ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 296 คืนผมขาว
หลายสิบปีผ่านไป ชายป่าด้านหลังสิ่งก่อสร้างที่ค่อนข้างทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ผู้อาวุโสชุดดำยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนเนินดินด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ถึงมีเสียงฝีเท้าดังจากด้านหลัง
หญิงผมขาวเต็มศีรษะ สะพาจดาบสั้นและยาวสองเล่มค่อยๆ เดินเข้ามาบนเส้นทางเล็กๆ
“เจ้าโจรชั่ว! เจ้าช่างใจกล้าไม่เบา ที่บังอาจนัดข้ามาพบที่นี่!” หญิงผมขาวหยุดฝีเท้าลง นางจ้องมองผู้อาวุโสชุดดำแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ทำไมข้าจะไม่กล้านัดเจ้ามาล่ะ! หลายสิบปีมานี้ เจ้าตามฆ่าข้ามาเกือบร้อยครั้ง มีครั้งไหนที่ทำสำเร็จบ้าง! แต่ตอนนี้เจ้าดูสงบมากขึ้น ถ้าเป็นหลายสิบปีก่อนล่ะก็ คงพุ่งเข้าหาข้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้ว” ผู้อาวุโสชุดดำหันมากล่าวอย่างสงบ
“ฮึ! แม้ข้าอยากจะสับเจ้าเป็นหมื่นชิ้น แต่ก็นับถือที่เจ้าเอาชีวิตรอดมาได้ เจ้าวางใจเถอะ! ข้าจะเอาชีวิตเจ้าด้วยมือของข้าเองอย่างแน่นอน และควักหัวใจเจ้าออกมาเซ่นไหว้หน้าหลุมศพลูกชายข้า”
หญิงผมขาวย่อมเป็นจางยาที่อายุย่างเข้าหกสิบแล้ว แม้นางจะมีผมขาวเต็มศีรษะ แต่ใบหน้ากลับยังงดงามเหมือนตอนสาวๆ หลังจากนางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคียดแค้นแล้ว ก็จ้องมองไปยังผู้อาวุโสชุดดำบนเนินดิน
เนินดินนี้เป็นหลุมศพไร้ป้าย ที่นางฝังของใช้ลูกของนางในปีนั้น
แม้จะรู้สึกแปลกใจว่าทำไมฝ่ายตรงข้ามถึงนัดนางมาที่นี่ แต่ด้วยความโกรธแค้นที่มีอยู่แน่นเต็มอก ทำให้อดไม่ได้ที่จะดึงกระบี่ตรงหลังทั้งสองออกมา
“เฮ่อๆ! เจ้าวางใจเถอะ ข้าถูกก่อกวนมานานขนาดนี้ ตอนนี้ก็ขี้เกียจหนีแล้ว ครั้งนี้เราสองคนจะต้องตายกันไปข้างหนึ่ง มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดได้” ผู้อาวุโสชุดดำหัวเราะออกมา จากนั้นก็ดึงดาบอ่อนวาววับออกมา
“ดีมาก! หากเป็นเช่นนี้จริง ข้าย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก” จางยายิ้มอย่างเยือกเย็น และพุ่งดาบทั้งคู่เข้าหาหลิ่วหมิง
ผู้อาวุโสถอนหายใจหนึ่งที และยกดาบต้านทานไว้
พริบตาเดียว ทั้งสองก็ทำการต่อสู้ขึ้นมา
เทียบกับหลายสิบปีก่อนแล้ว ฝีมือของทั้งสองแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก แต่ก็ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองจึงต่อสู้กันน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม
และที่แตกต่างจากเมื่อก่อนก็คือ ครั้งนี้ทั้งโจมตีมากกว่าตั้งรับ
ผ่านไปไม่นาน บนตัวของหญิงผมขาวก็มีรอบเลือดปรากฏอยู่เป็นจำนวนมาก และแขนข้างหนึ่งของผู้อาวุโสชุดดำ ก็ถูกแทงจนเป็นรูขนาดใหญ่ จากนั้นก็อ่อนยวบยาบไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว
หญิงผมขาวมองเห็นโอกาสเช่นนี้ ก็ส่งเสียงออกมาในฉับพลัน กระบี่ในมือทั้งสองกลายเป็นสายรุ้งน่าสะพรึงพุ่งยิงออกไป
ผู้อาวุโสชุดดำรีบกระโดดหลบไปด้านข้างด้วยความตกใจ กระบี่ทั้งสองเฉียดไหล่ ในขณะเดียวกันก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“กระบวนท่านี้ ข้าไม่รู้รับมือมาตั้งกี่ครั้งแล้ว คิดจริงๆ หรือว่าจะทำร้ายข้าได้?”
