ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 309 เข้าเจดีย์กักปีศาจ
ของสิ่งนี้เปล่งประกายกลายเป็นจุดแสงสีขาว และหายเข้าไปในลูกกลมๆ สีดำกลางอากาศ มันสั่นไหวกลายเป็นประตูหยกโบราณแวววาวที่มีอักขระสีเงินปกคลุมอยู่เป็นจำนวนมาก และท่ามกลางเสียงร่ายคาถามันก็ค่อยๆ เปิดออกมา
“สำเร็จแล้ว! เข้าไปเถอะ”
ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยความดีใจ ขณะเดียวกันกลิ่นไอบนตัวก็สั่นไหวอย่างรุนแรง
ประจักษ์ชัดว่าการเปิดประตูในครั้งนี้ ทำอาจารย์จิตวิญญาณสูญเสียพลังไปมาก
หานหลีได้ยินเช่นนี้ ก็ทะยานเข้าไปในประตูหยกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
หลิ่วหมิงยิ้มและทำท่ามือก่อนที่จะทะยานขึ้นไป
ศิษย์นิกายปีศาจคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ ขี่เมฆขึ้นไปด้วยความฮือฮา
……
หลิ่วหมิงรู้สึกวิงเวียนศีรษะและตัวเบาลง จากนั้นร่างของเขาก็มาปรากฏบนพื้นหินสีดำ
อีกคนที่อยู่ด้านข้าง ก็มองสำรวจไปรอบด้าน ซึ่งเขาก็คือหานหลีนั่นเอง
พอหลิ่วหมิงกวาดสายตามองไป ก็ค้นพบว่าตนเองอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่หลายจั้ง รอบด้านมีเสาหินสีขาวตั้งตระหง่านอยู่หลายเสา ซึ่งมันค้ำยันม่านแสงสีขาวที่ปกคลุมพื้นที่บริเวณนั้นไว้
“ชั้นป้องกันนี้ ใช้รับมือปีศาจอสูรโดยเฉพาะ ปรมาจารย์นิกายเราลงมือสร้างมันด้วยตนเองในสมัยที่สร้างเจดีย์กักปีศาจ นอกจากปีศาจอสูรที่มีพลังระดับผลึกแล้ว ปีศาจอสูรตนอื่นๆ ไม่สามารถทำลายมันได้โดยเด็ดขาด แต่สำหรับมนุษย์เราสามารถเข้าออกได้โดยไม่เป็นอะไรเลย” ชายหนุ่มค่อยๆ กล่าวออกมา พวกเขาทะลุม่านแสงมาโดยไม่มีอะไรมาต้านทานไว้
“ปรมาจารย์นิกายท่านช่างมีความสามารถล้นฟ้าจริงๆ ถึงได้วางชั้นจำกัดมหัศจรรย์นี้ได้” ดวงตาหลิ่วหมิงเผยแววประหลาดใจออกมา แต่หลังจากถอนหายใจแล้ว ก็เดินออกไปอย่างไม่รีบร้อน
“ที่นี่คือชั้นสี่ของเจดีย์กักปีศาจ ก่อนจะออกเดินทางไปอีกชั้น ข้ามีเรื่องบางอย่างต้องกำชับเจ้า เพราะที่นี่ค่อนข้างพิเศษ ไม่เหมือนกับโลกภายนอก พอถึงเวลาอาจเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมาได้” หานหลีลังเลเล็กน้อย และกล่าวกับหลิ่วหมิง
“อืม! สหายรีบพูดมาเถอะ ข้าจะจำไว้อย่างดี!” หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร แต่กลับกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ขณะนี้ เขาได้แหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบน กลางอากาศที่สูงขึ้นไปสามสิบกว่าจั้ง ถูกไอดำหนาๆ ปกคลุมจนบดบังส่วนบนของชั้นนี้ไว้
