ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 305 วิชาเรียกปีศาจ
“ดีมาก! ถ้าอย่างนั้นตามข้ามาเถอะ”
ชายหนุ่มกล่าวอย่างเยือกเย็น ทันใดนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นแสงสีขาว และพุ่งทะยานออกไป
หลิ่วหมิงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขากลายร่างเป็นไอดำพุ่งตามออกไป
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ทั้งสองก็มาถึงเชิงเขาปีศาจยักษ์
ที่นั่นมีลานกลมๆ ขนาดใหญ่ร้อยกว่าหมู่ รอบด้านเต็มไปด้วยเสาหินโบราณ บนพื้นผิวของมันมีอักขระสีดำประทับอยู่เป็นจำนวนมาก
ขอบบางแห่งของลานหิน มีอาจารย์จิตวิญญาณของนิกายหยวนหมัวเจ็ดแปดคนรออยู่ที่นั่นแล้ว
คนเหล่านี้ดูเหมือนจะมีอายุราวๆ ยี่สิบห้ายี่สิบหกปี ผู้ที่มีอายุน้อยสุดเป็นหญิงสาวที่ดูอายุน้อยกว่าชายหนุ่มหนึ่งถึงสองปี
นางมีผมขาวเคลียไหล่ ดวงตาเปล่งประกายสดใส คิ้วโค้ง ขนตายาว ผิวขาวไร้จุดด่างดำ แม้จะอายุยังน้อย แต่งดงามเป็นอย่างมาก
พอแสงสีขาวเปล่งประกายออกมา หานหลีก็ปรากฏตัวท่ามกลางผู้คนเหล่านี้
พอไอดำหายไป ร่างหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวเหนือลาน และรอคอยหานหลีอย่างเงียบๆ
คนนิกายหยวนหมัวเห็นเช่นนี้ ก็ชี้มาที่หลิ่วหมิงด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็มีบางคนที่แสดงสีหน้าดูถูกออกมา
หานหลีพูดกับคนเหล่านี้ไม่กี่ประโยค ก็คิดจะเหาะไปเหนือลาน แต่กลับถูกชายหนุ่มอกผายไหล่ผึ่ง ใบหน้าเคร่งขรึมผู้หนึ่งดึงตัวไว้
ทั้งสองคุยซุบซิบกันหลายประโยค หานหลีหันไปมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และพยักหน้าด้วยความไม่เต็มใจเล็กน้อย
ชายหนุ่มผู้นั้นแสดงสีหน้าดีใจออกมา เขากระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้น พร้อมกับพุ่งตัวไปยังอากาศราวกับลูกธนู และมาปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิง
“เจ้าคือเจ้าเด็กที่ชื่อหลิ่วหมิงจากนิกายปีศาจผู้นั้นสินะ! ฮึ! กะอีแค่อาจารย์จิตวิญญาณจากนิกายเล็กๆ ผู้หนึ่ง กลับกล้ามากำเริบเสิบสานในนิกายหยวนหมัวเรา ช่างใจกล้าไม่เบา” ชายหนุ่มใบหน้าเคร่งขรึมจ้องมองหลิ่วหมิง และกล่าวออกมาโดยไม่ปิดบังเจตนาของตนเองเลยแม้แต่น้อย
“กำเริบเสิบสาน? ข้าน้อยเป็นแค่อาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้นเท่านั้น จะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? ขอสหายอย่าได้ใส่ร้ายข้า! อีกอย่าง ดูเหมือนว่าคู่ต่อสู้ของข้าน้อยจะไม่ใช่ท่าน!” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ฮึ! ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดกับศิษย์พี่ท่านประมุขอย่างไร เขาถึงได้ถอนชื่อข้าออกแล้วให้เจ้าเข้าเจดีย์กักปีศาจแทน แต่เพื่องานนี้ ข้าทุ่มเทไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ จะให้ละมือง่ายๆ ได้อย่างไร และไม่จำเป็นต้องให้ศิษย์น้องหานหลีลงมือ ข้าก็เอาชนะเจ้าได้อย่างง่ายดาย” เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มกล่าวด้วยความแค้นเคือง