หญิงผมขาวได้ยินเช่นนี้ กลับจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างเยือกเย็น
ขณะที่ผู้อาวุโสชุดดำรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องนั้น กลับมีเสียงดังมาจากด้านหลัง
มันคือกระบี่สองเล่มนั่นเอง หลังจากที่มันหมุนวนหนึ่งรอบแล้วก็พุ่งกลับมา
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”
ใบมีดแหลมคมทั้งสองพุ่งทะลุหน้าอกไปอย่างรวดเร็ว ร่างผู้อาวุโสชุดดำโงนเงนแล้วก็คุกเข่าลงพื้นไป
“ฮี่ๆ! กระบี่หลุดมือย้อนกลับนี้ ข้าฝึกสำเร็จตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว แต่ไม่ยอมแสดงให้เจ้าเห็นเลยสักครั้ง โจรชั่ว! ในที่สุดเจ้าก็ตกอยู่ในมือของข้า ต่อไปข้าจะตัดแขนของเจ้าก่อนหรือว่าควักลูกตาเจ้าก่อนดีนะ” หญิงผมขาวเห็นเช่นนี้ กลับหัวเราะออกมา จากนั้นก็ขยับตัวมาด้านหน้าผู้อาวุโส พอสะบัดแขนเสื้อ ดาบสั้นสีเขียวก็ปรากฏในมือ นางก็จ้องมองใบหน้าผู้อาวุโสแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงกลัว
ผู้อาวุโสชุดดำก้มหน้ามองใบมีดแหลมคมตรงอก และมองหญิงผมขาวที่ดูบ้าคลั่งตรงหน้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ หลังจากกระแอมเบาๆ สองทีแล้ว น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที
“ไม่เลว! แม้ว่าสหายจางจะหลงใหลอยู่ในโลกมายา แต่พรสวรรค์ด้านกระบี่ยังน่าตื่นตะลึงเช่นนี้ ช่วงนี้ยังฝันถึงเรื่องดำดินบินทะลุฟ้า และการควบคุมกระบี่บินฆ่าศัตรูที่แข็งแกร่งหรือไม่?”
