ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 293 จางยากับหลิ่วหมิง
บ้านที่อยู่ในหมู่บ้านทั้งหมด สร้างจากดินเหนียวและท่อนไม้ มีสตรี เด็ก และคนชรากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งมองไม่เห็นชายฉกรรจ์เลย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าออกมาราวกับคิดอะไรอยู่ และยังไม่ลงจากต้นไม้
จนเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งวัน จนกระทั่งท้องฟ้าใกล้จะมืด ถึงมีชาวบ้านอกผายไหล่ผึ่งออกมาจากป่าเขาอีกด้านของหมู่บ้าน แต่ละคนถือง่าม และแบกธนู บนตัวมีสัตว์เล็กอย่างๆ อย่างกระต่าย และนกห้อยอยู่ พวกเขาเดินพูดคุยกันระหว่างที่เดินมาทางหมู่บ้าน
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ สตรี เด็ก และคนชราในหมู่บ้าน ต่างก็กรูกันออกมารับญาติของตนเอง ทุกคนยิ้มด้วยความเบิกบานใจ
สีหน้าหลิ่วเปลี่ยนไปทันที สายตาเขาจ้องมองหญิงสาวสวมชุดที่มีรอยปะซ่อม ใบหน้างดงาม อายุไม่เกินสิบสี่สิบห้าปี
หญิงสาวกำลังดึงชายฉกรรจ์อายุราวๆ สามสิบเจ็ดสามสิบแปดปี พร้อมพูดเจื้อยแจ้วอยู่ไม่หยุด และฉุดดึงสัตว์ที่อยู่ตรงหลังของชายฉกรรจ์อยู่ตลอด ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข หญิงสาวคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้น ก็มีสีหน้าไม่แตกต่างกัน
แต่ในสายตาหลิ่วหมิง นอกจากหญิงผู้นี้จะอายุน้อยไปหน่อย ผิวหนังดำคล้ำเล็กน้อยแล้ว ใบหน้าก็เหมือนกับจางซิ่วเหนียงอย่างน้อยแปดถึงเก้าส่วน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมั่นใจว่านางคือจางซิ่วเหนียงที่หลงอยู่ในโลกมายาแห่งนี้
หลิ่วหมิงนั่งนิ่งอยู่บนต้นไม้ เขาจ้องมองนางเดินตามชายฉกรรจ์กับหญิงวัยกลางคนเดินเข้าไปในหมู่บ้าน และเข้าไปในบ้านดินหลังหนึ่งที่อยู่ใจกลางหมู่บ้าน
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ดูจากสภาพของจางซิ่วเหนียงในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่ามีสภาพเลวร้ายกว่าที่ทุกคนคิดไว้มาก นางจมดิ่งอยู่ในโลกมายาจนอยากจะถอนตัว
ถ้าคิดที่จะเรียกนางให้ฟื้นคืนมา จะต้องเป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง
ตามที่หยวนหมัว อาจารย์อาเยี่ยน และคนอื่นๆ กล่าวไว้ วิธีการธรรมดาไม่เรียกจางซิ่วเหนียงให้ฟื้นได้ จะต้องใช้หลากหลายวิธีถึงพอจะมีโอกาสบ้าง
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ ตาของเขาเป็นประกาย
คงต้องวางแผนใกล้ชิดกับนางซักระยะเวลาหนึ่งก่อน จากนั้นค่อยดูว่าใช้วิธีการไหนเรียกนางถึงจะได้ผล
เขากระโดดลงจากต้นไม้ในทันที หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็จมหายเข้าไปในป่าบริเวณนั้น
เช้าวันที่สองชายหนุ่มใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย สวมชุดคลุมค่อนข้างเก่า ก็ปรากฏตัวตรงทางเข้าหมู่บ้าน
พอชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านเห็นคนแปลกหน้า ก็ขัดขวางเอาไว้ และนำไปสอบถามต่อหน้าผู้อาวุโสของหมู่บ้าน
