ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 288 นักรบยันต์เกราะทองคำ
“แม้ศิษย์หลานประมุขจะพูดมีเหตุผล แต่เคยคิดไหมว่าสหายหยวนมัวเป็นคนระดับใด ในเมื่อเขาให้ข้อเสนอนี้มา ทำไมจะไม่มีทางหนีทีไล่ล่ะ อีกอย่างก็เห็นได้ชัดว่า ก่อนหน้านั้นเขาพูดข้อเสนอเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น คงยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ยังไม่เปิดเผยออกมา” อาจารย์อาเยี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ความหมายของอาจารย์อาเยี่ยนคือ ผู้อาวุโสหยวนหมัวอาจมีสัญญาโลหิตระดับเหนือสุดยอด หรือมีสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายๆ กันอยู่ในมือ ซึ่งสามารถขจัดความกังวลของแต่ละนิกายได้!” พอประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เฮ่อๆ! คงจะเป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นคนระดับสหายหยวนหมัวจะเสนอเรื่องนี้ได้อย่างไร ถ้าถูกแต่ละนิกายปฏิเสธล่ะก็ คงเสียหน้าแย่ ส่วนความจริงในเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรนั้น เชื่อว่างานชุมนุมนิกายในอวิ๋นชวนคราวหน้าคงได้ทราบกัน” อาจารย์อาเยี่ยนกล่าวอย่างมีแผนในใจ
ประมุขนิกายปีศาจฟังแล้วก็พยักหน้าด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
พอหลิ่วหมิงเดินออกไปจากหอศิลา ก็มีท่าทีลังเลเล็กน้อย เขาไม่ได้กลับไปที่พักทันที แต่กลับทะยานฟ้าพุ่งไปยังกลุ่มสิ่งก่อสร้างบางแห่ง
ผ่านไปไม่นาน เขาก็ร่อนลงหน้าประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิท พอสะบัดแขนเสื้อ นิ้วมือนิ้วหนึ่งก็ดีดผ่านอากาศไปยังบานประตู ก่อให้เกิดเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอย่างชัดเจน
“หลิ่วหมิง ช่างเป็นเรื่องดีจริงๆ ที่เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย แต่สองวันนี้ข้าไม่อยากพบใครทั้งสิ้น เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ!” หลังจากเงียบไปนาน ก็มีเสียงนิ่งสงบของนักพรตแซ่จงดังจากออกมา
“ทราบ! อาจารย์ ข้าก็เสียใจเรื่องอาจารย์อาจูเช่นกัน แต่ก็หวังว่าอาจารย์จะรักษาสุขภาพให้ดีๆ!”
พอได้ยินนักพรตแซ่จงกล่าวเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ไม่กล้าพูดคำปลอบใจใดๆ ออกมา เขาทำได้เพียงแค่กล่าวออกไปสองประโยค และพอเห็นว่าไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา ก็จากไปอย่างเงียบๆ
ผ่านไปซักพัก หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวในบ้านหินของตนเอง เขาถอนหายใจยาวๆ ออกมาแล้วนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะกลมๆ แววตาเขาเปล่งประกายครุ่นคิด และยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
แม้ตอนอยู่บนเกาะมฤตยู จะรู้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะอยู่รอด แต่ความรู้สึกอ่อนแอที่เขาถูกผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างลี่คุนตามฆ่าในหลายวันก่อน ทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจป็นอย่างมาก และประสบการณ์ที่เขาเกือบเสียชีวิตในเงื้อมมือของมนุษย์เกราะทองคำ ยิ่งทำให้เขาปรารถนาจะให้ตนเองแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
หลิ่วหมิงนั่งเงียบๆ อยู่ในห้องราวๆ หนึ่งชั่วยามกว่า จากนั้นถึงพลิกฝ่ามือนำกล่องหยกออกมา และเปิดฝาออก
ยันต์สีเหลืองค่อนข้างเก่า ปรากฏขึ้นตรงหน้าทันที
หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย เขาคีบยันต์ผืนนี้ออกมา และพลิกดูไปมาอย่างละเอียด
ตอนอยู่ในเทือกเขา หลิ่วหมิงได้ตรวจสอบยันต์ผืนนี้ไปรอบหนึ่งแล้ว แต่น่าเสียดายที่ต้องเร่งรีบเดินทาง จึงได้แต่มองผ่านๆ แต่ตอนนี้กลับมาถึงที่พักในเมืองยักษ์แล้ว ย่อมมีเวลาตรวจสอบมันอย่างละเอียด
ขอบยันต์ผืนนี้มีอักขระสีทองจางๆ ประทับอยู่จำนวนมาก ตรงกลางเป็นรูปคนสีทองเล็กๆ ดูราวกับมีชีวิต และดูคล้ายกับเงาร่างยักษ์ที่ปรากฏตรงหลังมนุษย์เกาะทองคำในวันนั้นมาก
พอเขาส่งพลังเวทย์เข้าไปด้านใน แสงสี ทองก็เปล่งประกายบนพื้นผิว กลิ่นไอป่าเถื่อนวังเวงแบบโบราณแผ่กระจายออกมา ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายที่ก่อตัวขึ้น
หลิ่วหมิงรีบเก็บพลังเวทย์ด้วยความตกใจ จากนั้นยันต์สีเหลืองก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
เขาจ้องมองยันต์ผืนนี้อยู่ซักพัก พอเห็นว่ามันไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ก็ค่อยๆ ปล่อยพลังเวทย์เข้าไปอีกครั้ง
ในขณะที่กลิ่นไอป่าเถื่อนวังเวงแผ่กระจายออกมาท่ามกลางแสงสีทอง รูปมนุษย์เล็กๆ สีทองก็ค่อยๆ เลือนลางขึ้นมา
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังคิดจะเพิ่มพลังเวทย์เข้าไปนั้น พลันรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงหันกลับไปมองทันที สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกตกใจมาก
สถานที่ห่างจากเขาไปไม่กี่ฉื่อ มีเงาร่างสวมเกราะนักรบสีทองปรากฏออกมา
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงที่คิดว่ามันเป็นมนุษย์เกราะทองคำผู้นั้น เกือบจะควักกระบี่สั้นสีทองฟันออกไป แต่พริบตาเดียวก็รู้สึกว่าเงาร่างสีทองกับมนุษย์เกราะทองคำนั้นแตกต่างกัน
มนุษย์เกราะทองคำผู้นั้นมีร่างกายกำยำไม่ต่างจากมนุษย์เลย และใบหน้าก็คล้ายกับลี่คุนมาก
แต่เงาร่างของมนุษย์เกราะทองคำตรงหน้าพร่ามัวมาก เป็นเพียงเงาร่างจางๆ เท่านั้น แต่กลับมีใบหน้าคล้ายคลึงกับเขาเจ็ดถึงแปดส่วน
ถึงเวลานี้แล้ว หลิ่วหมิงย่อมรู้ว่าเงาร่างสีทองผู้นี้ กลายร่างมาจากยันต์ในมือนั่นเอง เขาระงับความรู้สึกประหลาดใจไว้ และส่งพลังเวทย์เขาไปในยันต์ต่อ
เงาร่างพร่ามัวสีทองค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา และพอมีเสียงดัง “ฟู่!” ยันต์บนมือก็กลายเป็นจุดแสงสีทองก่อนสลายไป
ขณะเดียวกัน เงาร่างมนุษย์สีทองก็เหมือนกับมนุษย์โดยสมบูรณ์ แต่เสื้อเกราะบนตัวเปล่งแสงสีทองอร่าม และรูปร่างหน้าตาก็เหมือนกับหลิ่วหมิงไม่มีผิด
กล้ามเนื้อบนใบหน้าหลิ่วหมิงกระตุกทีหนึ่ง จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เดินวนดูมนุษย์เกราะทองคำสองรอบ และพูดกับตนเองด้วยตาที่เป็นประกาย
“ได้ยินมานานแล้วว่า ผู้มีพลังที่แท้จริงสามารถถอนถั่วให้เป็นนักรบ เขียนยันต์ให้เป็นจริงได้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องจริง คงจะเป็นยันต์นักรบที่เล่าลือสินะ! แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า ยันต์นักรบสามารถมีสติปัญญาของตนเองได้”
พอเขากล่าวถึงจุดนี้ เขาก็ใช้พลังจิตสำรวจนักรบเกราะทองคำตรงหน้าหนึ่งรอบ ซึ่งมันมีกลิ่นไอแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นเท่านั้น ดวงตาทั้งคู่ซึมกระทือ ใบหน้าไร้ความรู้สึก ซึ่งไม่อาจเทียบได้กับมนุษย์เกราะทองคำที่มีสติปัญญาในก่อนหน้านั้น
“หรือว่าวิธีการกระตุ้นยันต์ไม่ถูกต้อง?”