“น้ำเสียงนี้…… เจ้าเป็นใครกันแน่?” เดิมทีหญิงผมขาวจะสะบัดข้อมือ เพื่อเตรียมแทงลำคอของชายชุดดำ แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็มีใบหน้าซีดขาวขึ้นมา
“ข่าวคราวที่เจ้าได้รับครั้งแล้วครั้งเล่าในหลายปีมานี้ ทำให้หาข้าเจอได้อย่างง่ายดาย ไม่เคยสงสัยบ้างเลยหรือ?” ผู้อาวุโสชุดดำโปรยยิ้มแล้วกล่าวออกมา
พอได้ยินน้ำเสียงอันคุ้นเคยของชายตรงหน้า หญิงผมขาวก็เริ่มตัวสั่นเทิ้ม นางเก็บดาบสั้นในมือโดยฉับพลัน มืออีกข้างเชยคางชายตรงหน้าขึ้นมา อีกข้างก็คลำดูบริเวณกรอบหน้า
พอมีเสียงดัง “ฟรึ่บ!” สิ่งของบางๆ ราวกับกระดาษก็หลุดออกมา เผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของชายหนุ่ม
“พี่หลิ่ว เป็นท่านจริงๆ ด้วย! เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมท่านถึงปลอมเป็นเจ้าโจรชั่วนั่น และใบหน้าท่านยังเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อนด้วย หรือว่าท่านทานบุปผามหัศจรรย์เข้าไป?” หญิงผมขาวจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่ม และกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
หลังจากแยกจากกันเมื่อหลายสิบปีก่อน นางก็ไม่เคยเจอ ‘หลิ่วหมิง’ เลยแม้แต่ครั้งเดียว
“โจรชั่วในใจเจ้า คือข้ามาโดยตลอด และคนที่ส่งข่าวให้เจ้าในหลายปีมานี้ คือคนที่ข้าตั้งใจส่งไปบอกเจ้า ส่วนรูปร่างของข้า สำหรับโลกใบนี้แล้ว ข้าเป็นแค่แขกที่มาจากภายนอกเท่านั้น จึงไม่ต้องเกิดแก่เจ็บตายตามกฎของโลกใบนี้” พอกล่าวจบหลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นมาโดยฉับพลัน พอสองมือตบลงบนหน้าอก กระบี่ทั้งสองก็ถูกดันทะลุไปด้านหลัง ขณะเดียวกันบาดแผลตรงหน้าอกก็สมานกันอย่างรวดเร็ว
ฉากอันหน้าประหลาดประหลาดใจนี้ ถ้าเป็นเวลาอื่น ย่อมทำให้หญิงผมขาวรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
แต่ตอนนี้ สีหน้านางค่อยๆ ดูเยือกเย็นขึ้นมา พอขยับแขน ดาบสั้นเล่มนั้นก็จี้อยู่บนคอหอยของชายหนุ่ม ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ กล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“พูดเช่นนี้หมายความว่า ท่านเป็นคนฆ่าลูกของข้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนของท่าน ใยท่านต้องทำเช่นนี้ด้วยเล่า!”
พอกล่าวจบ ดาบสั้นของนางก็แทงไปด้านหน้า ทำให้เกิดรอยแผลจางๆ บนคอหอยหลิ่วหมิง โลหิตสดๆ ไหลออกมา
หลิ่วหมิงกลับไม่สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาเพียงแค่ทำหน้าประหลาดใจ และปรบมือสองที
เสียงฝีเท้าดังมาจากทิศทางหนึ่งของป่า คนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา
คนหน้าสุดเป็นชายหนุ่มสวมชุดขุนนาง ด้านข้างเป็นหญิงที่มีอายุพอๆ กัน แต่ด้านหลังของเขากลับมีคู่สามีภรรยาสองคู่ ที่ยังดูอ่อนเยาว์
หญิงคนหนึ่ง กำลังอุ้มเด็กทารกที่ดูเหมือนจะมีอายุแค่ไม่กี่เดือน นางจ้องมองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ
“เจ้าทำบ้าอะไร! พวกเขาเป็นใคร?” จางยาเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจมาก แต่พอค้นพบว่าพวกเขาเป็นแค่กลุ่มคนธรรมดา นางก็ตะคอกด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด
“เฮ่อๆ! สหายจาง มองรูปร่างหน้าตาของพวกเขาให้ดีก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ” หลิ่วหมิงตอบด้วยรอยยิ้ม
“รูปร่างหน้าตา? พวกเขาคือ……” หญิงผมขาวสังเกตดูคนเหล่านั้นด้วยความสงสัย และค้นพบว่าคนเหล่านี้ มีใบหน้าคุ้นเคยมาก โดยเฉพาะชายวัยกลางคนผู้นั้น นางรู้สึกมีความผูกพันธ์เป็นอย่างยิ่ง
“แบมือเจ้าออกมาให้นางดูหน่อย” หลิ่วหมิวไม่ได้ตอบคำถามหญิงผมขาวในทันที แต่กลับหันไปสั่งชายวัยกลางคน
ชายวัยกลางคนลังเลเล็กน้อย และยื่นฝ่ามือของตนเองให้หญิงผมขาวดู ตรงกลางฝ่ามือมีไฝสีแดงขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารอยู่สามจุด
พอหญิงผมขาวเห็นไฝโลหิตเหล่านี้ ดาบสั้นก็หลุดออกจากมือโดยไม่รู้ตัว “เต๊ง!”
