ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 311 วิหควายุภักษ์กับพยัคฆ์โลหิต
“เพล้ง!”
พอหลิ่วหมิงชกกำปั้นข้างหนึ่งไปในอากาศ เงากำปั้นสีดำกลุ่มหนึ่งก็ระเบิดตัวบริเวณเสาหิน
อากาศที่ดูว่างเปล่าสั่นไหวขึ้นมาทันใด
ปีศาจอสูรรูปร่างกึ่งโปร่งแสงที่ดูคล้ายจิ้งจกปรากฎตัวกลางอากาศ และถูกพลังมหาศาลของเงากำปั้นโจมตีจนโซเซไปด้านหลัง และหล่นอยู่บนพื้นระหว่างหลิ่วหมิงกับหานหลี ท่ามกลางเสียงร้อง “จุ๊ๆ!” มันจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม พออ้าปาก ลิ้นยาวสีดำสองแฉกที่เต็มไปด้วยหนามก็แลบออกมาอยู่ไม่หยุด
หานหลีจ้องมองปีศาจอสูรตรงหน้าด้วยสีหน้าไม่พอใจ ถ้าไม่ใช่ว่าเมื่อครู่หลิ่วหมิงช่วยเขาไว้ได้ทันเวลา ต่อให้เขาจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่ก็คงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มที่ถือดีมาโดยตลอด พาลโกรธขึ้นมาดื้อๆ
“ไปตายซะ!”
พอชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อ ดาบสั้นก็ฟันไปกลางอากาศอย่างรุนแรง
“ฟู่!” พายุเย็นสะท้านสีขาวโพลนพุ่งออกไป และม้วนตัวไปยังปีศาจจิ้งจก
ปีศาจจิ้งจกเห็นเช่นนี้ ก็กระโดดขึ้นในทันที ลำแสงแวววาวหมุนวนรอบตัวของมัน จากนั้นก็หายไปจากบริเวณนั้นอย่างไร้ร่องรอย
แต่ครู่ต่อมาก็มีเสียงดังลั่น พายุไร้รูปสองลูกพัดผ่านลำตัวทั้งสองข้างของหานหลีอย่างรวดเร็ว
“เต๊ง!” “เต๊ง!”
แสงสีขาวเปล่งประกายข้างลำตัวของชายหนุ่ม โล่น้ำแข็งแวววาวปรากฏขึ้นมา พอพายุไร้รูปพัดผ่านไป ก็ทิ้งรอยเว้าลึกๆ ไว้บนนั้น แต่ไม่สามารถทำลายมันได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การโจมนี้กลับทำให้หานหลีหดรูม่านตาขึ้นมา ทันใดนั้นโล่น้ำแข็งทั้งสองด้านก็ระเบิดออกมาในทันที พอแสงเย็นสะท้านสองกลุ่มม้วนตัวออกไป ลิ้นยาวสีดำสองแฉกที่ยาวหลายฉื่อก็ถูกน้ำแข็งเย็นสะท้านปกคลุมไว้
ยังไม่ทันที่จะชายหนุ่มจะได้ลงมืออีกครั้ง แสงกระบี่สีทองก็กระพริบมาจากที่ไกลๆ และพุ่งผ่านเหนือศีรษะของเขา
มีเสียงร้องดังขึ้นมาอย่างน่าเวทนา!
