ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 292 วิชาดึงวิญญาณ
“อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ ลี้ลับมหัศจรรย์ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? โอกาสสำเร็จเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย แต่เรื่องเกี่ยวกับแผ่นเก้าวัฏจักรจิตวิญญาณนี้ อาเยี่ยนรับรู้ด้วยหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามด้วยตาที่เป็นประกาย
“สหายเยี่ยนย่อมรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะยอมให้ศิษย์แกนนำอย่างพวกเจ้ามาเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร แน่นอนว่าหากเจ้ารับปากเรื่องนี้ พวกเรานิกายจันทราสวรรค์ย่อมตอบแทนให้อย่างสมใจ จะไม่ให้ศิษย์หลานหลิ่วเสี่ยงอันตรายอย่างเปล่าประโยชน์ ส่วนเงื่อนไขที่เป็นรูปธรรมนั้น ให้เจ้าเสนอกับนิกายเราได้เลย ศิษย์หลานหลิ่ว เจ้าคิดให้ละเอียดก่อนแล้วค่อยตอบข้า” เย่เทียนกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ข้าสามารถเสนอเองได้?” หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้ ก็รู้สึกใจเต้นอย่างอดไม่ได้
อย่างที่รู้ว่า เรื่องที่เขากังวลที่สุดในตอนนี้คือการถูกยึดร่าง ด้วยกำลังของนิกายจันทราสวรรค์ ถึงแม้อาจจะไม่มีอาวุธจิตวิญญาณที่เกี่ยวข้อง แต่ยันต์ที่ใช้ในการป้องกันคงหาได้ไม่ยาก
พอเห็นหลิ่วหมิงทำท่าครุ่นคิดและไม่พูดอะไรออกมา เย่เทียนเหมยก็กล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“ข้ารู้ว่าวิชากระบี่ของเจ้าในตอนนี้ นับว่าเข้าสู่ขั้นต้นแล้ว แต่วิชากระบี่ขั้นสูงไม่ได้มีขายตามตลาด ถ้าเจ้าช่วยจางซิ่วเหนียงฟื้นมาได้ล่ะก็ ข้าสามารถถ่ายทอดเคล็ดวิชากระบี่ขั้นสูงที่ไม่ใช่ของนิกายเราให้ได้ แม้มันไม่อาจเทียบได้กับเคล็ดวิชากระบี่ของนิกายเรา แต่ก็ทำให้เจ้ามีโอกาสเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริงได้”
“เคล็ดวิชากระบี่ขั้นสูง! ขอบคุณความเมตตาของผู้อาวุโส ต่อไปข้าน้อยต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง เพื่อเตรียมฝึกฝนวิชาเฉพาะของนิกาย วิชากระบี่บินต้องเก็บไว้ก่อน” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ เคล็ดวิชาระดับเหนือสุดยอดอย่างเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งก็ผุดขึ้นในสมอง จากนั้นก็ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล
“อันนี้ก็แล้วแต่เจ้า แต่ดูจากสภาพของเจ้า คงจะมีสิ่งของที่อยากได้แล้วสินะ” เย่เทียนเหมยไม่แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาเลย
“ผู้อาวุโสเย่มีสายตาเฉียบแหลมมาก ข้าน้อยต้องการของบางอย่างจริงๆ แต่ไม่ทราบว่านิกายของท่านมีหรือไม่?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“อืม! ลองพูดมาคร่าวๆ ก่อน ต่อให้นิกายเราจะไม่มี ข้าก็รับปากจะหาให้เจ้า” เย่เทียนเหมยแสดงสีหน้าสนใจออกมาเป็นครั้งแรก