“ก่อนอื่น เจดีย์กักปีศาจรองรับได้แค่อาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้นสองคนกับอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางหนึ่งคนเท่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะมีอสูรระดับของเหลวหรือปีศาจอะไรมาด้วยก็ตาม ให้ทิ้งมันไว้ในถุงอสูรจิตวิญญาณ ห้ามเรียกออกมาโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นอาจจะถูกส่งตัวออกไปจากเจดีย์กักปีศาจทันที ประการที่สอง ในเจดีย์กักปีศาจนี้ ไม่สามารถแสดงเคล็ดวิชาเหาะเหินเดินอากาศหรือใช้ยันต์ได้ มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น อย่างเบาก็แค่บาดเจ็บสาหัส อย่างหนักก็ถึงขั้นเสียชีวิต สุดท้ายวิชาบินหลบหลีกจะถูกระงับไว้ ทำให้ไม่เพียงแต่จะมีผลลัพธ์แค่หนึ่งในสิบของภายนอกเท่านั้น พลังเวทย์ที่สูญเสียไปก็มากกว่าภายนอกหลายเท่า” หานหลีจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวออกมา
“เข้าใจแล้ว มองดูก็รู้ว่ามีชั้นจำกัดอยู่ในนี้ ไม่อย่างนั้นมันจะกว้างขนาดนี้ได้อย่างไร ส่วนเรื่องที่อสูรจิตวิญญาณถูกห้ามไม่ให้นำออกมานั้น เป็นเรื่องที่พอคาดเดาได้แต่แรกแล้ว ในเมื่อไม่สามารถเหาะได้ ก็เดินเท้าเอาแล้วกัน” หลิ่วหมิงพยักหน้าตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
“ได้! ไปกันเถอะ ในเมื่อที่นี่เป็นชั้นที่สี่ ในสถานการณ์ปกติจะมีแค่ปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นต้นอาศัยอยู่เท่านั้น พอพลังมันเกินกว่านี้ ก็จะถูกส่งตัวไปยังชั้นที่สูงยิ่งกว่า” หานหลีมีสีหน้าผ่อนคลายลง และเริ่มเดินไปยังทิศทางบางแห่ง
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ เขาเดินตามไปอย่างไม่รีบร้อน ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากถามด้วยความสนใจ
“ในเมื่อบอกว่าปกติ ย่อมมีผิดปกติบ้างใช่ไหม!”
“หากปีศาจอสูรรู้วิธีควบคุมกลิ่นไอของตนเอง ก็สามารถหลอกชั้นจำกัดในเจดีย์ได้ โดยการทำให้ระดับของตนเองอยู่ในขั้นต่ำ ข้าจำได้ว่า แต่ก่อนมีศิษย์พี่คนหนึ่ง ถูกปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นกลางลอบโจมตีจนเกือบเสียชีวิต แต่ปีศาจอสูรชนิดนี้พบเจอได้น้อยมาก พอมันปรากฏตัวออกมา ก็ถูกชั้นจัดของนิกายจัดการอย่างรวดเร็ว” หานหลีกล่าวด้วยท่าทีสงบ
“เป็นการยากที่จะป้องกันปีศาจอสูรที่รู้วิธีระงับกลิ่นไอของตนเอง” หลิ่วหมิงเห็นด้วย
ไม่รู้ว่าเจดีย์ชั้นนี้กว้างเท่าไร่!
ขณะนี้ พวกเขาเดินเข้ามาในห้องโถง สิ่งที่พบเห็นล้วนเต็มไปด้วยหมอกดำๆ และแท่งเสาหินที่ปรากฏออกมาประปราย โดยไม่มีปีศาจอสูรเลย
เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ที่นี่เป็นบริเวณขอบของเจดีย์ ไม่มีปีศาจอสูรปรากฏออกมา ก็เป็นเรื่องปกติ
แต่พอเดินไปได้สักพัก ด้านหน้าก็เริ่มมีพุ่มไม้ใบหญ้า จวบจนกระทั่งมีบางต้นที่ผลิดอกออกผล มีแมลงบินไปบินมาในพุ่มหญ้า
ดวงตาหลิ่วหมิงค่อยๆ เป็นประกายขึ้นมา ตอนนี้เขาถึงเข้าใจว่า ทำไมปีศาจอสูรในเจดีย์ถึงไม่อดตาย
“ไม่ต้องแปลกใจไป เจดีย์ปีศาจสร้างมานานขนาดนี้ ได้เชื่อมต่อกับทางเข้าแดนลึกลับแล้ว มักจะมีสิ่งของหลุดร่วงเข้าไปในเจดีย์กักปีศาจอยู่ตลอด” พอเห็นหลิ่วหมิงมีสีหน้าประหลาดใจ หานหลีก็อธิบายออกมา
“ก่อนเข้ามา ข้าเคยได้ยินคนพูดว่า เดิมทีเจดีย์กักปีศาจนี้ เป็นที่ปิดผนึกปากทางเข้าแดนลึกลับ แต่ข้ารู้สึกแปลกใจมาโดยตลอด หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ทำไมปีศาจอสูรเหล่านี้ถึงยังอยู่ที่นี่ และไม่หนีไปแดนลึกลับ?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วกล่าว