“ที่แท้ท่านก็คือสหายกวนจื่อยาง ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว แม้ข้าจะเพิ่งได้ยินชื่อเสียงของสหายเมื่อไม่นานมานี้ แต่หากสหายรู้สึกไม่พอใจก็ลงมือได้เลย หากข้าพ่ายแพ้ให้แก่ท่าน ก็จะรีบไปจากนิกายหยวนหมัวอย่างไม่ลังเล” หลิ่วหมิงเข้าใจในฉับพลัน และกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ท่านแน่ใจหรือ!” กวนจื่อยางได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก
“เฮ่อๆ! แม้ข้าจะไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งระดับผลึก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำพูด” หลิ่วหมิงหุบยิ้มแล้วกล่าวออกมา
“ดีมาก! งั้นยึดเอาตามนี้ หากข้าพ่ายแพ้ให้กับท่านล่ะก็ ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” ชายหนุ่มหัวเราะฮ่าๆ ออกมา เห็นได้ชัดว่ามั่นใจในพลังของตนเองมาก
“ช้าก่อน! ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ข้าเสียเปรียบไปหน่อย สิทธิ์ในครั้งนี้ เดิมทีประมุขนิกายท่านเป็นคนมอบให้กับข้า หากข้าพ่ายแพ้ย่อมเสียสิทธิ์ในการเข้าเจดีย์กักปีศาจเป็นเรื่องปกติ แต่หากสหายแพ้ล่ะ จะให้มันเป็นแค่คำพูดลอยๆ เท่านั้นหรอกหรือ?” หลิ่วหมิงกล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นสหายหลิ่วจะเอาอย่างไร?” กวนจื่อยางขมวดคิ้วกล่าว
“ข้าน้อยได้ยินมานานแล้วว่า นิกายหยวนหมัวมีผลึกปีศาจเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีผลดีต่อผู้ที่ฝึกฝนวิชาสายปีศาจ และยังเป็นสิ่งที่หัวปีศาจชอบกินมากที่สุด” หลิ่วหมิงกล่าว
“ผลึกปีศาจ! ที่แท้เจ้าก็อยากได้ของสิ่งนี้ นี่ก็ไม่แปลก ทั่วทั้งแผ่นดินอวิ๋นชวน มีแค่นิกายเราเท่านั้นที่สามารถผลิตของสิ่งนี้ได้ และไม่เคยขายออกไปข้างนอกเลย ได้! ข้ายังมีผลึกปีศาจระดับต่ำที่เก็บสะสมไว้ร้อยกว่าก้อน เจ้ามีความสามารถก็มาเอาไปได้เลย” กวนจื่อยางหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วกล่าวออกมา
“ได้! ตกลงตามนี้” หลิ่วหมิงเผยสีหน้าพอใจออกมา
อาจารย์จิตวิญญาณที่อยู่ขอบลานได้ยินเช่นนี้ ก็ฮือฮาขึ้นมา
หญิงสาวผมยาวที่ดูอายุน้อยผู้นั้น กลับปรบมือและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ดูท่าครั้งนี้ศิษย์พี่กวนคงต้องสูญเสียสมบัติจำนวนมากแล้วล่ะ ไม่เพียงแต่จะสูญเสียสิทธิ์ในการเข้าเจดีย์กักปีศาจเท่านั้น แม้แต่สมบัติส่วนตัวก็ลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่ง”
“ศิษย์น้องโหรวเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนี้ หรือว่าเจ้าเคยเห็นฝีมือของเจ้าเด็กนิกายปีศาจผู้นี้หรือ?” คนที่อยู่ด้านข้างถามขึ้นมาด้วยความสงสัย หานหลีก็ปราดตามองมาทีหนึ่ง
“เฮ่อๆ! พวกท่านไม่ลองคิดดูล่ะ ศิษย์พี่สวี่เป็นคนเจ้าเล่ห์แค่ไหน ถ้าไม่มีความมั่นใจล่ะก็ ไหนเลยจะกล้าเสี่ยงล่วงเกินตระกูลกวน โดยการให้คนนอกนิกายเข้าไปเจดีย์กักปีศาจแทน และหลายวันก่อนได้ยินอาจารย์อาพูดว่า เจ้าเด็กหลิ่วหมิงผู้นี้ดูเหมือนจะมีพลังไม่น้อย แม้แต่อาจารย์อาหยวนยังเอ่ยปากชมเลย” หญิงสาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อะไรนะ อาจารย์อาหยวนเคยชื่นชมคนผู้นี้ด้วย!