“ในเมื่อผู้อาวุโสกล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าน้อยก็จะพูดตามตรง” หลิ่วหมิงถอนหายใจ และแสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
……
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เมื่ออาจารย์อาเยี่ยน เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ และหยวนหมัวได้รับการบอกล่าวให้กลับเข้าห้องโถงใหญ่นั้น หลิ่วหมิงยังคงยืนอยู่หน้าเย่เทียนเหมยอย่างนอบน้อม
“อะไรนะ! ท่านเซียนเย่พูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว!” อาจารย์อาเยี่ยนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รีบเอ่ยปากถามเป็นคนแรก
เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ ก็แสดงสีหน้าสนใจออกมา
“พี่เยี่ยนวางใจเถอะ! ข้าจะรังแกผู้น้อยได้อย่างไร ศิษย์หลานหลิ่วรับปากจะช่วยแล้ว และข้าก็รับปากจะตอบแทนให้เขาอย่างพอใจ” เย่เทียนเหมยปราดสายตามองอาจารย์อาเยี่ยนทีหนึ่ง และกล่าวออกมา
“ศิษย์หลานหลิ่ว มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ?” อาจารย์อาเยี่ยนมาถามหลิ่วหมิงอย่างไม่เกรงใจ
“ขอบคุณอาจารย์อาที่เป็นห่วง ผู้อาวุโสเย่ได้รับปากในสิ่งที่ศิษย์อยากได้มากที่สุดแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม
“ได้!” อาจารย์อาเยี่ยนพยักหน้า และรู้สึกวางใจขึ้นมาจริงๆ
“ดีมาก! ศิษย์น้องเย่ลำบากเจ้าแล้ว” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่แสดงสีหน้าดีใจออกมาอย่างอดไม่ได้
“ในเมื่อสหายทุกท่านพูดคุยกับศิษย์หลานหลิ่วเรียบร้อยแล้ว อย่าได้ชักช้าอยู่เลย รีบวางค่ายกลที่เกี่ยวข้องเถอะ สถานการณ์ของศิษย์หลานจางในตอนนี้ ยิ่งยืดเวลานานออกไปก็จะยิ่งเลวร้ายมากขึ้น นอกจากนี้ สหายเยี่ยน ท่านบอกเรื่องที่จำเป็นต้องระมัดระวังให้กับศิษย์หลานหลิ่วด้วย ท่านเซียนเย่ ตอนนี้ท่านไปยืมแผ่นเก้าวัฏจักรจิตวิญญาณที่นิกายหมื่นมหัศจรรย์มาเถอะ!” หยวนหมัวเห็นเช่นนี้ ก็สั่งอย่างไม่เกรงใจ
เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลอันดับหนึ่งในอวิ๋นชวน ทุกคนย่อมตอบรับอย่างไม่ลังเล
ครึ่งวันต่อมา ค่ายกลสีทองขนาดใหญ่หมู่กว่าๆ ก็ถูกตั้งวางอยู่ในห้องโถงใหญ่
ไม่เพียงแต่มีผลึกหินหลากสีเกือบร้อยก้อน เลี่ยมฝังอยู่ในรอยเว้าตรงขอบค่ายกลเท่านั้น ใจกลางค่ายกลยังมีแท่นหยกที่สูงจั้งกว่าๆ สองแท่น
บนแท่นหยกแท่นหนึ่ง มีหญิงสาวสวยงาม ใบหน้าซีดขาว คิ้วเรียวยาว ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิทนอนอยู่
นางคือจางซิ่วเหนียงนั่นเอง
บนแท่นหยกอีกแท่นกลับว่างเปล่า แต่มีแสงทรงกรดเจ็ดสีเปล่งประกายอยู่ด้านบน แผ่นกลมๆ สีขาวขนาดเท่าฝ่ามือลอยอยู่ในนั้น
หยวนหมัวและคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ตรงขอบค่ายกล และมีหญิงชุดม่วงแห่งนิกายหมื่นมหัศจรรย์ที่เรียกกันว่า ‘ท่านเซียนสือ’ อยู่ในนั้นด้วย
นางสังเกตเห็นดูค่ายกลสีทองในห้องโถงด้วยรอยยิ้ม ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