“หนีไปแดนลึกลับ? เฮ่อๆ! มันจะง่ายอย่างนั้นได้อย่างไร ประการแรก ทางเข้าแดนลึกลับไม่เคยปรากฏคงที่ บางครั้งก็อาจจะปรากฏที่ชั้นหนึ่ง บางครั้งก็อาจจะปรากฏที่ชั้นเจ็ด ประการต่อมา ทางเข้าแดนลึกลับมีชั้นจำกัดร้ายกาจของนิกายเราอยู่ ในสถานการณ์ปกติ สามารถออกไปได้ แต่ไม่สามารถเข้ามาได้ แต่ก็มีปีศาจอสูรหนีไปในแดนลึกลับเช่นกัน ซึ่งนิกายเราก็ส่งคนเข้าไปสังหารในนั้นจนหมดสิ้น” หานหลีปราดตามองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และกล่าวออกมาอย่างทระนงองอาจ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงพอเข้าใจขึ้นมาบ้าง
ขณะนี้ ทั้งสองเดินมาถึงด้านหน้าป่าใหญ่แห่งหนึ่ง และหยุดเท้าลงโดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ ก็คว้ามือข้างหนึ่งออกไป “ฟู่!” แผ่นกลมๆ สีขาวปรากฏขึ้นในมือ เขาวาดนิ้วลงไปสองสามรอบ และค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ทำไมล่ะ! ในป่านี้มีปัญหาอะไรหรือ?” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เลิกคิ้วถาม
“ตามที่ระบุไว้ในแผนที่ หากผ่านป่านี้ไปล่ะก็ จะอยู่ห่างจากเส้นทางไปชั้นต่อไปใกล้ที่สุด แต่ในป่ามีปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นต้นที่ค่อนข้างจัดการได้ยาก หากเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยง” หานหลีลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“ปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นต้น กลับทำให้สหายหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ดูท่ามันคงไม่ธรรมดา” หลิ่วหมิงตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ที่นี่มีอสูรไส้เดือนตนหนึ่ง ไม่เพียงแต่จะสามารถพ่นหมอกพิษจนทำให้สิ่งที่สัมผัสมันเสียชีวิตได้ ตัวของมันเองก็ไม่อาจสังหารได้ ว่ากันว่าต่อให้สับมันเป็นร้อยชิ้น มันก็จะกลายเป็นไส้เดือนร้อยตนโจมตีศัตรูต่อได้ ทำให้รับมือกันได้ยากนัก แต่ก่อนศิษย์พี่ในนิกายหลายคนเคยเข้ามากำจัดมัน แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ แต่หากเดินอ้อมไปล่ะก็ ระยะทางก็จะไกลกว่ามาก และอาจจะพบกับปีศาจอสูรจำนวนมากได้” หานหลีค่อยๆ กล่าวออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยังจะต้องลังเลอะไรอีกเล่า ก็แค่รับมือยากหน่อยเท่านั้น ไม่ใช่ว่าจะจัดการไม่ได้สักหน่อย อีกอย่างพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องสังหารอสูรตนนี้ เพียงแค่ทำให้มันถอยไปก็พอแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! ข้าย่อมไม่หวาดกลัวอสูรตนนั้นอย่างแน่นอน เพียงแค่ไม่อยากเสียพลังเวทย์โดยเปล่าประโยชน์ก่อนถึงชั้นหกเท่านั้น หลังจากเจดีย์ปีศาจเปิดออกมาแล้ว มันสามารถยืนหยัดได้เพียงสามวันสามคืนเท่านั้น พอถึงเวลาข้าอาจถูกส่งตัวออกนอกเจดีย์ทันที และในระหว่างนั้นก็อาจไม่มีเวลาฟื้นฟูพลังเวทย์มากนัก” หานหลีทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา จากนั้นจึงเก็บแผ่นกลมๆ ในมือ และก้าวยาวๆ เข้าไปในป่า