เขาได้แต่คิดเช่นนี้แล้ว
เขาย่อมไม่รู้ว่า สิ่งของตรงหน้าไม่ใช่ยันต์นักรบทั่วไปที่เขารู้จัก แต่เป็นยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองที่มีอยู่น้อยมากบนโลกใบนี้
ดูจากภายนอก ทั้งสองมีลักษณะคล้ายกันมาก แต่ในความเป็นจริงกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว!
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ และยื่นมือลูบเสื้อเกราะบนตัวนักรบยันต์เกราะทองคำตรงหน้าสองที ความรู้สึกร้อนถูกส่งออกมา เห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากเสื้อเกราะทั่วไปที่ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก
เวลาต่อมา เขาใช้วิธีการต่างๆ ทดสอบนักรบยันต์เกราะทองคำตรงหน้า ในที่สุดก็แน่ใจว่ามันไม่มีสติปัญญาใดๆ เป็นแค่ร่างเปล่าๆ เท่านั้น ซึ่งร่างของนักรบยันต์นี้ ดูเหมือนกับหลุมที่ถมไม่เต็ม คิดไม่ถึงว่ารับพลังเวทย์ไปนานขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าจะเต็มเลยแม้แต่น้อย และตามปริมาณพลังเวทย์ที่เพิ่มมากขึ้น ระดับการฝึกฝนของมันก็ค่อยๆ ยกระดับจากศิษย์จิตวิญญาณขั้นต้นไปสู่ขั้นกลาง
ตอนนี้เขาส่งพลังเวทย์หนึ่งในสี่เข้าร่างนักรบยันต์เกราะทองคำแล้ว
หากเขาส่งพลังเวทย์ทั้งหมดเข้าไปในนั้น คงจะทำให้นักรบยันต์นี้ มีระดับการฝึกฝนถึงศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายอย่างไม่มีปัญหา แม้กระทั่งหากให้มันเผาไหม้พลังเวทย์ล่ะก็ อาจจะสามารถปล่อยการโจมตีของผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นออกไปได้สองครั้ง
ทั้งหมดนี้ก็พอๆ กับการโจมตีของมนุษย์เกราะทองคำที่เกือบฆ่าเขาได้สำเร็จบนเทือกเขานั้น
หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ถอยไปสองก้าว
เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว เพื่อปล่อยพลังจิตออกจากทะเลจิตรับรู้ในทันที และแทรกเข้าไปในศีรษะของนักรบยันต์ตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
……
“ตู๊ม!”
นักรบยันต์เกราะทองคำทุบกำปั้นลงพื้นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นแสงสีทองก็เปล่งประกายออกมา หลุมขนาดลึกฉื่อกว่าๆ ปรากฏตัวขึ้น แต่พอคลื่นสั่นสะเทือนที่ม้วนตัวออกจากหลุมสัมผัสโดนผนังทั้งสี่ แสงชั้นจำกัดก็ค่อยๆ สั่นสะท้าน จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีกเลย
“ที่แท้ก็สามารถใช้วิธีการควบคุมหุ่นควบคุมยันต์นักรบนี้ได้ แต่คงมีวิชาที่ใช้ในการควบคุมโดยเฉพาะ มิเช่นนั้นยันต์นักรบนี้คงไม่มีชื่อเสียงขนาดนี้ กลับไปจะต้องหาข้อมูลให้ดีๆ เพื่อดูว่ามีอธิบายอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง” หลิ่วหมิงมองดูการโจมตีของนักรบยันต์เกราะทองคำอยู่ข้างๆ และกล่าวออกมาราวกับคิดอะไรอยู่
“ป๊าบ!”