เลือดสดๆ สาดลงมาจากอากาศ หากไม่ใช่ว่าปราณแกร่งสีขาวของชายหนุ่มต้านทานไว้ มันคงสาดโดนตัวเขาแล้ว
ขณะนี้ ร่างที่ถูกฟันเป็นสองส่วนของปีศาจจิ้งจกก็ร่วงลงบนพื้นบริเวณนั้น
หลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกล ค่อยๆ เก็บกระบี่สั้นสีทองเข้าไป
ปีศาจอสูรที่เชี่ยวชาญวิชาหลบเร้นตนนี้ ถูกหลิ่วหมิงฟันจนเสียชีวิตในกระบี่เดียว
หลิ่วหมิงย่อมรู้ดีว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
ภายใต้พลังจิตที่แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันมาก เขามองเห็นปีศาจอสูรตนนี้อย่างชัดเจน
“นับว่าข้าติดค้างเจ้าหนึ่งครั้ง หากมีโอกาสข้าย่อมช่วยเจ้าอย่างแน่นอน” หานหลีมองดูศพบนพื้น และมองดูหลิ่วหมิงก่อนกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย หลังจากยิ้มให้แล้ว ก็เดินตามไปอย่างไม่รีบร้อน
แต่ขณะที่เขาเดินผ่านซากศพทั้งสองชิ้นนั้น ก็ปล่อยยันต์สีเหลืองออกไปผืนหนึ่ง พริบตาเดียวแสงสว่างก็ม้วนตัวออกมา และกวาดลงไปบนพื้น
ขณะที่หลิ่วหมิงโบกมือข้างหนึ่ง เพื่อนำยันต์ใส่เข้าไปในแขนเสื้อนั้น บนพื้นก็ว่างเปล่าขึ้นมา
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาต่อมา ทั้งสองก็ปรากฏตัวในค่ายกลที่อยู่ในม่านแสง และพอมีเสียงดังหวึ่งๆ พวกเขาก็พร่ามัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย
……
เงาร่างโดดเดี่ยวค่อยๆ เหาะต่ำๆ ไปตามภูเขาเล็กที่ติดต่อกันยาวเหยียดอย่างช้าๆ
เจ้าของร่างมีใบหน้าอ่อนเยาว์ ด้านหน้ามีแผ่นค่ายกลหลากสีจำนวนมากลอยวนอยู่ และเขาก็หยุดเหาะ เพื่อทำท่ามือคำนวณอะไรบางอย่างเป็นระยะๆ
เขาคือ ‘ตันกาน’ ที่เข้าแดนลึกลับจากทางเข้าตรงเจดีย์กักปีศาจ
ขณะที่เขาเหาะผ่านยอดเขาเล็กๆ ที่ดูไม่เตะตาลูกหนึ่งนั้น พลันมีเสียงร้องดังมาจากด้านล่าง เงาร่างสีเทาสองกลุ่มทะยานขึ้นจากยอดเขา และแยกเขี้ยวยิงฟันกระโจนเข้าหาชายหนุ่ม
มันคือวานรประหลาดสองตัวที่มีเขาบนหัวสองเขา และลำตัวเต็มไปด้วยขนแข็งๆ
‘ตันกาน’ เห็นเช่นนี้ ก็ไม่คิดจะหลบหลีกแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ก้มหน้ามองลงไปอย่างไม่สะทกสะท้าน และร่ายคาถาที่ไม่ทราบชื่อออกมา
ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
พอชายหนุ่มกวาดสายตามองไป วานรประหลาดสองตนก็หยุดชะงักในทันที จากนั้นลำแสงสีขาวแปลกประหลาดก็เปล่งออกมาจากขนของมัน ไม่นานก็กลายเป็นรูปปั้นหินน้ำแข็งสองรูปลอยอยู่กลางอากาศ
ขณะนี้ ‘ตันกาน’ กลับกระแอมไอออกมา และใช้มือข้างหนึ่งป้องปากไว้ พอยกมือออกมาก็มีคราบโลหิตปรากฏอยู่บนนั้น
“ช่างเป็นร่างที่อ่อนแอจริงๆ! เพียงแค่ยืมดวงตาทั้งสองแสดงวิชาปีศาจเท่านั้น แต่กลับส่งผลสะท้อนจนเกือบได้รับบาดเจ็บ ยังดีที่ข้าคิดหาวิธีบ่มเพาะกายเนื้อนี้มานานหลายปี หากเป็นร่างอื่นที่ไม่รู้วิชาปีศาจล่ะก็ เกรงว่าคงจะระเบิดและเสียชีวิตในทันที แต่ในเมื่อใช้วิธีการสุดท้ายนี้แล้ว การเดินทางในครั้งนี้ จะต้องทุ่มให้สุดตัว จากการคำนวณในหลายปีมานี้ มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่า ของสิ่งนั้นจะถูกปิดผนึกอยู่บริเวณนี้” ‘ตันกาน’ กล่าวพึมพำออกมา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อลงด้านล่าง
“ฟู่!”