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มแล้วเดินตามไปอย่างไม่รีบร้อน
……
ขณะเดียวกัน หน้ากองหินตรงชั้นสามของเจดีย์กักปีศาจ ปีศาจอสูรที่ดูคล้ายตั๊กแตนสองตนกำลังนอนนิ่งๆ อยู่บนพื้น โลหิตสีดำไหลออกจากตัว และค่อยๆ ไหลไปยังค่ายกลขนาดเล็กที่วางไว้ชั่วคราว
ใจกลางค่ายกล ชายหนุ่มนิกายหยวนหมัวผู้หนึ่ง ยืนนิ่งๆ อยู่ที่นั่น
ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือตันกานนั้นเอง เขาจ้องมองเหนือกองหินโดยไม่กระพริบตา
พอมีคลื่นแปลกประหลาดสั่นสะเทือนขึ้น ลูกแสงสีเทากลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือกองหิน และเปลี่ยนรูปร่างอยู่ไม่หยุด
ตันกานหัวเราะออกมา แต่พอทำท่ามือ ค่ายกลด้านล่างก็เปล่งแสงสีแดงออกมา โลหิตสีดำที่ไหลเข้าไปในนั้น กลายเป็นหมอกโลหิตพวยพุ่งขึ้นมา
ร่างชายหนุ่มหมุนติ้วๆ อยู่เหนือค่ายกล จากนั้นก็ถูกหมอกโลหิตห่อหุ้มไว้ และพุ่งเข้าไปในลูกแสงสีเทา
“ตู๊ม!”
ลูกแสงสีเทาเปล่งอักขระสีเทาออกมา แต่พอหมอกโลหิตม้วนตัวปะทะใส่ มันก็แยกออกจากกันอย่างไร้สุ้มเสียง
ตันกานหายเข้าไปในลูกแสง
……
นอกเจดีย์กักปีศาจ อาจารย์จิตวิญญาณที่แสดงวิชาอยู่ ก็เริ่มหยุดแสดง
ไม่เพียงแต่ลูกแสงสีดำตรงยอดเจดีย์จะหายไปเท่านั้น ประตูหยกบานนั้นก็ลดขนาดเล็กลง และบินกลับมาในมือของประมุขนิกายหยวนหมัว
คนทั้งหมดนั่งขัดสมาธิลงบริเวณเจดีย์ ประจักษ์ชัดว่า การเปิดเจดีย์ในครั้งนี้ ไม่ได้สิ้นสุดแค่เวลาชั่วครู่เท่านั้น
หญิงสาวผมยาวนั่งพิงต้นไม้เล็กๆ บริเวณนั้น และคิดอะไรอยู่เงียบๆ
“ศิษย์น้องโหรว อาจารย์ท่านสบายดีใช่ไหม? ช่วงนี้ข้าไม่ได้ลงไปเลย ควรจะได้เวลาไปเยี่ยมเยียนท่านสักที” หญิงสาวได้ยินเสียงผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำดังเข้ามาในหู
“ท่านปู่ยังเป็นเช่นเดิม แต่ช่วงนี้กำลังศึกษาอะไรบางอย่างอยู่ เกรงว่าหลายวันนี้คงจะไม่ค่อยมีเวลามากนัก” หญิงสาวได้ยินก็รู้สึกตกใจ แต่กลับกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“ข้าเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นรอผ่านไปครึ่งเดือน ข้าค่อยไปพบท่าน” ประมุขนิกายหยวนหมัวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และส่งเสียงกลับไป
ครั้งนี้ หญิงสาวย่อมตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
แต่สิ่งที่นางมองไม่เห็นคือ ใบหน้าของประมุขนิกายหยวนหมัวเผยแววสงสัยออกมา
……
บริเวณหนึ่งของเจดีย์กักปีศาจ ศิษย์นิกายหยวนหมัวหลายคนกำลังกระตุ้นกระบองสั้นอาญาสิทธิ์สีดำ เพื่อโจมตีหมาป่ายักษ์สีดำตนหนึ่ง
พอลำแสงแต่ละลำกระพริบผ่านไป ปีศาจอสูรตนนี้ก็ล้มลงอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น คนเหล่านี้ก็เข้าไปรุมตีปีศาจอสูรตนนี้จนเสียชีวิต
………………………………………