ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 312 สังหารพยัคฆ์โลหิต
ในขณะที่ทั้งสองส่งเสียงหารือกันนั้น พยัคฆ์โลหิตที่หมอบอยู่กลางอากาศก็พลันทำจมูกฟุตฟิต และเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาข้างที่ยังสมบูรณ์มองมาที่หลิ่วหมิงทั้งสองด้วยความงุนงง
ระยะห่างขนาดนี้ ดูเหมือนว่าปีศาจอสูรก็ยังรับรู้อะไรบางอย่างได้
“ลงมือ!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ตะโกนกับชายหนุ่มทันที พอสะบัดแขนเสื้อกระบี่สั้นสีทองก็ปรากฏขึ้นในมือ
พอนิ้วมือนิ้วหนึ่งลูบผ่านตัวกระบี่ มันก็เปล่งแสงเย็นสะท้านออกมา
ในขณะเดียวกัน หานหลีก็หยิบดาบสั้นสีขาวและตวัดไปกลางอากาศ ทันใดนั้นพายุเย็นสะท้านก็ก่อตัวขึ้น วงแหวนแสงสีขาวปรากฏขึ้นตรงหน้าเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็พร่ามัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา ปีศาจอสูรสีแดงที่ดูเหมือนจะรับรู้ถึงความผิดปกติ ก็คำรามเสียงออกมา จากนั้นก็ขยับขาทั้งสี่แล้วลุกขึ้นยืน
ในขณะนั้นเอง ไอเย็นสะท้านจากตัวมันก็ม้วนออกไปรอบด้าน วงแหวนแสงสีขาวปรากฏออกมาหลายวง และแสงแวววาวก็ถูกบังคับให้หมุนวนในฉับพลัน จากนั้นก็กลายเป็นวงแหวนน้ำแข็งแวววาวขนาดใหญ่
พยัคฆ์โลหิตที่เพิ่งลุกขึ้นมาไม่ทันได้ระวัง จึงกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง “ตุ๊บ!”
แต่มันก็แหงนหน้าคำรามด้วยความโมโห เปลวโลหิตพวยพุ่งออกจากตัวอย่างบ้าคลั่ง พอวงแหวนน้ำแข็งสัมผัสกับมัน ก็ค่อยๆ ละลายออกมา
แต่ขณะนั้นเอง กลิ่นไออันน่ากลัวก็ระเบิดออกจากร่างหลิ่วหมิง กระบี่สั้นสีทองพร่ามัวขยายยาวหลายฉื่อ หลังจากใช้เคล็ดวิชากระตุ้นมันอีกครั้ง ก็กลายเป็นสายรุ้งสีทองที่ยาวสองจั้ง และทะยานขึ้นฟ้า
พยัคฆ์โลหิตรู้สึกเพียงแค่ว่ามีแสงสีทองกระพริบอยู่ไกลๆ จากนั้นสายรุ้งอันน่าสะพรึงก็มาถึงเหนือหัวในพริบตา และกลายเป็นเงากระบี่อันครั่นคร้ามฟันลงด้านล่าง
ใจกลางเงากระบี่ที่ยาวหลายจั้ง มีกระบี่สั้นสีทองอยู่ในนั้น
ปีศาจอสูรที่ถูกวงแหวนน้ำแข็งผูกมัดอยู่ ไม่สามารถหลบหลีกได้ในขณะนี้ แต่พอรับรู้ได้ว่าไม่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ ก็ย่อมไม่อาจอยู่นิ่งๆ ให้สังหารได้
มันคำรามเสียงดังออกมา เลือดพุ่งกระจายออกจากตัว เปลวไฟโลหิตคุโชนกว่าเดิมเท่ากว่าๆ และกลายเป็นเงาร่างพยัคฆ์สีเลือดกระโจนใส่เงากระบี่
ขณะเดียวกัน กะโหลกศีรษะของปีศาจพยัคฆ์ก็เปิดออกมา ผลึกสีแดงเลือดขนาดเท่าไข่ไก่พุ่งออกจากในนั้น
ด้วยอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดอย่างกระบี่จันทราทองคำ ไหนเลยที่เงาร่างของปีศาจระดับของเหลวจะสามารถต้านทานได้
พอมีเสียงดัง “ฉับ!”
เงาร่างพยัคฆ์โลหิตก็โดนเงากระบี่สีทองทำลาย และฟันโดนผลึกหินสีแดงที่พุ่งออกมาอย่างรุนแรง
“ตู๊ม!”