ชายหนุ่มที่ดูเหมือนอายุสิบเจ็ดสิบแปดผู้นี้ บอกว่าตนเองสูญเสียความทรงจำ จำไม่ได้ว่าตนเองมีชื่อและที่มาที่ไปอย่างไร และไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงมาปรากฏตัว ณ สถานที่แห่งนี้
คำตอบเช่นนี้ คนในหมู่บ้านย่อมไม่เชื่ออย่างแน่นอน และเรียกหมอที่มีเพียงหนึ่งเดียวในหมู่บ้านมาตรวจสอบ
หมออายุห้าสิบกว่าปีผู้นี้ ค้นพบก้อนนูนสีม่วงคล้ำตรงท้ายทอยอย่างง่ายดาย ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าศีรษะของชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บสาหัส มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะสูญเสียความทรงจำจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ ผู้อาวุโสในหมู่บ้านจึงเกิดอาการงงงันเล็กน้อย และหลังจากสังเกตดูอีกรอบ ก็ได้แต่พาหลิ่วหมิงไปอยู่ในบ้านดินร้างแห่งหนึ่งชั่วคราว เพื่อรอการตัดสิน
ดีที่ว่าชายหนุ่มผู้นี้ นอกจากบาดเจ็บตรงศีรษะแล้ว แขนขาทั้งสี่แข็งแรงสมบูรณ์ คงจะสามารถดูแลตนเองได้ และไม่สร้างภาระให้คนในหมู่บ้านมากนัก
ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มไร้นามผู้นี้จึงได้พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชั่วคราว และตอนกลางวันก็ออกไปล่าสัตว์กับชายฉกรรจ์ในหมู่บ้าน
ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน คนในหมู่บ้านก็รู้สึกตกตะลึงเมื่อค้นพบว่า ชายหนุ่มไร้นามผู้นี้เป็นนักล่าสัตว์มือฉมังคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่มีพลังมหัศจรรย์ ธนูล่าสัตว์ที่ทำขึ้นมาเองก็แม่นยำเป็นอย่างมาก ภายในระยะเวลาหลายวันนี้ ล้วนได้ของกลับบ้านเต็มมือ ของที่ล่ามาได้แม้แต่คนที่ล่าสัตว์เก่งที่สุดในหมู่บ้านก็ไม่อาจเทียบได้
และชายหนุ่มไร้นามผู้นี้เก็บสัตว์ที่ล่ามาได้แค่พอตนเองกิน ส่วนที่เหลือล้วนมอบให้คนในหมู่บ้านจนหมดสิ้น
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ต่อให้ชายหนุ่ม จะยังไม่ฟื้นคืนความจำ คนนั้นในหมู่บ้านก็อดเมตตากับเขาไม่ได้
ผ่านไปเดือนกว่าๆ คนทั้งหมู่บ้านก็ยอมรับชายหนุ่มผู้นี้โดยสมบูรณ์
……
จางยาเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของจางสยง ซึ่งก่อนหน้านั้นเป็นนักล่าสัตว์ที่เก่งที่สุดในหมู่บ้าน ได้ยินมาว่าในสมัยก่อนมารดาของนางก็เป็นหญิงสาวที่สวยที่สุดในหมู่บ้าน บิดาของนางใช้เวลาสามวันสามคืน ไปล่าหมูป่ายักษ์บนภูเขาที่หนักสามร้อยจินมาเป็นของหมั้น ถึงได้แต่งมารดาของนางเข้าบ้าน
จางสยงและภรรยาดูรักกันมาก ลูกสาวเพียงคนเดียวก็ยิ่งรักเข้าไปใหญ่
แต่จากการที่หญิงสาวค่อยๆ โตขึ้น ความงดงามก็เป็นที่ตื่นตะลึง ซึ่งงดงามกว่ามารดาของนางในสมัยก่อนถึงสามส่วน
ด้วยเหตุนี้ สองปีก่อนก็มีคนจำนวนมากส่งแม่สื่อมาคุยเรื่องการหมั้นหมายแล้ว รวมไปถึงตระกูลใหญ่ในเมืองบางแห่งที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ด้วย
แต่งจางสยงกับภรรยาไม่ยอมให้ลูกสาวสุดที่รักแต่งออกไปเร็วเช่นนี้ ดังนั้นจึงได้ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลมาโดยตลอด
เป็นเช่นนี้มาจวบจนสองปี พอจางยาอายุสิบห้าปี ถ้าไม่แต่งออกไปก็จะกลายเป็นสาวแก่ จางสยงกับภรรยาจึงไม่กล้ายืดเยื้อเรื่องงานแต่งของลูกสาวอีกต่อไป และได้ประกาศเรื่องแต่งงานของลูกสาว
แต่ผู้นำครอบครัวอย่างจางสยง กลับเสนอของหมั้นที่ไม่ด้อยไปกว่าหมูป่ายักษ์ที่เขาล่าได้ในปีนั้น ถึงจะยอมยกลูกสาวให้
แต่เงื่อนไขเพียงข้อเดียวนี้ ก็ทำให้ชายหนุ่มจำนวนมากที่เชื่อมั่นว่าตนเององอาจห้าวหาญ รู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา
ความร้ายกาจของหมูป่ายักษ์ ไหนเลยคนในหมู่บ้านจะไม่รู้จัก
ต่อให้เป็นนักล่าสัตว์ที่เก่งกาจที่สุด แต่พอเผชิญหน้ากับสัตว์ดุร้ายเช่นนี้ ในสถานการณ์ปกติ แค่จะหลบก็ไม่ทันแล้ว ใครจะกล้าไปยุแหย่มันเล่า
ด้วยความสามารถของจางสยง ในสมัยก่อน ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจากหมูป่ายักษ์มาไม่ใช่น้อย กว่าจะล่ามันมาได้
ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนหมูป่ายักษ์ก็มีไม่ค่อยมาก โดยปกติจะอยู่ในป่าลึกที่มีสัตว์ดุร้ายเป็นจำนวนมาก ซึ่งคนทั่วไปไม่กล้าเข้าไปในนั้น
ดังนั้นพอมีชายหนุ่มสองสามคนไปล่าหมูป่ายักษ์จนได้รับบาดเจ็บกลับมา ก็ยิ่งไม่มีคนกล้าไปลองอีก
ด้วยเหตุนี้ จางยาย่อมอยู่ในบ้านมาโดยตลอด และยังหาผู้แต่งงานที่เหมาะสมไม่ได้
พอเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ จางยากลับไม่ได้รู้สึกใส่ใจแต่อย่างใด เวลากลางวันในแต่ละวันก็ช่วยทำงานเกษตร กลางคืนก็ช่วยมารดาเย็บเสื้อผ้า
วันนี้ หลังจากที่จางสยงออกจากบ้านไปล่าสัตว์ในป่ากับคนอื่นๆ นางจางกลับค้นพบว่าอ่างน้ำในบ้านไม่มีน้ำ จึงเรียกลูกสาวไปตักที่บ่อกลางหมู่บ้าน
จางยาตอบรับอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็ถือถังไม้ออกไปจากบ้าน
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป นางก็ค่อยๆ หิ้วถังน้ำเดินมาตามทางหินเล็กๆ มุ่งหน้ากลับบ้าน
สำหรับนางแล้ว ถังน้ำใบนี้ค่อนข้างหนักไปหน่อย พอเดินไปได้ระยะหนึ่ง เหงื่อก็เริ่มผุดออกมา และรู้สึกหนักเท้ามากขึ้น
ทันใดนั้นนางก็ไถลลื่น ปลายเท้าเหยียบลงบนหินก้อนกลมๆ นางส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ จากนั้นร่างของนางกับถังไม้ก็เกือบจะล้มลงไปบนพื้น
แต่ขณะนั้นเอง นางก็รู้สึกร่างเบาหวิวขึ้นมา เงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น มือข้างหนึ่งคว้าถังน้ำ อีกข้างหนึ่งกอดรัดร่างของนางไว้ กลิ่นไอเข้มข้นของชายหนุ่มโชยออกมา มีเสียงคุ้นเคยดังขึ้นข้างหูของนาง
“แม่นางจาง เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ข้า……ข้าไม่เป็นไร! อา! ที่แท้ก็เป็นพี่หลิ่วนั่นเอง วันนี้ท่านไม่ออกไปล่าสัตว์หรือ?” แม้จางยาจะมีสีหน้าเขินอาย แต่ก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่า ชายหนุ่มตรงหน้าคือชายหนุ่มที่สูญเสียความทรงจำ และเข้ามาในหมู่บ้านปีนั้น
แต่หลังจากที่ชายหนุ่มไร้นามผู้นี้ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหลายเดือนก็ยังไม่ฟื้นความทรงจำกลับมา จึงได้ตั้งชื่อใหม่ให้ตนเองว่า ‘หลิ่วหมิง’ เขาบอกว่าต่อให้ภายหลังเขาไม่อาจรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้จริงๆ แต่ตนเองก็อยากจะมีชื่อบ้าง
