ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 302 เขาปีศาจยักษ์กับเซียวเยวี่ยไป๋
“เทพอสูร?” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป
หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ ในขณะที่มนุษย์เกราะทองคำไล่ล่าเขานั้น ดูเหมือนจะพูดถึง ‘ไข่เทพอสูร’ ด้วย
เพียงแต่ตอนนั้นชีวิตเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย จึงไม่ได้สนใจมัน ต่อมาภายหลังก็มีเรื่องรัดตัวมากมายจนลืมเรื่องนี้ไปสนิท
“เอ๋! ศิษย์น้องไม่รู้เรื่องไข่เทพอสูรหรือ! ข้าลืมไปว่าเทพอสูรของเผ่าเจ้าสมุทรเดิมทีจะไม่ขึ้นฝั่ง ดังนั้นจึงมีคนพูดถึงเรื่องนี้ไม่มาก ความจริงเทพอสูรของเผ่าเจ้าสมุทรที่พูดถึง มีสัญญาการแอบอิงอยู่ร่วมกันระหว่างอสูรสมุทรที่แข็งแกร่งกับเผ่าพันธุ์ของเผ่าเจ้าสมุทร โดยปกติเผ่าเจ้าสมุทรจะเลี้ยงดูอสูรสมุทรเหล่านี้ด้วยโลหิตและของกินที่มันชอบ และพออสูรสมุทรเหล่านี้พบเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งในเผ่าพันธุ์เผ่าเจ้าสมุทร ก็จะยื่นมือเข้าช่วย แต่ด้วยเหตุที่ว่าอสูรสมุทรเหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป มันจึงแตกต่างจากอสูรสมุทรที่เผ่าเจ้าสมุทรฝึกฝนเองมาก เผ่าเจ้าสมุทรกับเทพอสูรมีสถานะเท่าเทียมกัน และเทพอสูรเหล่านี้คุ้นชินกับการอยู่ใต้ทะเลลึก พอไปจากทะเลพลังก็จะอ่อนแอลง ดังนั้นมันจึงไม่ขึ้นฝั่งโดยเด็ดขาด การที่เผ่าเจ้าสมุทรรุกรานในครั้งนี้ พวกเราจึงไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเทพอสูรเลย” กุยหรูฉวนอธิบายคร่าวๆ
“ในเมื่อเทพอสูรแข็งแกร่งเช่นนี้ สามเผ่าเจ้าสมุทรในอวิ๋นชวนคงมีมันไม่กี่ตนใช่ไหม!” หลิ่วหมิงถามด้วยความประหลาดใจ
“มันย่อมเป็นเช่นนั้น ว่ากันว่าเทพอสูรเหล่านี้ชอบทานโลหิตของผู้ที่มีสติปัญญา แม้แต่สามเผ่าเจ้าสมุทรก็ไม่สามารถเลี้ยงดูได้มาก ดูเหมือนว่าเผ่าเจ้าสมุทรแต่ละเผ่าจะเลี้ยงดูได้เผ่าละหนึ่งตนเท่านั้น” กุยหรูฉวนกล่าวอย่างไม่ลังเล
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้สึกเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย
เวลาต่อมา ทั้งสองก็พูดคุยกันพักหนึ่ง จากนั้นหลิ่วหมิงก็กล่าวลา และจากไป
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาต่อมา หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวในห้องลับ พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น กล่องหยกที่มียันต์หลายผืนปิดผนึกอยู่ก็ปรากฏออกมา สิ่งที่อยู่ในนั้นคือไข่อสูรสีม่วงที่เขาได้มาจากมืออาจารย์จิตวิญญาณระดับกลางของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นั้น
ดูท่าไข่อสูรนี้ คงเป็นไข่ปีศาจอสูรสมุทรแปดขาที่เทพอสูรของเผ่าเจ้าสมุทรไข่ออกมา มิน่าในตอนแรกผู้แข็งแกร่งระดับผลึกถึงตามล่าเขาไม่เลิก สาเหตุคงเป็นเพราะเหตุผลนี้สินะ
แต่กลิ่นไอของไข่อสูรอ่อนแอขนาดนี้ ผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรก็ยังคงตามเอามันไปให้ได้ ดูท่าไข่เทพอสูรนี้ จะต้องมีประโยชน์ต่อผู้ฝึกฝนระดับผลึกเป็นอย่างมาก
หรือว่าจะสามารถทานได้โดยตรงเหมือนกับเลือดเนื้อของปีศาจทั่วไป เพื่อยกระดับการฝึกฝน หรือว่าใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงโอสถ?
หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ ดูเหมือนว่าไข่ปีศาจอสูรโดยทั่วไป ไม่ได้มีผลลัพธ์ที่ชัดเจนเช่นนี้ แต่ในเมื่อเป็นไข่เทพอสูร ย่อมมีแตกต่างกันบ้าง
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจด้วยความตื่นเต้น
แต่ไข่เทพอสูรนี้มีอยู่น้อยมาก คาดว่าผู้คนในแผ่นดินอวิ๋นซวนคงมีไม่กี่คนที่รู้ประโยชน์ของมัน หากอยากรู้อย่างขัดเจนล่ะก็ เกรงว่าคงต้องไปหาคนเผ่าเจ้าสมุทรถึงจะได้
หลิ่วหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากทำใจให้สงบแล้ว ก็คิดไตร่ตรองเล็กน้อย และปิดฝาลง
เรื่องไข่เทพอสูร ดูท่าจะรีบร้อนไม่ได้ คงต้องเก็บไว้ก่อน รอมีโอกาสค่อยว่ากัน
เรื่องที่เขาต้องทำในตอนนี้คือ ไปนิหยวนหมัวเพื่อหาโครงกระดูกปีศาจพยัคฆ์ระดับของเหลวขึ้นไป
ตามที่กุยหรูฉวนกล่าวไว้ในตอนแรก เจดีย์กักปีศาจของนิกายหยวนหมัว คงจะมีปีศาจอสูรประเภทพยัคฆ์อยู่ สิ่งเดียวที่เขาต้องพิจารณาก็คือ พอถึงเวลานั้นจะเอ่ยปากอย่างไร ใช้อะไรเป็นค่าตอบแทน นิกายหยวนหมัวถึงจะยอมให้คนนอกอย่างเขาเข้าไปในนั้น
หลิ่วหมิงคิดไปคิดมาด้วยตาที่เป็นประกาย และตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง
……
สามเดือนต่อมา ขณะที่ทางด้านพันธมิตร เริ่มทำการคัดเลือกหกศิษย์สามแก่นนั้น ด้านหน้าประตูนิกายหยวนหมัวซึ่งเป็นนิกายอันดับหนึ่งในอวิ๋นชวน กลับมีเรือกลเหาะสีดำพุ่งเข้ามา
ด้านหน้าของเรือ มีชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวยืนอยู่ที่นั่น เขากำลังมองไปยังประตูทางเข้านิกายหยวนหมัวที่อยู่ไม่ไกลด้วยท่าทีตกใจ
บนพื้นดินที่ห่างออกไปหลายสิบลี้ มีเสาหินที่ดูคล้ายกับยอดเขาผุดขึ้นจากพื้น มันสูงพันกว่าจั้ง และมีหมอกดำที่ดูน่ากลัวหมุนวนตั้งแต่กลางเสาลงมา
เสาหินเหล่านี้มีจำนวนมาก จนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
จุดสิ้นสุดที่สายตาหลิ่วหมิงมองเห็น เป็นเสาหินสูงค้ำฟ้า ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสั่นสะเทือนใจมาก
แต่ขณะที่เรือเหาะเดินหน้าไปได้สิบกว่าลี้ ก็มีรถเหาะสีดำสามคันเหาะเข้ามา
แต่ละคันต่างก็มีคนชุดดำสามคนถือขวานสองคมสีเงินยืนอยู่ พอเข้าใกล้เรือเหาะของหลิ่วหมิง ก็รีบมาขวางเรือเหาะเขาไว้
“ไม่ทราบผู้อาวุโสมีนามว่าเยี่ยงไร? ด้านหน้าเป็นประตูทางเข้านิกายเรา หากไม่มีธุระอันใด ผู้ฝึกฝนภายนอกไม่อาจเข้าไปได้” ชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี หน้าตาหล่อเหลาที่อยู่บนรถเหาะคันแรกรีบตั้งขวานสองคมไว้ตรงหน้าทันที จากนั้นก็โค้งตัวเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
เขามองแวบเดียวก็รู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว จึงไม่ได้แสดงตัวต่ำต้อยและก็ไม่ได้แสดงตัวโอหัง
“ข้าหลิ่วหมิงจากนิกายปีศาจ ครั้งนี้มาเพื่อคารวะประมุขนิกายของพวกท่าน และมีเรื่องอยากหารือเล็กน้อย” แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจ แต่กลับกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสหลิ่วจากนิกายปีศาจ ผู้อาวุโสรอสักครู่ ข้าต้องส่งข่าวกลับไปสอบถามก่อน ถึงจะรู้ว่าควรให้ท่านเข้าไปหรือไม่!” ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงย่อมไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
ชายหนุ่มชุดดำรีบหยิบแผ่นค่ายกลออกมาจากเอว มือข้างหนึ่งทำท่ามือแล้ววาดลงบนนั้น
ผ่านไปไม่นาน ก็มีลำแสงหลากหลายเปล่งประกายออกจากแผ่นค่ายกล
ชายหนุ่มมองแวบเดียว ก็รีบกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ผู้อาวุโสหลิ่ว ท่านประมุขให้ท่านเข้าพบได้ แต่ต้องให้ข้าน้อยนำทางเข้าไป!”