ผลึกหินสีเลือดระเบิดตัวกลายเป็นแสงโลหิตอันเจิดจ้า เงากระบี่สีทองถูกลำแสงโลหิตจำนวนมากเจาะทะลุ พริบตาเดียวก็แตกกระจายไป
แต่ครู่ต่อมา ก็มีเสียงกระบี่ดังขึ้น!
เงากระบี่ที่แตกกระจายเปล่งประกายท่ามกลางแสงจิตวิญญาณ และฟันแสงโลหิตออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย และถือโอกาสลงไปรัดพันลำคอของปีศาจอสูร
สายโลหิตพุ่งออกจากผิวหนังตรงลำคอของปีศาจอสูรโดยไร้สุ้มเสียง!
หัวขนาดใหญ่ของพยัคฆ์โลหิตสั่นไหวสองสามที จากนั้นก็หมุนกลิ้งลงไปด้านล่าง
ไม่เพียงแต่แค่นี้ สายรุ้งยังพร่ามัวระเบิดเงากระบี่ออกมาเป็นจำนวนมาก มันม้วนตัวเข้าใส่ร่างไร้หัวของพยัคฆ์โลหิต และปั่นจนกลายเป็นเนื้อบด
แต่หลังจากที่หัวพยัคฆ์กลิ้งไปไกลหลายฉื่อแล้ว กลับพ่นไอสีเขียวออกจากจมูกในทันที มันห่อหุ้มหัวไว้และกะที่จะพุ่งขึ้นฟ้าเพื่อหลบหนี
เหมือนว่าหลิ่วหมิงจะคาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว เขาเพียงแค่ขยับแขน ก็คว้าฝ่ามือไปยังอากาศที่อยู่ไกลๆ
“ฟู่!”
ฝ่ามือยักษ์ที่มีไอดำรายล้อมปรากฏออกมาไกลๆ และคว้าหัวพยัคฆ์โลหิตเอาไว้ ได้ จากนั้นก็ค่อยๆ หล่นลงมา
แม้ว่าจะสามารถมองเห็นเนื้อและกระดูกจากรอยแผลตรงลำคอพยัคฆ์โลหิต แต่กลับไม่มีเลือดไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว และมันยังการอ้าปากกัดอย่างบ้าระห่ำ พร้อมกับพ่นเปลวเพลิงโลหิตออกจากปากและจมูกไม่หยุด
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงกระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้น ร่างของเขาพุ่งออกไปราวกับลูกธนู เพียงแค่สั่นไหวไม่กี่ที ก็มาถึงหัวปีศาจอสูรที่ถูกมือยักษ์จับไว้ เขาขยับแขนทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กำปั้นเจ็ดแปดลูกโจมตีออกไป
ด้วยพลังมหาศาลของหลิ่วหมิงในตอนนี้ เพียงแค่ทุบ “ตุ๊บ!” “ตุ๊บ!” ไม่กี่ที ก็ทำให้พยัคฆ์โลหิตสลบไปได้
พอเขาสะบัดแขนเสื้อ ยันต์หลายผืนที่เตรียมไว้ก็เปล่งแสงประกายก่อนที่จะพุ่งยิงออกไป พริบตาเดียวก็ติดอยู่บนหัวปีศาจอสูร ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ และอักขระหลากสีจำนวนมากก็ลอยออกมา
ท่ามกลางอักขระที่ปกคลุม หัวพยัคฆ์โลหิตหดตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ยังสลบไสลอยู่
หลังจากเกิดเสียงดัง “ฟรึ่บ!” ฝ่ามือยักษ์ก็แตกกระจายกลายเป็นจุดแสง
“พี่หลิ่วช่างยอดเยี่ยมจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะสามารถสังหารปีศาจพยัคฆ์ได้ในการโจมตีเดียว! กระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่จิตวิญญาณชั้นสูงสินะ!” หานหลีปรากฏกายและเดินเข้ามา แค่หลังจากสังเกตดูกระบี่สั้นสีทองที่ลอยอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงแล้ว ก็ถามด้วยสีหน้าตกใจระคนสงสัย
“สหายหานตาถึงจริงๆ! ข้าเองก็แปลกใจเล็กน้อยที่ทำสำเร็จในการโจมตีเดียว ดูท่ามันคงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับวิหควายุภักษ์ในก่อนหน้านั้น มิเช่นนั้นข้าคงไม่อาจลงมือได้โดยง่าย” หลิ่วหมิงโบกมือเรียกกระบี่สั้นสีทองเข้าไปในแขนเสื้อ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นเขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งหยิบกล่องหยกที่เปล่งไอเย็นสะท้านออกมา และใส่หัวพยัคฆ์โลหิตเข้าไปในนั้น หลังจากปิดและแปะยันต์สองสามผืนไว้แล้ว ถึงเก็บมันเข้าไปอย่างระมัดระวัง
