ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 297 คู่แค้นสองชาติ
“น้องจาง ข้าจำอะไรไม่ได้จริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าสามารถรักษาใบหน้าตอนอายุยี่สิบกว่าไว้ได้จริงๆ หรือ? เป็นไปได้อย่างไร ถ้าอย่างนั้นไม่เท่ากับว่าข้าเป็นปีศาจหรอกหรือ!” ผู้อาวุโสผมสีดอกเลากล่าวด้วยสีหน้าซึมกระทือ
หลิ่วหมิงในตอนนี้ ไม่เพียงแต่มีใบหน้าและร่างกายเป็นผู้อาวุโสที่ย่างเข้าวัยหกสิบเท่านั้น แม้แต่เรื่องที่ตนเองเป็นผู้ฝึกฝนก็ลืมเลือนไปจนหมดสิ้น
“ตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าท่านกลายเป็นคนแก่ ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่นี่คงเป็นเจตนาฟ้าซึ่งข้าไม่อาจรู้ได้ แต่ทำไมท่านถึงเรียกข้าว่าสหายล่ะ ทั้งยังใช้เวลาหลายสิบปีสร้างเรื่องหลอกหลวงขึ้นมา แต่ในเมื่อลูกของข้าไม่ได้ตายไปจริงๆ ทั้งยังถูกท่านเลี้ยงดูจนโต และยังมีลูกหลานอย่างง่ายดาย ข้าก็ขี้เกียจจะถามหาเหตุผลแล้ว ให้ข้าเป็นเพื่อนเจ้าในชีวิตที่เหลือเถอะ!” จางยาหันใบหน้างดงามมองใบหน้าซีดขาวของหลิ่วหมิงแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา แต่ใครก็ฟังน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวของนางออก
“แม้ข้าจำเรื่องเมื่อก่อนไม่ได้ แต่หากมีเจ้าเป็นเพื่อนล่ะก็ ทางเดินที่เหลืออยู่คงจะไม่ยากเย็นมากนัก” ผู้อาสุโสผมสีดอกเลามองใบหน้านางครู่หนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!” หญิงผมขาวยิ้มหวานออกมา ใบหน้าเผยแววแห่งความสุข
……
ภายในวิหารของนิกายจันทราสวรรค์ที่อยู่ในเมืองยักษ์
“หนึ่งชั่วยามผ่านไปแล้ว สหายหลิ่วยังไม่สามารถเรียกซิ่วเหนียงให้ฟื้นได้! สหายสือ เริ่มกระตุ้นแผ่นเก้าวัฏจักรจิตวิญญาณเถอะ!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ที่รออยู่นอกค่ายกลอย่างเงียบๆ มาโดยตลอดกล่าว
“อืม! มันเป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ท่านเซียนสือ ต่อไปก็ลำบากเจ้าแล้วล่ะ!” หยวนหมัวพยักหน้าอย่างสงบ และหันไปกล่าวกับหญิงนิกายหมื่นมหัศจรรย์ที่อยู่ด้านข้าง
“ได้! เรื่องนี้มอบให้ข้าเถอะ” หญิงเสื้อม่วงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
จากนั้นนิ้วมือเรียวราวกับหยก ก็ชี้ไปเหนือแสงทรงกลดเจ็ดสี
“หวึ่ง!”