คนอื่นๆ ไม่ได้สนใจคำพูดในช่วงแรก และพอฟังมาถึงช่วงท้ายๆ กลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่า หยวนมัวได้กลายเป็นเทพเจ้าในสายตาของศิษย์นิกายหยวนหมัวไปแล้ว
“ฮึ! ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พลังของศิษย์พี่กวนก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้น ต้องให้ผ่านการประลองไปสักรอบก่อน” หานหลีฟังมาถึงจุดนี้ ก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
จากนั้นเขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว และชี้ไปทางเสาหินบางแห่ง
“ฟู่!”
ลำแสงสีดำพุ่งออกจากปลายนิ้ว และจมหายไปในเสาหินอย่างไร้ร่องรอย
“ตู๊ม!”
อักขระสีดำพวยพุ่งออกจากเสาหินที่อยู่บริเวณรอบๆ ลานกว้าง และรวมตัวกันเป็นม่านแสงสีดำจางๆ ปกคลุมลานทั้งหมดไว้
เกือบจะในเวลาเดียวกัน
ชายหนุ่มตรงหน้าหลิ่วหมิงแหงนหน้าแผดเสียงออกมา พอเขาสะบัดแขนเสื้อ สิ่งของสีดำบางอย่างก็พุ่งออกจากในนั้น มันสั่นไหวตามแรงลมก่อนที่จะกลายเป็นรูปปั้นแกะสลักปีศาจหัววัวร่างมนุษย์ที่สูงจั้งกว่าๆ ไอดำหมุนวนรอบตัวมันราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต
“ฟู่!”
โลหิตบริสุทธิ์ถูกพ่นออกมา พริบตาเดียวก็กลายหมอกโลหิตพุ่งเข้าไปในรูปปั้นแกะสลัก
กวนจื่อยางร่ายคาถาพร้อมกับทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ และพุ่งยิงพลังเข้าใส่รูปปั้นแกะสลัก
ทันใดนั้นอักขระสีดำก็พุ่งออกจากผิวหนังของชายหนุ่มอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วร่าง มองดูไกลๆ แลดูอัปลักษณ์ยิ่งนัก!
“วิชาเรียกปีศาจ! คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่กวนจะใช้ท่าไม่ตายตั้งแต่แรก ดูท่าคงคิดจะเอาชนะให้เด็ดขาดไปเลยทีเดียว” ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงที่อยู่นอกม่านแสงเห็นเช่นนี้ ก็หลุดปากออกมาอย่างอดไม่ได้ คนอื่นๆ ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
เห็นได้ชัดว่าเคล็ดวิชาที่กวนจื่อยางใช้ มีที่มาไม่ธรรมดา!