“หรือว่าพี่หลิ่วไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า อสูรที่ยิ่งบาดเจ็บสาหัสก็ยิ่งอันตราย? ปีศาจอสูรก็เช่นกัน! ต่อให้พยัคฆ์โลหิตตนนี้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็เป็นปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นกลาง หากไม่ใช่ว่าพี่หลิ่วฝีมือยอดเยี่ยม ทั้งยังมีกระบี่จิตวิญญาณที่ไม่ธรรมดา เป็นข้าก็คงไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ ใช่สิ! วิชาที่พี่หลิ่วแสดงออกมา ใช่วิชาขี่กระบี่ในตำนานหรือไม่?” ชายหนุ่มส่ายหน้า จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่ผิด! มันคือวิชาขี่กระบี่ แต่ข้าเพิ่งเข้าสู่เส้นทางสายนี้เท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“เช่นนี้ก็แสดงว่า พี่หลิ่วยังเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ด้วย!” แม้หานหลีจะเป็นผู้ที่หยิ่งยโสมาโดยตลอด แต่ก็รู้สึกเย็นสะท้านอย่างอดไม่ได้
“ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ ข้าเพียงแค่ฝึกฝนวิชากระบี่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” หลิ่วหมิงส่ายหน้า
“หากผู้ที่เข้าใจวิชาขี่กระบี่ ไม่นับว่าเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ เกรงว่าใต้หล้านี้ คงไม่มีผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริงแล้ว คิดไม่ถึงว่าพี่หลิ่วจะเป็นทั้งผู้ฝึกฝนกระบี่ ผู้ฝึกฝนพลังเวทย์ และผู้ฝนร่างไปพร้อมกัน ทั้งยังมีความรู้ที่ลึกซึ้งทั้งสามอย่าง คุณสมบัติฟ้าประทานระดับนี้ ไม่ถูกแนะนำให้เข้าร่วมคัดเลือกหกศิษย์หรือ?” หานหลีถามด้วยสีหน้าที่เหลือเชื่อ
“คุณสมบัติชีพจรจิตวิญญาณของข้าต่ำมาก ในนิกายปีศาจมีคนที่เหนือกว่าข้ามาก ไม่ถูกแนะนำให้เข้าร่วมหกศิษย์ ก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว ไม่เห็นมีอะไรน่าแปลกใจเลย แต่สหายหานหลีกลับมีพลังไม่ธรรมดา ทำไมถึงไม่ไปเข้าร่วมคัดเลือกหกศิษย์ล่ะ?” หลิ่วหมิงถามด้วยสีหน้าสงบ
“ฮึ! พลังเช่นนี้ยังบอกว่ามีคุณสมบัติธรรมดา ถ้าคำพูดนี้แพร่งพรายออกไป ย่อมไม่มีคนเชื่ออย่างเด็ดขาด อย่างน้อยในบรรดาอาจารย์จิตวิญญาณที่อายุน้อยกว่าสามสิบปี พี่หลิ่วเป็นคนที่สองที่ข้าเห็นว่าเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งมาก ส่วนที่ว่าทำไมข้าถึงไม่ถูกแนะนำให้เข้าร่วมคัดเลือกหกศิษย์นั้น ก็มีเหตุผลบางอย่าง พูดถึงแค่คุณสมบัติล่ะก็ สำหรับข้านอกจากคนผู้นั้นแล้ว ย่อมไม่พ่ายแพ้ให้กับคนอื่นใดอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มขมวดคิ้วกล่าว
“อ้อ! ผู้ที่สามารถทำให้สหายหานเลื่อมใสได้นั้น ใช่สหายในนิกายท่านที่มีชีพจิตวิญญาณสวรรรค์หรือไม่?” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็หรี่ตาถามอย่างอดไม่ได้