พอพายุบ้าระห่ำม้วนตัวลงไป รูปปั้นหินทั้งสองก็ร่วงหล่นลงไป และพอมีเสียงดัง “โครม!” “โครม!” มันก็กระแทกใส่ยอดเขาด้านล่างจนแหลกละเอียด
จากนั้น เงาร่างของชายหนุ่มก็ค่อยๆ ห่างไกลออกไป
……
พื้นที่บางแห่งของเจดีย์กักปีศาจชั้นที่ห้า ชายหนุ่มกับหลิ่วหมิงยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พวกเขามองไปยังบึงแห่งหนึ่งที่ถูกไอหมอกร้อนระอุปกคลุมไว้
ทั้งสองค่อนข้างมีสีหน้าเคร่งขรึม
“สหายหาน เจ้าแน่ใจหรือว่า ที่นี่คือรังของโลหิตพยัคฆ์?” หลิ่วหมิงเอ่ยปากถาม
“ข้าพูดได้แค่ว่า ครั้งก่อนศิษย์พี่จินพบเห็นพยัคฆ์โลหิตตนนั้นในสถานที่แห่งนี้ แต่ปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นกลางในชั้นนี้ มีทั้งหมดสิบกว่าตนเท่านั้น พอมันเลือกที่ทำรังแล้ว ย่อมไม่เปลี่ยนสถานที่โดยง่าย” หานหลีขมวดคิ้วกล่าว
หลังจากที่หลิ่วหมิงยื่นมือเข้าช่วยหนึ่งครั้ง ชายหนุ่มก็ไม่ทำหน้ากระด้างใส่เขาอีกเลย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็……” ขณะที่หลิ่วหมิงยิ้มและกำลังจะกล่าวอะไรออกมานั้น พลันมีเสียงร้องประหลาดดังมาจากนอกบึง จากนั้นบ้ายุบ้าระห่ำก็ก่อตัวขึ้น วิหคยักษ์สีเขียวตนหนึ่งปรากฏตัววับๆ แวมๆ อยู่ในนั้น มันกระพือปีกบินมาทางบึง
“ดูเหมือนจะเป็นวิหควายุภักษ์! ไม่ใช่บอกว่าการแสดงวิชาเหินเวหาในเจดีย์กักปีศาจถูกระงับหรอกหรือ? ดูเหมือนว่าวิหคตนนี้ไม่ได้อยู่ในข้อจำกัดนี้ด้วย” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“สหายหลิ่วไม่รู้อะไร วิหควายุภักษ์ตนนี้ใช้ปีกเนื้อของตนเองในการบิน ซึ่งไม่ได้แสดงวิชาเหินเวหาใดๆ ออกมา ดังนั้นมันจึงไม่เป็นอะไร มิเช่นนั้นด้วยระดับพลังของวิหควายุภักษ์ พอมันกระโจนด้วยพลังทั้งหมด ไหนเลยจะมีความเร็วเพียงแค่นี้” หานหลีสังเกตดูวิหคยักษ์ที่บินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ และกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่มันก็เป็นปีศาจวิหคอย่างแท้จริง ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?” หลิ่วหมิงยังคงกล่าวด้วยความสงสัย
ครั้งนี้ หานหลีไม่ได้ตอบอะไร และก็ทำสีหน้าสงสัยด้วยเช่นกัน
แม้ว่าจะมีปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นกลางปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่ทั้งสองมีพลังเหนือชั้นในการทำลายศัตรู ดังนั้นจึงไม่ได้ลนลานอะไร
ไม่นาน วิหคยักษ์สีเขียวก็บินมาถึงบึง ในที่สุดหลิ่วหมิงก็มองเห็นลักษณะของปีศาจวิหคตนนี้อย่างชัดเจน
วิหคตนนี้มีขนาดเท่าลูกม้าที่โตเต็มวัยแล้ว มีปีกและขนสีเขียว มีขนสีม่วงยาวๆ รอบลำคอ และมีวายุสีเขียวห่อหุ้มไว้ แลดูทรงพลังมาก
“ฟู่!”