หลิ่วหมิงยืนอยู่ไกลออกไปอีกหน่อย บนตัวมียันต์สิบกว่าแผ่นแปะอยู่ และอักขระสีเงินจางๆ จำนวนมากที่ดูซับซ้อนปรากฏอยู่บนชุดคลุมยาว ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย
“ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงพอดี ได้เวลาพอประมาณแล้ว ศิษย์หลานหลิ่วเข้าค่ายกลได้แล้ว” หยวนหมัวกำลังถือแหวนอยู่ในมือ หลังจากเงยหน้ามองออกไปนอกประตูวิหารแล้ว ก็หรี่ตาแล้วกล่าวออกมา
“ทราบ! ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
พอได้ยินเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ถอนหายใจแล้วค่อยๆ เดินเข้าไป ไม่นานก็นอนลงบนแท่นหยกอีกแท่นที่อยู่ห่างจากจางซิ่วเหนียงไม่ค่อยไกลมากนัก
เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ อาจารย์เยี่ยน และคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมโดยไม่รู้ตัว
“ศิษย์หลานหลิ่วฟังให้ดี เวลาในโลกมายาที่แมลงหลงฝันสร้างขึ้น แตกต่างกับเวลาที่แท้จริงเป็นอย่างมาก บางทีเจ้าอาจจะอยู่ในโลกมายานานหนึ่งปี แต่สำหรับพวกข้าที่อยู่ที่นี่เป็นเวลาแค่ชั่วครู่เท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าไม่อาจพาจิตกว่าครึ่งหนึ่งออกจากร่างนานเกินไป ดังนั้นมีเวลามากสุดแค่ครึ่งวันในการเรียกศิษย์หลานจางให้ฟื้นขึ้นมา ถ้าภายในระยะเวลาหนึ่งชั่วยาม พวกเจ้าทั้งสองยังไม่สามารถฟื้นขึ้นมาเองล่ะก็ พวกข้าจะกระตุ้นแผ่นเก้าวัฏจักรจิตวิญญาณ บีบให้พวกเจ้าทั้งสองกลับไปเกิดใหม่ในโลกมายา จากนั้นทุกอย่างล้วนต้องพึ่งตัวพวกเจ้าเองแล้ว” หยวนหมัวค่อยๆ กล่าวออกมา น้ำเสียงดูเหมือนจะไม่ค่อยดังมาก แต่กลับดังก้องอยู่ในหูหลิ่วหมิงไม่หยุด มีพลังบางอย่างที่บอกไม่ถูกแฝงอยู่ในนั้น ทำให้เขาจดจำได้อย่างชัดเจนภายในพริบตาเดียว
หลิ่วหมิงพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็วางมือทั้งสองไว้บนเข่า และหลับตาทั้งคู่ลง ขณะเดียวกัน ยันต์บนตัวกับอักขระหลากสีก็เปล่งลำแสงต่างๆ ออกมา และก่อตัวเป็นม่านแสงแต่ละชั้นห่อหุ้มร่างของเขาไว้อย่างสมบูรณ์
“เฮ่อๆ! คิดไม่ถึงว่า ข้าจะมีวันที่แสดงวิชาดึงวิญญาณอีกครั้ง” หยวนหมัวเห็นเช่นนี้ กลับหัวเราะออกมา จากนั้นก็ประกบมือทั้งสอง และแยกออกจากกันทันที
ทันใดนั้น มุกสีเขียวในมือก็ปรากฎออกมา มันปล่อยพลังสีเขียวเข้าไปในนั้นท่ามกลางลำแสงที่เปล่งประกาย
ครู่ต่อมา ค่ายกลทั้งหลังก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ ผลึกหินรอบขอบค่ายกลเปล่งประกายขึ้นมา อักขระสีทองจำนวนมากพุ่งขึ้นมาจากพื้น และทะลักเข้าใส่ร่างของหลิ่วหมิงกับจางซิ่วเหนียงอย่างต่อเนื่อง
“ตู๊ม!” เงาสะพานโค้งสีทองที่งดงามเป็นอย่างมาก ปรากฏขึ้นตรงพื้นที่ระหว่างหลิ่วหมิงกับจางซิ่วเหนียง และปลายสะพานทั้งสองด้านจมลงในศีรษะของทั้งสอง
……
หลิ่วหมิงรู้สึกหนักศีรษะ ร่างกายเบาหวิว พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็มาปรากฏตัวบนยอดเขาเขียวขจีแห่งหนึ่ง
“นี่คือโลกมายาที่แมลงหลงฝันสร้างขึ้นมา!”