หลิ่วหมิงตบไหล่นักรบยันต์เกราะทองคำจากนั้นไอดำจางๆ ก็ม้วนตัวออกจากมือ และดูดพลังเวทย์บริสุทธิ์กลับมาจนหมด
พออักขระสีทองปรากฏขึ้นบนผิวยันต์ มันก็ระเบิดออกมาเป็นกลุ่มแสงสีทองในพริบตา
พอแสงทั้งหมดดับไปแล้ว ยันต์สีเหลืองเก่าๆ ผืนนั้นก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง
เขาสะบัดแขนเสื้อ หยิบกล่องหยกออกมาเก็บยันต์อย่างระมัดระวัง และแปะยันต์ชั้นจำกัดลงบนกล่องหลายผืน
หลังจากที่หลิ่วหมิงเห็นความร้ายกาจอย่างน่ามหัศจรรย์ของมนุษย์เกราะทองคำ เขาย่อมไม่กล้าดูเบาของสิ่งนี้อย่างแน่นอน
พอหลิ่วหมิงทำทุกอย่างนี้เสร็จ ก็นั่งลงบนเบาะอีกครั้ง และยกสองมือขึ้นมาสังเกตอย่างละเอียด
พอแสงจางๆ เปล่งประกายบนมือข้างหนึ่ง เกล็ดสีแดงขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ และขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มีขนาดใหญ่สองชุ่น
หลิ่วหมิงจ้องมองเกล็ดสีแดงบนมือด้วยสีหน้าอึมครึม
เขาสวมเกราะหนังเกล็ดมังกรแบบง่ายๆ ตัวนั้นมานาน ย่อมจำได้ว่าสิ่งที่ปรากฏบนมือคือเกล็ดมังกรแดงนั่นเอง
ตอนที่หลิ่วหมิงฟื้นตัวขึ้นมาในเทือกเขา ก็ได้ตรวจสอบดูสิ่งของที่อยู่ในหอยสังข์ย่อส่วน นอกจากจะค้นพบว่าดินปราณทองคำบริสุทธิ์กับทองคำหลอมเหลวถูกใช้ไปแล้ว ย่อมค้นพบว่าเปลือกมังกรแดงชิ้นนั้นก็หายไปด้วย
เทียบกับของทั้งสองอย่างแล้ว เปลือกมังกรแดงมีมูลค่ามาก ซึ่งยากที่ทั้งสองจะมาเปรียบเทียบได้
แต่พอเขาตรวจสอบเกราะหนังมังกรแดงที่ปรากฏอยู่บนตัว ก็ค้นพบว่ามันถูกสร้างมากจากหนังมังกรนั่นเอง แต่ก็ยังหาร่องรอยของเกล็ดมังกรเหล่านั้นไม่พบ
พอหลิ่วหมิงค้นพบว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาเป็นอย่างมาก ก็อดที่จะเชื่อมโยงกับเกล็ดที่หายไปไม่ได้
แต่ระหว่างทางที่เขานั่งเรือกลเหาะกลับมา เขาได้กระตุ้นเคล็ดวิชาจนกระตุ้นโดนผิวหนังบนฝ่ามือ จึงทำให้เกล็ดมังกรแดงแผ่นนี้โผล่ออกมา
ก่อนหน้าที่หลิ่วหมิงตรวจดูภายในร่าง เขากลับไม่พบร่องรอยของเกล็ดมังกรเลยแม้แต่น้อย
ดีที่ว่าภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีพลังเวทย์คอยกระตุ้น เกล็ดแผ่นนี้จะหายเข้าไปในผิวหนังอย่างไร้ร่องรอย
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าตอนนั้นหลิ่วหมิงจะรู้สึกตื่นตระหนกตกใจ แต่ในระหว่างทางที่รีบกลับไปเมืองยักษ์ ก็ทำได้แต่เก็บมันไว้ก่อนเท่านั้น
ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ เขาสามารถใช้วิธีการต่างๆ ในการกระตุ้นผิวหนังตรงนั้นแล้ว
เวลาต่อมา มือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงยังคงวางอยู่ตรงหน้า ส่วนอีกข้างกลับใช้นิ้วทั้งห้าทำท่ามืออย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นไอดำก็พวยพุ่งออกมา และค่อยๆ หมุนวนรอบตัวเขาอยู่ไม่หยุด
……………………………………….