“ไม่มีปัญหา เจ้านำทางไปเถอะ!” หลิ่วหมิงหรี่ตากล่าวอย่างไม่ลังเล
ชายหนุ่มกำชับคนอื่นๆ สองสามประโยค จากนั้นก็กระโดดลงเรือกลเหาะของหลิ่วหมิง
เมื่อรถเหาะคันอื่นๆ หลีกทางให้ เรือกลเหาะก็พุ่งยิงไปด้านหน้าทันที
ครั้งนี้ไม่มีอะไรขวางกั้นอยู่ตรงหน้า อึดใจเดียวก็เหาะมาถึงด้านหน้าป่าหินเหล่านั้น
มองดูเสาหินขนาดใหญ่ที่สูงพันจั้งในระยะอันใกล้นี้ ยิ่งทำให้รู้สึกสั่นสะเทือนใจมากขึ้น
แต่ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงค้นพบว่า บนเสาหินเหล่านี้ ต่างก็มีประตูหินขนาดแตกต่างกัน และมีคนจำนวนหนึ่งเข้าๆ ออกๆ เสาหินเหล่านี้
เสาหินบางแท่งเมื่อมองดูใกล้ๆ ถึงค้นพบว่ามีอักขระสีดำขนาดใหญ่สลักอยู่ตั้งแต่กลางเสาลงไป
หมอกดำเหล่านั้นพุ่งออกมาจากอักขระสีดำเหล่านี้ และดูเหมือนว่าจะพุ่งออกมาอยู่ไม่หยุด
แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจกับเสาหินและอักขระเหล่านี้ แต่ย่อมไม่กล้าเสียมารยาทถามออกไป เขาเพียงแค่บังคับเรือกลเหาะให้ไปตามทางทิศทางที่ชายหนุ่มชุดดำชี้
ระหว่างทางมีศิษย์นิกายหยวนหมัวปรากฏออกมามากกว่าเดิม ส่วนมากใช้เมฆในการเดินทาง บางคนขี่วิหคจิตวิญญาณประหลาดๆ และรถเหาะสีดำที่เคยเห็นในก่อนหน้านั้น
แต่ศิษย์เหล่านี้มีท่าทีรีบร้อนเป็นอย่างมาก มีน้อยมากที่จะหยุดพูดคุยระหว่างทาง
ศิษย์นิกายหยวนหมัวที่พบเห็นเรือกลเหาะ ก็เพียงแค่มองหลิ่วหมิงไม่กี่ที จากนั้นก็มุ่งไปยังทิศทางของตนเองต่อราวกับว่ามองไม่เห็นเขาเลย
ในนั้นรวมถึงอาจารย์จิตวิญญาณหลายคนของนิกายหยวนหมัวด้วย
หลิ่วหมิงมองดูแล้วก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด ดีที่เขาไม่ใช่คนทั่วไปจึงไม่แสดงอาการใดๆ บนใบหน้า เขาได้แต่บังคับเรือกลเหาะให้พุ่งเข้าไปในส่วนลึกของป่าหิน
หลังจากหมุนวนเสาหินยักษ์ตรงหน้า สายตาหลิ่วหมิงก็เปล่งประกายออกมา คิดไม่ถึงว่าเขายักษ์สีขาวเทาที่มีรูปร่างครึ่งวงกลมจะปรากฏอยู่ตรงหน้า
ตอนแรกหลิ่วหมิงก็ไม่ได้สนใจ แต่หลังจากมองดูอย่างละเอียด กลับต้องสูดหายใจเข้าด้วยความเยือกเย็น!