แผ่นหยกสีขาวหมุนวนอยู่ท่ามกลางแสงทรงกลด ทำให้แสงทรงกรดพร่ามัวขึ้นมา
บังเกิดเสียงดังขึ้น ลำแสงเจ็ดสีถูกพ่นออกมาทันที และจมเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิงกับจางซิ่วเหนียง
หญิงผู้นี้ทำเสียงฮึดฮัดออกมา แม้ตาทั้งคู่จะหลับสนิท แต่คิ้วกลับขมวดขึ้น ราวกับว่ารู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
เหลิ่งเยวี่ยซือไท่เห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้ากังวลออกมา
สีหน้าเย่เทียนเหมยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“สหายทั้งสองวางใจเถอะ! แผ่นเก้าวัฏจักรจิตวิญญาณ เพียงแค่ส่งผลกระทบกับโลกมายาที่แมลงพิษสร้างขึ้น ทำให้ทั้งสองเข้าสู่เส้นทางการเกิดใหม่ และด้วยเคล็ดวิชาที่แสดงไว้ในก่อนหน้า แม้ว่าทั้งสองจะเกิดใหม่ แต่ความสัมพันธ์ก็ยังไม่แยกจากกัน ศิษย์หลานจางจะต้องไม่ได้รับความเสียหายใดๆ อย่างแน่นอน” เมื่อท่านเซียนสือเห็นว่าผู้แข็งแกร่งระดับผลึกของนิกายจันทราสวรรค์ทั้งสองมีท่าทีกังวล นางก็กล่าวด้วยรอยยิ้มที่งดงาม
“สหายสือยื่นมือเข้าช่วยขนาดนี้ ข้าจะไม่วางใจได้อย่างไร” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าว
เย่เทียนเหมยก็ยิ้มแห้งๆ
ไม่รู้ว่าเวลาในโลกมายาผ่านไปกี่ปี
ในเมืองที่คึกคักแห่งหนึ่ง หญิงสาวคิ้วเรียวยาว รูปร่างสูงชะลูด ยืนอยู่บนหอที่ปกคลุมไปด้วยผ้าแพรต่วน นางถือลูกกลมๆ หลากสีสันอยู่ในมือ นางกัดริมฝีปากจ้องมองกลุ่มคนที่เดินกันขวักไขว่อยู่ด้านล่าง
กลุ่มคนส่วนมากเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบสองยี่สิบสามปี แต่ละคนล้วนจ้องมองหญิงสาวบนหอด้วยสีหน้าคลั่งไคล้
ห่างออกไปไม่ไกล มีข้ารับใช้ถือกระบองคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่
“หลิงเอ๋อร์ เจ้าลังเลอะไรอยู่! คนที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ ล้วนเป็นชายหนุ่มตระกูลที่มีชื่อเสียงมาให้เจ้าเลือกได้ตามใจชอบ” ผู้อาวุโสร่างท้วมข้างหญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“ในเมื่อท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ ลูกก็จะโยนแล้วนะ!” หญิงสาวกัดฟัน และโยนลูกกลมๆ หลากสีลงไปด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย
ผู้คนด้านล่างฮือฮาขึ้นมาทันที ชายหนุ่มทั้งหมดพุ่งไปยังทิศทางที่ลูกกลมๆ หล่นลงมา
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีพายุบ้าระห่ำม้วนตัวมาทางอากาศ มันพัดเอาลูกกลมๆ ออกไปด้านข้าง และตกลงไปในอ้อมกอดของบัณฑิตอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปีที่ถือม้วนหนังสือเก่าๆ อยู่ในมือ
พอบัณฑิตผู้นี้เห็นลูกกลมๆ ตกอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง ก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง แต่พอเขามองขึ้นไปบนหอ ก็สบตากับหญิงสาวผู้นั้นพอดี
ทั้งสองตัวสั่นสะท้าน และเกิดความรู้สึกประหลาดๆ ราวกับเคยพบเจอกันมาก่อน
ขณะนั้นเองข้ารับใช้จำนวนมากก็พุ่งมาทางชายหนุ่ม และใครคนหนึ่งก็รีบกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีกับคุณชายด้วย! ท่านเป็นลูกเขยของนายท่านแล้ว”