นางจ้องมองชายวัยกลางคน และกล่าวพึมพำออกมา “เป็นไปไม่ได้”
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงได้เคลื่อนไหวยังด้านหลังของหญิงผมขาว และตบมือข้างหนึ่งลงบนไหล่ของนาง ขณะเดียวกันก็ตะคอกเสียงต่ำออกมา
“ชีวิตดุจดังความฝัน จางซิ่วเหนียง เจ้ายังไม่รีบฟื้นขึ้นมาอีก”
“ชีวิตดุจดังความฝัน จางซิ่วเหนียง จางซิ่วเหนียง……” เดิมทีหญิงผมขาวก็จิตใจระส่ำระสายอยู่แล้ว พอมีเสียงดังกระตุ้นอยู่ข้างหู นางก็มีสีหน้างงงวยเป็นอย่างมาก และดูสับสนขึ้นมาทันที
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
แม้ว่าที่เขาตะคอกไปเมื่อครู่ จะไม่มีพลังเวทย์อยู่เลยแม้แต่น้อย แต่เขาใช้เคล็ดวิชาบางอย่างที่เรียนมาบนเกาะมฤตยู มันสามารถใช้เสียงสั่นสะเทือนจิตของฝ่ายตรงข้ามได้ ซึ่งมันค่อนข้างใช้ได้ผลกับสถานที่แห่งนี้
ในขณะที่หลิ่วหมิงคิดจะแสดงเคล็ดวิชานี้อีกครั้งนั้น พลันมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา เมฆดำจำนวนมากพวยพุ่งออกมาภายในพริบตา จากนั้นเงาร่างแมลงยักษ์หน้าตาดุร้ายที่หลิ่วหมิงสามารถมองเห็นได้เพียงคนเดียว ก็ปรากฏออกมา มันมีขนาดใหญ่หมู่กว่าๆ และอ้าปากเป่าลงด้านล่าง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่ามีพายุเย็นสะท้านพัดมาบริเวณนั้น และม้วนตัวผ่านเขากับหญิงผมขาว
“ตู๊ม!”
หญิงผมขาวล้มตัวลงท่ามกลางพายุเย็นสะท้านในทันที สีหน้างุนงงสับสนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน แต่พริบตาที่พายุเย็นสะท้านเข้าไปในร่าง จิตรับรู้ของเขาก็จมดิ่งลงไป จากนั้นก็สลบไสลไปทันที
ขณะนี้เงาร่างแมลงยักษ์กลางอากาศก็พร่ามัวหายไป
……
หนึ่งปีต่อมา ในเขาเล็กๆ ที่เขียวขจีเป็นพิเศษ ชายหญิงสองคนค่อยๆ เดินไปบนถนนเล็กๆ เส้นหนึ่ง
ผู้หญิงคือจางยา ส่วนผู้ชายกลับเป็นผู้อาวุโสผมสีดอกเลาที่มีรอยเหี่ยวย่นเต็มใบหน้า มีเพียงแค่ระหว่างคิ้วเท่านั้นที่พอจะมองออกว่าเป็นหลิ่วหมิง
“พี่หลิ่ว ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมตอนแรกท่านถึงปลอมเป็นโจรชั่ว แล้วนำลูกข้าไปเลี้ยงดูจนเติบโต?” หญิงผมขาวเดินเคียงข้างผู้อาวุโสผมสีดอกเลา และทำการสอบถามเบาๆ
………………………………………