“ฮึ! นอกจากเจ้าตดเหม็นที่แซ่เย่ผู้นั้นแล้ว ยังจะมีใครอีก! แม้ข้าจะไม่ถูกกับเขา แต่คุณสมบัติชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์ของเขา ก็ทำให้ข้าอดละอายไม่ได้ เขาไม่เพียงแค่เข้านิกายเร็วกว่าข้าเจ็ดแปดปี ตอนนี้ยังเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว แต่จะว่าไปแล้ว พี่หลิ่วสามารถฝึกฝนกระบี่ พลังเวทย์ และร่างไปพร้อมกันได้ เกรงว่าต่อให้คุณสมบัติจะเทียบเขาไม่ได้ แต่ก็นับว่ามีพลังห่างกันไม่มากนัก เป็นเช่นนี้ก็ดี ข้าจะได้มีความมั่นใจในการทำภารกิจนี้ได้สำเร็จมากขึ้นหน่อย” หานหลีทำเสียงฮึดฮัด และกล่าวด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
ในที่สุดชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ของนิกายหยวนหมัวผู้นี้ ก็ยอมรับว่าหลิ่วหมิงมีพลังแข็งแกร่งเหนือกว่าตนเองแล้ว
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ หุบลง หลังจากจ้องมองชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง ก็พลันถอนหายใจและกล่าวออกมา
“มาถึงขนาดนี้แล้ว สหายหานยังไม่ยอมบอกความจริงข้าอีกหรือ?”
“ความจริง? พี่หลิ่วหมายความว่าอย่างไร?” หานหลีได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ขณะเดียวกันดวงตาก็เปล่งประกายออกมา
“หากเป็นแค่ปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายทั่วไป ภายใต้สถานการณ์ที่ข้ากับเจ้าร่วมมือกัน ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่ามีโอกาสสำเร็จสิบในสิบส่วน แต่อย่างน้อยแปดถึงเก้าในสิบส่วนก็พอจะได้อยู่ แต่ทำไมสหายหานถึงยังไม่มีความมั่นใจเช่นนี้ ปีศาจอสรพิษตนนั้น คงมีพลังแข็งกว่าปีศาจอสูรระดับเดียวกันมาก หรือไม่ก็มีอะไรพิเศษบางอย่างใช่ไหม!” หลิ่วหมิงเงียบไปซักพักแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
หานหลีได้ยินหลิ่วหมิงพูดอย่างเปิดอกเช่นนี้ ตอนแรกก็รู้สึกหนักใจ สีหน้าก็ดูไม่ได้ทันที แต่ก็ยังไม่ยอมเปล่งอะไรออกมา
“หรือสหายหานกลัวว่า หากข้ารู้เรื่องแล้วจะเปลี่ยนใจไม่ไปชั้นหกกับท่าน? เรื่องนี้ท่านวางใจเถิด! ในเมื่อข้าเข้ามาในนี้แล้ว และยังได้รับค่าตอบแทนที่ได้ตกลงกันแล้ว ข้าย่อมขึ้นไปชั้นหกอย่างแน่นอน ที่ข้าพูดเรื่องนี้ออกมา เพราะอยากทราบความแข็งแกร่งที่แท้จริงของปีศาจอสรพิษตนนั้น เพื่อที่จะได้เตรียมรับมือไว้ล่วงหน้า เช่นนี้แล้วก็สามารถเพิ่มโอกาสในการทำสำเร็จได้มากขึ้น หากสหายหานไม่ชื่อล่ะก็ ข้าสามารถทำการสาบานได้!” หลิ่วหมิงจ้องมองชายหนุ่ม และค่อยๆ กล่าวออกมา
“ไม่จำเป็นต้องสาบานหรอก ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พี่หลิ่วก็เคยช่วยข้าไว้ก่อนครั้งหนึ่ง ตามหลักแล้วข้าไม่ควรปิดบังท่าน และข้าจะบอกท่านเมื่อเข้าไปชั้นหกแล้ว หากบอกตอนนี้ล่ะก็ เพียงแค่บอกก่อนล่วงหน้าเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ผิด! ปีศาจอสรพิษที่อยู่ชั้นหกนั้น ไม่ใช่ปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายทั่วไป ซึ่งแข็งแกร่งกว่าระดับของมันมาก” สีหน้าหานหลีเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากถอนหายใจออกมาเบาๆ ก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
………………………………………