ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 319 พบเจอมุกพลังวารีอีกครั้ง
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้! เหลืออีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น…”
‘ตันกาน’ จ้องมองอสรพิษดำตรงหน้าที่ปรากฏออกมาฉับพลัน พอเขายกมือลูบหน้าผาก ก็สัมผัสกับโลหิตสีดำและมันสมองที่ไหลออกมา สีหน้าเขาดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก หลังจากพูดพึมพำไปไม่กี่ประโยค ร่างของเขาก็ไร้เรี่ยวแรง และล้มลงไป ขณะเดียวกันโล่แสงสีขาวตรงหน้า ก็กลายเป็นจุดแสง และสลายไป
แต่ศพยังล้มไม่ทันถึงพื้น ศีรษะก็ระเบิดออกมา ไอดำห่อหุ้มอะไรบางอย่างแล้วพุ่งขึ้นฟ้าหลบหนีไป
เส้นขนแข็งๆ ตรงบาทายักษ์กลายเป็นอสรพิษดำกว่าครึ่งหนึ่ง และพุ่งยิงออกไป แต่ส่วนล่างของมันยังติดอยู่กับบาทายักษ์
เสียงร้องดังออกมาอย่างเวทนา สิ่งที่อยู่ในไอดำถูกอสรพิษดำเหล่านี้งับไว้
พอไอดำสลายไป หน้ากากสีเขียวขนาดเท่าลูกกำปั้นก็โผล่ออกมา มันมีสีหน้าหวาดผวาราวกับสิ่งมีชีวิต แต่พริบตาเดียวก็ถูกอสรพิษดำฉีกทึ้งจนเละ และกลืนกินลงไป แม้แต่ศพบนพื้นก็ไม่เหลือ
ผ่านไปไม่นาน คราบเลือดบนพื้นก็ถูกอสรพิษดำกวาดกินจนหมดสิ้น จากนั้นมันก็หดตัวกลับไปเป็นขนแข็งๆ เช่นเดิม
อสรพิษดำที่เจาะทะลุศีรษะ ‘ตันกาน’ กลับบินวนอยู่บริเวณบาทายักษ์ ราวกับว่าอยากเข้าใกล้ แต่ก็ไม่กล้า
พอกลิ่นไอของอสรพิษดำตนนี้อ่อนแอลงเรื่อยๆ มันก็พุ่งเข้าหาบาทายักษ์ทันที
และพริบตาที่อสรพิษดำสัมผัสกับบาทายักษ์ เงาร่างอสรพิษยักษ์ก็ลอยออกจากตัวของมัน พอมีเสียงดัง “เพล้ง!” ผลึกสีดำก็ถูกอสรพิษยักษ์พ่นออกมา
อสรพิษดำพร่ามัวกลายเป็นขนแข็งยาวๆ และไปติดอยู่ใต้บาทายักษ์ มันดูเหมือนขนแข็งเส้นอื่นๆ ไม่มีผิด ราวกับว่ามันเป็นหนึ่งในนั้นตั้งแต่แรกแล้ว
……
ในขณะที่หน้ากากสีเขียวถูกฉีกทึ้งจนแตกกระจายนั้น ในวิหารสีดำตรงไหล่เขาปีศาจยักษ์ พลันมีเสียงร้องออกจากโลงไม้สีดำอย่างน่าเวทนา “ไม่!”
จากนั้นฝาโลงก็พุ่งขึ้นฟ้า เงาร่างสีดำลุกขึ้นมา แต่มือทั้งสองคว้าไปข้างหน้าอย่างสะเปะสะปะ จากนั้นศีรษะก็ระเบิดออกมาเอง
ไอดำพุ่งออกจากร่างไร้ศีรษะ และกลายเป็นพายุบ้าระห่ำพุ่งขึ้นฟ้าไป
พอไอดำพุ่งขึ้นไปส่วนบนของวิหารสีดำ ก็สัมผัสโดนชั้นจำกัดในวิหาร ทันใดนั้น ม่านแสงหลากสีก็เปล่งประกายขึ้นมา บังเกิดเสียงดังโครมครามดังก้องอยู่บริเวณไหล่เขา…
นอกวิหารที่ใช้หารือเรื่องต่างๆ บนยอดเขาปีศาจยักษ์ มีเงาร่างผู้คนเคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด ทันใดนั้น ผู้ฝึกฝนชายหญิงระดับของเหลวที่สวมชุดแตกต่างกันเจ็ดแปดคน ก็มารวมตัวกันหน้าประตูใหญ่ และถือแผ่นค่ายกลเพื่อตรวจสอบรอบด้านอยู่ไม่หยุด
ผ่านไปมานาน หญิงชุดเขียวใบหน้างดงามผู้หนึ่ง ก็หลุดปากออกมา
“เป็นไปได้อย่างไร! มีคลื่นสั่นสะเทือนมาจากวิหารปีศาจดำ!”