วิหคยักษ์สีเขียวหมุนวนกลางอากาศสองสามรอบ จากนั้นก็พุ่งลงไปในไอหมอกพร้อมกับพายุบ้าระห่ำ
ครู่ต่อมา มีเสียงพยัคฆ์แผดร้องดังมาจากในบึง พร้อมกับมีเสียงระเบิดดังออกมาเป็นครั้งคราว
ประจักษ์ชัดว่าปีศาจอสูรสองตนนี้ ได้ต่อสู้กันในบึงแล้ว
หลิ่วหมิงและชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นมาจากในบึง จากนั้นไอหมอกที่อยู่ใจกลางบึงก็พวยพุ่งออกไป วิหควายุภักษ์กระพือปีกบินออกจากในนั้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบเลือดจำนวนมาก และพริบตาเดียวก็บินออกนอกบึงโดยไม่หันกลับมามองเลย
ขณะนี้ เสียงคำรามในบึงถึงได้หยุดลง
“ไป! ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะลงมือกับพยัคฆ์โลหิต!” หลิ่วหมิงรอจนปีศาจวิหคบินออกไปไกลแล้ว ก็กระโดดลงจากต้นไม้ และกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
หานหลีย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ
ทั้งสองคลื่นไหวไม่กี่ที ก็เข้าไปในไอหมอกที่อยู่ไม่ไกล
ภายใต้หมอกสลัวๆ บึงแห่งนี้เปียกชื้นมาก มีแอ่งน้ำปรากฏอยู่บนพื้นเป็นระยะๆ
แต่นับว่าพื้นที่บึงไม่ค่อยกว้างมาก หลังจากที่ทั้งสองเดินไปได้พันกว่าจั้ง ก็เข้าใกล้ใจกลางบึงแล้ว
หลิ่วหมิงโบกมือไปทางชายหนุ่มโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และพลิกฝ่ามือในทันที ยันต์สีขาวผืนหนึ่งปรากฏออกมา และถูกขยี้จนแตกกระจาย
มีเสียงดังขึ้นมาเบาๆ ยันต์กลายเป็นแสงสีเทาม้วนตัวออกไป
ร่างหลิ่วหมิงพร่ามัวขึ้นมาทันที และในที่สุดก็กลายเป็นเงาร่างจางๆ ขณะเดียวกันกลิ่นไอก็จางลง
ชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ ก็พยักหน้าและทำท่ามืออย่างรวดเร็ว แสงสีขาวเปล่งประกายออกจากร่างของเขา จากนั้นก็ค่อยๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงขยับร่างที่หลบซ่อนอยู่ และลอยไปด้านหน้าอย่างไร้สุ้มเสียง
ครั้งนี้เขาเดินหน้าไปแค่ร้อยกว่าจั้ง ก็ไปหลบซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่
ในดินเลนสีดำที่อยู่ห่างจากต้นไม้ใหญ่ไม่ถึงสามสิบกว่าจั้ง พยัคฆ์ขนาดยาวสิบกว่าจั้งที่มีสีแดงเลือดตนหนึ่ง นอนหมอบอยู่ที่นั่น
มองผ่านๆ พยัคฆ์ตนนี้ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่พอมองอย่างละเอียด กลับพบว่ามันหรี่ตาข้างหนึ่งอยู่ และมีเลือดไหลออกจากหนังตาอยู่ไม่หยุด ขณะเดียวกัน กรงเล็บข้างหนึ่งก็หดตัวผิดปกติ กลิ่นไอที่แผ่ออกมาทำให้คนรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรง
“พี่หลิ่ว ดูท่าจะโชคดีไม่น้อย พยัคฆ์ตนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินเสียงหานหลีที่ดังเข้ามาข้างหู
ด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิง ย่อมรู้ว่าหานหลีอยู่ห่างจากตัวเองไม่กี่จั้ง เขาจึงส่งเสียงกลับไปทันที
“ไม่เลว! นี่เป็นโอกาสอันดี อีกประเดี๋ยวรบกวนสหายใช้ชั้นจำกัดรัดตัวอสูรตนนี้ไว้ ข้าจะพยายามสังหารมันในการโจมตีเดียว มิเช่นนั้น การโจมตีกลับของปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นกลางนี้ จะอันตรายเป็นอย่างมาก”
“ท่านมั่นใจหรือว่า สามารถสังหารพยัคฆ์โลหิตนี้ได้ภายในการโจมตีเดียว?” หานหลีได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมาก เขารู้สึกคลางแคลงใจเล็กน้อย
“เฮ่อๆ! คงต้องลองดูอย่างสุดความสามารถแล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะ
“ดี! ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ หานหลีก็จะช่วยอย่างสุดความสามารถ” ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว
………………………………………