“นี่คือ……”
“เฮ่อๆ! ผู้อาวุโสมองออกแล้ว ว่ากันว่าในสมัยบรรพกาล เขาปีศาจยักษ์นี้เกิดจากการที่หลายเผ่าร่วมมือกันสังหารหัวปีศาจยักษ์ตนนั้น แม้ว่าจะผ่านมานานหลายปี แต่เขาลูกนี้ยังมีไอปีศาจอยู่ มันเป็นสถานที่ศักสิทธิ์ที่ใช้ฝึกฝนเส้นทางสายปีศาจของนิกายเรา” ในที่สุดชายหนุ่มชุดดำก็กล่าวอย่างภูมิใจ
“ที่แท้ก็กลายร่างมาจากหัวปีศาจยักษ์ มิน่าถึงได้แผ่ไอปีศาจอันน่าตกใจเช่นนี้” หลิ่วหมิงมองดูไอดำบางๆ ที่ลอยอยู่เหนือยอดเขายักษ์ แม้จะไม่ค่อยเชื่อคำพูดของชายหนุ่ม แต่ก็ระงับความรู้สึกตกใจไว้ และกล่าวออกไป
หากตัดเอาสิ่งก่อสร้างกับต้นไม้บนเขายักษ์ออก มันคงจะดูคล้ายหัวกระโหลกยักษ์เป็นอย่างมาก
พริบตาเดียว เรือกลเหาะก็มาถึงพื้นที่ราบเรียบตรงไหล่เขา หลิ่วหมิงและชายหนุ่มกระโดดลงบนนั้น
ชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีดำที่มีหนวดเคราเต็มใบหน้า เดินเข้ามาต้อนรับ
“ศิษย์คารวะอาจารย์อาเซียว!” พอชายหนุ่มเห็นชายฉกรรจ์ ก็รีบโค้งคารวะแล้วกล่าวออกมา
“เป็นสหายหลิ่วจริงๆ ด้วย ข้าน้อยเซียวเยวี่ยไป๋” ชายฉกรรจ์ไม่ได้สนใจชายหนุ่ม แต่กลับกุมมือกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นพี่เซียว สหายรู้จักข้าน้อยด้วยหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยความประหลาดใจ
“ฮ่าๆ! ไม่ขอปิดบังสหายหลิ่ว ข้าน้อยเป็นหนึ่งในกองกำลังสนับสนุนของนิกายหยวนหมัวที่ไปช่วยนิกายในแคว้นต้าเสวียนในตอนนั้น เพียงแต่ข้าน้อยรับผิดชอบในเรื่องของค่ายกล จึงปรากฎตัวต่อหน้าผู้คนน้อยมาก ไม่แปลกที่สหายหลิ่วจะไม่รู้จัก แต่ชื่อเสียงของสหายที่เคยสังหารอาจารย์จิตวิญญาณระดับกลางของเผ่าเจ้าสมุทร และทำลายเมืองลอยน้ำของเผ่าเจ้าสมุทรไปไม่น้อย ทำให้ข้าน้อยอยากรู้จักท่านตั้งนานแล้ว” เซียวเยวี่ยไป๋ได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะและกล่าวออกมา
“สหายพูดตลกแล้ว ชื่อเสียงนี้ข้าได้มาเพราะความโชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สหายมานิกายหยวนหมัวครั้งนี้ จะต้องพักอยู่หลายวันหน่อย ตอนนี้ข้าจะพาท่านไปพบท่านประมุข ตันกาน ที่นี่ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว เจ้าไปเถอะ!” เซียวเยวี่ยไป๋พยักหน้า และสั่งชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง
“ทราบ! ศิษย์ขอลา!” ชายหนุ่มที่ชื่อตันกานผู้นี้โค้งตัวคารวะ และถอยออกไปสองสามก้าว จากนั้นก็หมุนตัวทะยานขึ้นฟ้าไป
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองเงาร่างของชายหนุ่ม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ศิษย์จิตวิญญาณทั่วไป
………………………………………