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกเสียวสะท้านเล็กน้อย แต่กลับยืนนิ่งราวกับไม่คิดจะรบกวนการลงมือของฝ่ายตรงข้าม
ชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา หลังจากคำรามออกมาแล้ว นิ้วทั้งสิบก็ชี้ไปยังรูปั้นแกะสลักพร้อมกัน
บังเกิดเสียงฟ้าร้องดังขึ้น
อยู่ๆ ลำแสงสีดำก็พุ่งลงจากฟ้า และจมลงไปในรูปปั้นแกะสลักโดยไม่สนใจม่านแสงภายนอกลานเลย
“ฟู่ๆ!” เปลวไฟสีเงินลุกไหม้ตรงเบ้าตาทั้งสองของรูปปั้นแกะสลัก มันพวยพุ่งไม่กี่ทีก็มีแสงสีดำม้วนตัวออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ รวมกันแล้ว ก็กลายเป็นเงาร่างปีศาจที่สูงสิบกว่าจั้ง
เงาร่างปีศาจหัววัวร่างมนุษย์นี้ เหมือนกันกับรูปปั้นแกะสลักไม่มีผิด
และขณะที่เงาร่างแกะสลักปรากฏออกมานั้น รูปปั้นแกะสลักก็ระเบิดตัวเป็นจุดแสงสีดำ และจมหายไปในเงาร่าง
ทันใดนั้น กลิ่นไออันน่ากลัวที่ทำให้หายใจอึดอัด ก็ม้วนตัวออกจากเงาร่างปีศาจอย่างบ้าคลั่ง
พริบตาที่เงาร่างปีศาจปรากฏออกมา หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทะเลจิตวิญญาณกระเพื่อมสองที แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เหยียบเข้ามาบนเขาปีศาจยักษ์ เพียงแต่มันรุนแรงกว่าเล็กน้อย
หลิ่วหมิงรู้รีบใช้พลังจิตกวาดดูทั่วร่างด้วยความสึกตกใจ แต่ทุกอย่างในทะเลจิตวิญญาณกลับดูสงบ ไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น
“นี่คือ……” สีหน้าเขาหม่นหมองลงภายในพริบตา
ครั้งนี้หลิ่วหมิงแน่ใจแล้วว่า การที่ทะเลจิตวิญญาณสั่นไหวในก่อนหน้านั้น ไม่ใช่สิ่งที่เขามโนไปเอง แต่เกิดจากการที่มันสัมผัสโดนอะไรบางอย่าง
พอกวนจื่อยางเห็นสีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในฉับพลัน ก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นเขาก็กระโจนเข้าไปในเงาร่างปีศาจ
ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
เงาร่างหัววัวร่างมนุษย์เคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็พร่ามัวหายเข้าไปในร่างของชายหนุ่ม
ครู่ต่อมา กวนจื่อยังได้ส่งเสียงคำรามขึ้น อักขระบนตัวเปล่งแสงสีดำออกมา ร่างของเขาถูกแสงสีดำจากอักขระปกคลุมไว้ กลิ่นไออันน่ากลัวของเงาร่างปีศาจ พวยพุ่งออกจากร่างของเขา
ชั่วพริบตานี้ ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะกลายร่างเป็นปีศาจหัววัวร่างมนุษย์ในก่อนหน้า และกลิ่นไอบนตัวรุนแรงมาก ราวกับว่าไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์จิตวิญญาณระดับของเหลวขั้นกลางเลย
การเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจนี้ ทำให้หลิ่วหมิงดึงจิตออกจากทะเลจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว และแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
“คิดไม่ถึงว่าวิชาเรียกปีศาจของศิษย์พี่กวนจะฝึกฝนมาถึงขั้นนี้แล้ว แต่เดิมเขาก็มีวิชาฝึกร่างอยู่แล้ว บวกกับพลังของเทพปีศาจสังหารที่เพิ่มเข้ามา เกรงว่าร่างกายคงแข็งแกร่งเกินกว่าจะคาดเดาได้ แม้แต่ระดับของเหลวขั้นปลายยังต้องหลบทางให้ แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าเขาทุ่มเทไปกับรูปปั้นแกะสลักเทพปีศาจสังหารนี้ตั้งเท่าไหร่ ต่อไปก็ต้องปรับแต่งใหม่อีกรอบแล้ว แม้ว่าวิชาเรียกปีศาจจะมีอานุภาพเป็นอย่างมาก แต่สิ่งของที่ใช้ในการปรับแต่งแต่ละครั้ง ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถแบกรับไว้ได้” หญิงสาวผมยาวเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็ปรบมือหัวเราะออกมา
พอคนอื่นๆ เห็นเงาร่างปีศาจที่กวนจื่อยางเรียกออกมา และยังแผ่กลิ่นไออันน่ากลัวเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจมาก
………………………………………