตพื้นที่ของนิกายปีศาจที่อยู่ในเมืองยักษ์ และยืนอยู่ต่อหน้าประมุขนิกายปีศาจกับอาจารย์อาเยี่ยน
“ดีมาก! ศิษย์หลานหลิ่ว เจ้าหายไปนานขนาดนี้ ข้ากับศิษย์หลานประมุขคิดว่าเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดกับเจ้าเสียแล้ว ตอนนี้ได้เห็นเจ้ากับตา มันทำให้ข้าโล่งใจไปมาก” สีหน้าอาจารย์อาเยี่ยนซีดขาวเล็กน้อย แต่สายตาที่มองหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยความปลื้มปีติยินดี
ประจักษ์ชัดว่าศึกที่สิ้นสุดในก่อนหน้านั้น ทำให้เขาเสียพลังไปไม่ใช่น้อย ชั่วระยะเวลาสั้นๆ ไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้
“หลิ่วหมิงไร้ความสามารถ ทำให้อาจารย์อาต้องเป็นห่วงแล้ว ตอนที่ศิษย์หนีออกจากเมืองลอยน้ำของเผ่าเจ้าสมุทร กลับต้องเผชิญกับผู้อาวุโสระดับผลึกที่ถูกหลอกล่อให้จากไปผู้นั้น จึงได้อาศัยพลังจากยันต์แสงทองหลบหนีไปยังเทือกเขาบริเวณนั้น และอาศัยสภาพพื้นที่ของเทือกเขาซ่อนตัวไว้ จนถึงตอนนี้เพิ่งจะกลับมา ใช่สิ! ศิษย์เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจในเมืองลอยน้ำ ทำให้ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกถูกชิงไปแล้ว ขออาจารย์อาโปรดให้อภัย!” หลิ่วหมิงกล่าวกับอาจารย์อาเยี่ยนด้วยสีหน้าละอายใจ
“ศิษย์น้องหลิ่วอย่าได้ใส่ใจเลย เรื่องนี้ข้ากับอาจารย์อาได้ยินจากปากคนอื่นๆ ที่กลับมาแล้ว พวกเจ้าเผชิญหน้าผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนของราชวงศ์เจ้าสมุทร สามารถหลบพ้นเงื้อมมือเขามาได้ ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกถูกฝ่ายตรงข้ามชิงเอาไป เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลี่ยง แม้ว่าข้ากับอาจารย์อาเยี่ยนจะอยู่ในสถานการณ์นั้น ก็คงมีผลลัพธ์ไม่แตกต่างกัน” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ไม่เลว! ครั้งนี้ใครก็คิดไม่ถึงว่าราชวงค์เผ่าเจ้าสมุทรจะส่งผู้แข็งแกร่งระดับแก่นเสมือนมาช่วยเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสามในอวิ๋นชวน หากสหายหยวนหมัวไม่ทราบข่าวนี้ก่อน และออกจากการเก็บตัวอย่างเงียบๆ เพื่อตามกองกำลังมาล่ะก็ นิกายของพวกเราทั้งหลายคงจะต้องล่มสลายอย่างแน่นอน” อาจารย์อาเยี่ยนถอนหายใจกล่าวออกมา
“ขอบคุณอาจารย์อากับศิษย์พี่ท่านประมุขที่ใจกว้าง! ศิษย์ได้ยินศิษย์ในนิกายพูดเรื่องนี้แล้ว ได้ยินมาว่ากองกำลังใหญ่ของเผ่าเจ้าสมุทรถอยกลับไปแคว้นไห่เยวี่ยแล้ว แต่ข้อตกลงครั้งสุดท้ายระหว่างนิกายเรากับเผ่าเจ้าสมุทรเป็นเช่นไรนั้น ข้ายังไม่ค่อยรู้แน่ชัด” สีหน้าหลิ่วหมิงผ่อนคลายขึ้นมามาก แต่ก็ถามออกไปด้วยความสงสัย
“ข้อตกลงพักศึกระหว่างนิกายเรากับเผ่าเจ้าสมุทรนั้นง่ายมาก เผ่าเจ้าสมุทรทั้งสามในอวิ๋นชวนได้ครอบครองแคว้นตามแถบชายทะเลแล้ว ภายในระยะเวลาสามร้อยปีจากนี้ไป ห้ามบุกรุกแผ่นดินอวิ๋นชวนของพวกเราอีก และแคว้นแต่ละแคว้นในแผ่นดินอวิ๋นชวน ก็ห้ามส่งกองกำลังไปดินแดนที่เผ่าเจ้าสมุทรทั้งสามครอบครองชั่วคราวในขณะนี้” อาจารย์อาเยี่ยนค่อยๆ กล่าวออกมา
“อะไรนะ! แคว้นไห่เยวี่ยและแคว้นอื่นๆ จะเป็นของเผ่าเจ้าสมุทรหรือ? นี่ไม่เท่ากับว่าเลี้ยงเสือไว้ในบ้านหรือไร? เกรงว่าพอเผ่าเจ้าสมุทรครอบครองแคว้นบริเวณแถบชายทะเลนานเข้า คงจะตั้งรากฐานอยู่ในแคว้นเหล่านี้ หลายร้อยปีผ่านไป คิดจะขับไล่พวกเขา คงยากกว่าตอนนี้ไม่รู้กี่เท่า” พอหลิ่วหมิงได้ยิน ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
“เรื่องนี้พวกข้าย่อมรู้ดี แต่ฝ่ายตรงข้ามมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนของราชวงศ์เจ้าสมุทรหนุนหลังอยู่ แม้แต่สหายหยวนหมัวก็ไม่อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามถอยไปได้มากกว่านี้ และยังมีเหตุผลบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ พวกเราแต่ละนิกายได้หารือกันแล้ว ซึ่งก็ได้แต่รับข้อเสนอของเผ่าเจ้าสมุทรไปก่อน” อาจารย์อาเยี่ยนขมวดคิ้วกล่าว
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่ามนุษย์เรามีกำลังไม่เพียงพอ แต่เรื่องราชวงศ์เจ้าสมุทรคืออะไรกัน คิดไม่ถึงว่าจะส่งผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนออกมาได้ง่ายดายเช่นนี้! แม้ว่าศิษย์จะเคยได้ยินชื่อเสียงของเผ่านี้มาบ้าง แต่ก็ยังไม่รู้ไม่ชัดเจนมากนัก” หลิ่วหมิงถอนหายใจ และถามด้วยความสงสัย
……………………………………….