และ ‘หลิ่วหมิง’ ผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
“วันนี้ไม่ได้ไป สัตว์ที่ข้าล่ามาหลายวันก่อนยังพอมีเหลืออยู่บ้าง จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขึ้นเขา” หลิ่วหมิงจ้องมองหญิงสาวหน้าแดงตรงหน้า และกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็คลายแขนทั้งสองออก
“นั่นน่ะสิ! ระดับฝีมืออย่างพี่หลิ่ว ไม่จำเป็นต้องขึ้นเขาทุกวัน ข้าได้ยินคนพูดว่า อาหญิงหลายคนในหมู่บ้าน เหมือนจะเป็นแม่สื่อให้ท่าน” หญิงสาววางถังน้ำลง หลังจากหายใจไปสองทีแล้ว ก็ชายตามองหลิ่วหมิงและกล่าวออกมา
สำหรับจางยาแล้ว ชายหนุ่มหนึ่งเดียวที่สามารถทำตามเงื่อนไขของจางสยงได้ และรูปร่างก็เข้าตา บิดามารดาย่อมพูดกับนางถึงความเป็นไปได้ของฝ่ายตรงข้ามที่จะแต่งเข้ามา
และจากการที่ตนเองได้สัมผัสกับชายหนุ่ม ก็รู้สึกใจเต้นอย่างอดไม่ได้
“เฮ่อๆ! ที่ข้าอยากแต่งย่อมมีแค่แม่นางเท่านั้น คนอื่นๆ ข้าไม่ชอบ” หลิ่วหมิงมองใบหน้าที่คุ้นเคยของหญิงสาว และกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“ชิ! ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับเจ้า” แก้มทั้งสองของหญิงสาวแดงขึ้นมา จากนั้นก็หิ้วถังน้ำแล้วเดินจากไป
หลิ่วหมิงเพียงแค่ยิ้มบางๆ จากนั้นก็ขยับตัวหลีกทางให้นาง
หญิงสาวหิ้วถังน้ำเดินผ่านไป
“แม่นางจาง ที่ครั้งก่อนเจ้าบอกว่าช่วงนี้มักฝันถึงกระบี่ยาวหิมะขาว ไม่ทราบว่าหลายวันนี้ยังฝันถึงหรือไม่?” พอหญิงสาวเดินไปได้สองสามก้าว หลิ่วหมิงก็พลันถามออกไป
“กระบี่ยาวหิมะขาว! อืม! สองวันก่อนข้ายังฝันถึงอยู่ แต่ช่วงนี้ไม่ฝันแล้ว ใช่สิ! พี่หลิ่ว เรื่องเทพเซียนที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง น่าสนใจมาก ครั้งหน้ามีโอกาส เล่าให้ข้าฟังเพิ่มอีกหน่อยดีไหม? ใช่สิ! ไม่ใช่ว่าท่านสูญเสียความทรงจำหรอกหรือ ทำไมถึงจำเรื่องเหล่านี้ได้?” หญิงสาวได้ยินเช่นนี้ ก็ตอบกลับไป แต่สักพักก็ถามออกมาด้วยความสนใจ
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด สมองข้าถึงจำเรื่องเหล่านี้ได้ ถ้าแม่นางจางชอบล่ะก็ ข้าจะเล่าให้ฟังอีก” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็เป็นประกายออกมา และตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ก็หิ้วถังน้ำจากไปอีกครั้ง
“ที่แท้ก็ไม่ได้ผล ครั้งนี้ต้องยุ่งยากหน่อยแล้ว” หลิ่วหมิงจ้องมองเงาร่างหญิงสาวที่จากไปพร้อมกับพูดพึมพำออกมา
ในระยะเวลาหนึ่งปีที่เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง เขาก็ได้ลองใช้ไปแล้วเจ็ดแปดวิธี เพื่อเรียกความทรงจำของนางที่ซ่อนอยู่ให้ฟื้นขึ้นมา แต่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ก็แค่ทำให้นางฝันถึงเรื่องราวบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกฝนเท่านั้น
ดูท่าวิธีการธรรมดาคงจะไม่ได้ผล เกรงว่าคงต้องใช้วิธีการรุนแรงสักหน่อยแล้ว
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ
……………………………………….