“เป็นวิหารปีศาจดำไม่มีผิด! หรือว่า…” ชายผอมแห้งใบหน้าสีเหลืองกล่าวด้วยความตกตะลึง
คนอื่นๆ ก็สบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
ในขณะนั้นเอง ลำแสงสีดำอีกลำก็พุ่งจากออกจากด้านหลังของวิหาร มันเปล่งประกายไม่กี่ที ก็มาถึงอากาศบริเวณนั้น พอลำแสงดับลง ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มสวมชุดผ้าดิ้น ที่มีอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี พอเขาเห็นผู้คนที่อยู่ด้านล่าง ก็รีบกล่าวด้วยสีหน้าซีดเผือด
“ศิษย์พี่ที่ลาดตระเวนทั้งหลาย ป้ายชีวิตของอาจารย์ลุงซินแตกกระจายไปแล้ว”
พอคำพูดนี้เปล่งออกมา สีหน้าของผู้คนที่อยู่ด้านล่างก็เปลี่ยนไป และเงียบเป็นเป่าสากไปชั่วขณะหนึ่ง
……
นอกเจดีย์กักปีศาจ ประมุขนิกายหยวนหมัวนั่งขัดสมาธิอยู่เงียบๆ พอมีเสียงดังหวึ่งๆ ออกจากแขนเสื้อ เขาก็สะบัดมันด้วยความตกตะลึง แผ่นกลมๆ สีขาวลอยออกมา หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบ ก็ลอยอยู่ด้านหน้าอย่างเงียบๆ
แสงสีขาวเปล่งประกายบนแผ่นค่ายกล อักขระสีเงินแถวหนึ่งปรากฏออกมา
ประมุขนิกายหยวนหมัวกวาดสายตามองดูแค่ทีเดียวก็ลุกขึ้นมา สีหน้าเขาดูไม่ได้เป็นอย่างมาก!
“ศิษย์พี่ท่านประมุข เกิดอะไรขึ้น?” เซียวเยวี่ยไป๋ที่นั่งอยู่บริเวณนั้นเห็นเช่นนี้ ก็ถามด้วยความประหลาดใจ
“อาจารย์ท่านเสียชีวิตแล้ว!” หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ประมุขนิกายหยวนหมัวก็กล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวด
พอกล่าวจบ ก็กวาดสายตามองดูหญิงสาวผมยาวที่ชื่อ ‘โหรวเอ๋อร์’ อย่างอดไม่ได้
ตอนนี้หญิงสาวกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้น และกำลังอ่านคัมภีร์สีเงินจางๆ เล่มหนึ่งอย่างออกอรรถรส ประจักษ์ชัดว่าไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเลย
“อะไรนะ! เป็นไปไม่ได้! แม้อาจารย์ท่านจะถูกพลังปีศาจสะท้อนกลับ แต่จะเสียชีวิตไปง่ายๆ ได้อย่างไร” เซียวเยวี่ยไป๋รู้สึกอึ้งไปทันที แต่ก็หลุดปากกล่าวออกมา
แต่เขาไม่ได้ใช้วิชากระซิบเสียง
พอได้ยินคำพูดนี้ ไม่ว่าหญิงสาวผมยาว หรือว่าอาจารย์จิตวิญญาณนิกายหยวนหมัวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บริเวณนั้น ต่างก็ตัวสั่นขึ้นมา และมองไปยังชายฉกรรจ์พร้อมกัน
“ศิษย์พี่เซียว ท่าน…พูดอะไร?” น้ำเสียงของหญิงสาวสั่นสะท้านเล็กน้อย ราวกับว่าได้ยินคำพูดของชายฉกรรจ์ไม่ชัด
……