พอกล่าวจบ ข้ารับใช้กลุ่มนี้ก็พากันคลุมชุดเจ้าบ่าวให้กับบัณฑิตผู้นี้ และพาเข้าไปยังประตูใหญ่ของหอ
สามปีต่อมา
บริเวณหน้าประตูเมือง บัณฑิตหนุ่มในปีนั้นมีหนวดสั้นๆ อยู่ข้างมุมปาก เขาเอ่ยคำลากับหญิงสาวที่อุ้มเด็กอายุสองขวบอยู่
และท้องของนางก็นูนขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังท้องลูกอีกคน
หลายเดือนต่อมา
ในเมืองอีกเมืองหนึ่ง บัณฑิตอยู่ในห้องของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ต้องเอามือจับศีรษะ และกลิ้งอยู่บนพื้นไม่หยุด ไม่นานก็สลบไป
ครึ่งวันต่อมา บัณฑิตก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา แต่หลังจากยกแขนทั้งสองมาดูแล้ว ก็มีสีหน้าซับซ้อนเป็นอย่างมาก
เจ็ดปีต่อมา
ในคฤหาสน์โอ่อ่าสวยงามที่ไม่ทราบชื่อแห่งหนึ่ง หญิงผู้หนึ่งกำลังกอดลูกชายสองคน และจ้องมองบัณฑิตสวมชุดขุนนางสีแดงตรงหน้า และกล่าวออกมาอยู่ไม่หยุด
“เพราะอะไร? เพราะอะไร? ข้ารอท่านอย่างทรมานมาสิบกว่าปี แต่สิ่งที่ได้รับคือหนังสือหย่าแผ่นหนึ่งเท่านั้น ท่านไม่ต้องการแม้แต่เลือดเชื้อไขของท่านเองหรือ!”
บัณฑิตจ้องมองหญิงตรงหน้าด้วยความแปลกใจ ผ่านไปซักพักใหญ่ๆ ถึงสะบัดแขนเสื้อหยิบกระดาษสีขาวที่มีตัวอักษรเต็มไปหมดออกมา จากนั้นก็หันตัวเดินจากไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ผ่านไปไม่นาน หญิงแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาราวกับเสือและหมาป่า พวกเขาแย่งเด็กชายสองคนไปจากอกหญิงผู้นี้ทันที ขณะเดียวกันก็จับนิ้วของนางให้ประทับลงบนกระดาษสีขาวแผ่นนั้น และเดินเชิดหน้าออกไป
หญิงสาวนั่งอยู่บนพื้น คราบน้ำตาเปรอะเต็มใบหน้า แต่สายตาที่มองไปยังประตูใหญ่กลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
สิบปีต่อมา
บนเรือทางการลำหนึ่ง บัณฑิตที่มีท่วงทีงดงามในปีนั้นได้กลายเป็นชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าเคร่งขรึม เขานั่งอยู่ตรงหัวเรือและจ้องมองอะไรบางอย่างอยู่
“นายท่าน เชิญดื่มน้ำแกงลูกบัว!” น้ำเสียงค่อนข้างแหบแห้งดังมาจากด้านหลังของเขา
พอชายผู้นี้หมุนตัวกลับมา ก็เห็นว่าหญิงวัยกลางคนที่มีแผลเป็นเต็มหน้ากำลังถือถาดอยู่ บนนั้นมีถ้วยเคลือบที่ส่งกลิ่นหอมเตะจมูก
“หวังเส่า เจ้าอยู่จวนข้ามาได้สี่ห้าปีแล้วใช่ไหม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ถึงมีแต่เจ้าที่ต้มน้ำแกงได้ถูกกระเพาะข้า” ชายผู้นี้ค่อยๆ กล่าวออกมา
“นายท่านชอบรสมือของข้า ถือว่าเป็นโชคดีของข้า” นางก้มหน้ากล่าว
“ใช่สิ! แต่ก่อนข้าก็เคยชอบน้ำแกงลูกบัวที่คนผู้หนึ่งทำมาก น่าเสียดายที่คนผู้นี้คงไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว” ชายวัยกลางคนกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
ครั้งนี้ หญิงวัยกลางคนกลับไม่กล่าวอะไรออกมา
ชายวัยกลางคนยกน้ำแกงมาจิบอย่างไม่ใส่ใจ
หญิงวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ ลำตัวก็ค่อยๆ สั่นเทิ้มขึ้นมา นางค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งคู่จ้องมองชายผู้นี้ด้วยความโกรธแค้น