หลิ่วหมิงยกแขนทั้งสองขึ้นมามอง และสังเกตดูรอบด้านด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เขาเห็นเพียงดวงอาทิตย์เจิดจ้าสีขาวที่ลอยอยู่บนฟ้า ส่วนสถานที่อื่นๆ ล้วนเป็นท้องฟ้าสีครามเข้มทอดยาวไปหมื่นลี้ บนยอดเขามีต้นสนขนาดแตกต่างกันสิบกว่าต้น และมีหินภูเขาสีดำขนาดแตกต่างกันสองสามก้อน และยังรับรู้ได้ถึงลมที่พัดมาปะทะใบหน้า ขณะเดียวกันก็ได้กลิ่นต้นไม้ใบหน้าอยู่จางๆ
นอกจากมียันต์กับอักขระเหล่านั้นอยู่บนตัวเขาแล้ว เสื้อผ้าของเขาก็เหมือนกับตอนมาไม่มีผิด
แต่ตอนนี้ร่างของเขาหนักมาก ลมหายใจถี่ จิตไม่อาจออกจากร่างได้ ประจักษ์ชัดว่าโลกมายานี้ เขามีเพียงร่างกายธรรมดาเท่านั้น ไม่มีพลังเวทย์ในร่างเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว และขยับแข้งขา พอรับรู้ได้ว่าตนเองยังพอมีพลังอยู่บ้าง ก็เดินเขาไปยังต้นไม้เล็กๆ ที่อยู่บริเวณนั้นทันที
พอมีเสียงคำรามต่ำออกมา นิ้วทั้งห้าก็กำแน่น และโจมตีออกไปด้านหน้าทันที
“ตุ๊บ!” ต้นไม้ตรงหน้าสั่นไหวไปมา และมีรอยกำปั้นจางๆ ปรากฏอยู่บนนั้น
“พอได้! แม้ว่าจะไม่มีพลังเวทย์ แต่ความแข็งแกร่งยังอยู่ในระดับเดียวกันกับก่อนที่จะเป็นผู้ฝึกฝน แต่ไม่รู้ว่าเคล็ดวิชามนุษย์ธรรมดาที่เคยฝึกฝน จะสามารถใช้ในสถานที่แห่งนี้ได้หรือไม่” หลิ่วหมิงมองดูกำปั้นที่แดงเล็กน้อย และสูดหายใจลึกๆ ในทันที
ทันใดนั้นก็มีเสียงราวกับประทัด ดังขึ้นในร่างของเขา แขนทั้งสองขยายใหญ่ขึ้นหนึ่งเท่า
“ดูท่าเพียงแค่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังเวทย์ สิ่งอื่นๆ ล้วนไม่แตกต่างจากโลกภายนอก จุ๊ๆ! ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่า โลกมายาเช่นนี้จะถูกสร้างขึ้นจากแมลงพิษตัวหนึ่งเท่านั้น มิน่าเจ้าแมลงหลงฝันนี้ถึงจัดอยู่ในห้าแมลงพิษที่ชั่วร้ายที่สุด ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจจริงๆ” หลิ่วหมิงจ้องมองสรรพสิ่งที่อยู่รอบด้านแล้วพูดพึมพำออกมา พอเขาสะบัดแขน มันก็กลับมามีขนาดเท่าเดิม
จากนั้น เขาก้าวเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงขอบยอดเขา และมองลงไปด้านล่าง
ตรงเชิงเขามีหมู่บ้านเล็กๆ อยู่แห่งหนึ่ง มีควันสีดำหมุนวนเป็นเกลียวออกมา ประจักษ์ชัดว่ามีคนอาศัยอยู่ในนั้น
สถานที่อื่นๆ เป็นยอดเขาสีดำทอดยาวติดต่อกันจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
“ตามที่อาจารย์อาบอกไว้ ตอนที่ส่งเข้ามาได้อาศัยกลิ่นไอแฝงส่วนหนึ่งของจางซิ่วเหนียง ทำให้เขามาอยู่ห่างจากนางไม่ค่อยไกลมากนัก สถานที่เปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ หรือว่านางจะอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้จริงๆ ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ มันช่วยลดความยุ่งยากลงไปมากเลยทีเดียว” หลิ่วหมิงพูดกับตนเองด้วยตาที่เป็นประกาย
จากนั้นเขาก็ก้าวยาวๆ ไปตามทางเส้นเล็กๆ เพื่อลงไปยังเชิงเขา
แม้หลิ่วหมิงจะไม่มีพลังอยู่ในร่าง แต่ฝีเท้ายังคงรวดเร็วประดุจบินได้ ภายในเวลาครึ่งเค่อ ก็มาถึงบริเวณหมู่บ้านตรงเชิงเขาแล้ว
เขาไม่ได้บุกเขาไปในหมู่บ้านทันที แต่กลับกระโดดขึ้นบนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บริเวณนั้น จากนั้นก็อาศัยกิ่งใบของต้นไม้อำพรางตัวไว้ และสังเกตดูอย่างเงียบๆ
เห็นได้ชัดว่าหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ค่อยใหญ่มากนัก ดูจากจำนวนบ้านแต่ละหลัง คงมีคนอาศัยอยู่แค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น
ข้างหมู่บ้าน มีที่ดินเพาะปลูกขนาดใหญ่ไม่กี่หมู่ ในนั้นมีธัญพืชสีเขียวปลูกอยู่เต็มไปหมด มีชาวเกษตรหลายคนกำลังเร่งมือทำงานอะไรบางอย่างอยู่
……………………………………….