“ทำไมล่ะหลิงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าไม่ต้องปิดบังสถานะตนเองอีกแล้วใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ ก็ไม่มีท่าทีเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แต่กลับโยนถ้วยเคลือบลงไปในน้ำ และกล่าวกับหญิงตรงหน้า
“ท่านรู้สถานะข้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หญิงมีแผลเป็นบนใบหน้าได้ยินเช่นนี้ ก็ตกตะลึงจนถอยออกไปสองก้าว
“เมื่อไหร่น่ะเหรอ! ก็ตั้งแต่ที่เจ้าแฝงตัวมาแต่แรกแล้ว แฮ่กๆ! พิษนี้ร้ายแรงจริงๆ คงเป็นพิษร้ายแรงที่สุดบนโลกใบนี้สินะ!” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่หลังจากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป และกระอักเลือดออกมา
“เจ้ารู้ว่าข้าใส่พิษอะไรลงไปในน้ำแกงลูกบัว” หญิงวัยกลางคนจ้องมองชายตรงหน้าราวกับเป็นคนแปลกหน้า สีหน้านางดูประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“เฮ่อๆ! เจ้าอยู่จวนข้ามานานขนาดนี้ คงรู้ว่าปกติข้าจะใช้ถ้วยเงินตะเกียบเงินทานข้าว มีเพียงแค่ครั้งนี้ที่ไม่ได้พกของเหล่านี้มา โอกาสอันดีเช่นนี้ เจ้าจะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร” ชายวัยกลางคนค่อยๆ กล่าวออกมา
“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าวางยา แล้วทำไมถึงดื่มมันลงไป! เจ้ามีแผนอะไรกันแน่?” หญิงผู้นี้รู้สึกตนเองเหมือนจะเป็นบ้า เขาจ้องมองชายหนุ่มแล้วกล่าวออกมา
“เจ้ารู้ไหมว่า ลูกของเราทั้งสองเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ คนหนึ่งกำลังศึกษาอยู่ในเมือง อีกคนก็สอบได้ตำแหน่งบัณฑิตแล้ว ตอนนี้เป็นนายอำเภอแล้ว” ชายวันกลางคนกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“เจ้าพูดเหลวไหล! ข้าได้ยินคนในจวนพูดกันว่า เจ้าทอดทิ้งลูกทั้งสองไปแล้ว ชายที่ทรยศรักอย่างเจ้า อย่าหวังจะมาหลอกข้าได้!” หญิงวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกอึ้งไปในทันที แต่ก็ตะคอกออกมาด้วยความฮึกเหิม
ที่น่าแปลกใจก็คือ เกิดเรื่องผิดปกติเช่นนี้ บนเรือก็ยังเงียบสงบเป็นอย่างมาก และไม่มีคนเข้ามาดูเลยแม้แต่น้อย
“ข้าใกล้จะตายแล้ว ใยต้องหลอกเจ้าด้วย จดหมายฉบับนี้มีที่อยู่ของลูกชายทั้งสองกับเรื่องบางอย่างที่ข้าอยากจะบอกเจ้า เจ้ารับมันไปเถอะ!” ชายวัยกลางคนหยิบจดหมายออกจากแขนเสื้อ และยื่นออกไปอย่างไม่ลังเล
หญิงวัยกลางคนรับจดหมายในทันที แต่สายตากลับจ้องมองชายตรงหน้าที่เขาอยากจะฆ่ามาโดยตลอดพร้อมกับค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ
“ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้! ทำไม!”
“ทำไม่น่ะหรือ! เจ้าอ่านหมดหมายจบก็จะเข้าใจเอง หลิงเอ๋อร์ ไม่ใช่สิ……สหายจาง หวังว่าเจ้าอ่านจดหมายนี้แล้ว คงจะฟื้นได้สักที มิเช่นนั้นพวกเราคงต้องไปพบเจอกันในชาติหน้าแล้ว” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น จากนั้นโลหิตสีดำก็ไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ร่างของเขาอ่อนยวบยาบก่อนที่จะล้มลงไป
………………………………………