หลิ่วหมิงจ้องมองแท่นบูชาที่เชื่อมต่อกับระเบียงทางเดินหลายสายด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขาตามกลิ่นไอมาจนถึงบริเวณนี้ และทันมองเห็นเหตุการณ์ที่อสรพิษดำเร้นกายโจมตีชายชราบนแท่นบูชาพอดี
ร่างแท้จริงของอสรพิษดำที่เขาตามหา ที่แท้ก็เป็นขนเส้นหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ และหวาดผวาเป็นอย่างยิ่ง
เส้นขนแค่เส้นเดียวที่หนีเข้าไปในเจดีย์กักปีศาจ ก็สามารถกลายร่างเป็นมารอสรพิษระดับของเหลวขั้นปลายได้ ร่างแท้จริงของบาทายักษ์บนแท่นบูชา คงน่าหวาดกลัวกว่าที่คิดไว้มาก
ตำนานเกี่ยวกับปีศาจยักษ์ในสมัยบรรพกาลที่ถูกคลายผนึกนั้น หลังจากหลิ่วหมิงได้เจอกับมือปีศาจค้ำฟ้าในแดนลึกลับแล้ว เขาก็กลับไปหาคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องมาอ่าน ในที่สุดก็พอจะรู้เรื่องราวอยู่บ้าง
ตอนนี้ได้เจอบาทาของปีศาจยักษ์ แม้เขาจะรู้สึกตกใจมาก แต่ก็ไม่ได้จับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนตอนเจอมือปีศาจค้ำฟ้า
“นี่คือสถานที่ผนึกบาทาปีศาจยักษ์ในสมัยบรรพกาล เกรงว่าผู้ฝึกฝนโดยทั่วไป คงยากที่จะได้พบเจอ คิดไม่ถึงว่า ในเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ปี ข้ากลับค้นพบถึงสองที่! ถือว่ามีวาสนาไม่น้อย ว่าแต่ผู้อาวุโสในก่อนหน้านั้นคือใคร? ดูคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง หรือว่าจะเป็นศิษย์นิกายหยวนหมัว แต่ดูเหมือนระดับการฝึกฝนจะยังไม่ค่อยสูงมากนัก!”
พริบตาแรกที่หลิ่วหมิงมองดูแท่นบูชาจากที่ไกลๆ ก็แสดงวิชาซ่อนเร้นเพื่อบดบังร่างของตนเองไว้ หลังจากได้สติขึ้นมาแล้ว ก็เริ่มไตร่ตรองถึงเหตุบังเอิญที่เผชิญอยู่ตรงหน้า
นี่เป็นเพราะเขาเห็นว่า บาทาปีศาจยักษ์ยังถูกโซ่อาญาสิทธิ์สีขาวรัดพันอยู่ ถ้าเป็นอย่างตอนแรกที่พบเจอมือปีศาจค้ำฟ้าล่ะก็ เขาคงหนีไปตั้งแต่แรกแล้ว
ตอนนี้เขาจ้องมองบาทาปีศาจยักษ์บนแท่นบูชาจากที่ไกลๆ สีหน้าเขาเปลี่ยนไปมาอยู่ไม่หยุด
อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่ได้ถอยออกไปทันที เป็นเพราะอยากถือโอกาสดูว่า อวัยวะที่ถูกผนึกนี้มีความเกี่ยวข้องกับฟองอากาศลึกลับอย่างไร
เพราะในแดนลึกลับที่เป็นสถานที่ปิดผนึกอีกที่หนึ่งนั้น หลังจากที่มือยักษ์ค้ำฟ้าฟื้นคืนชีพได้ไม่นาน เขากลับสลบไปอย่างน่าประหลาดใจ พอฟื้นขึ้นมาอีกที ในร่างของเขาก็มี ‘หลิ่วหมิง’ เพิ่มขึ้นมาอีกคน
หากจะบอกว่าทั้งสองสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน! เขาย่อมไม่เชื่ออย่างแน่นอน!
แต่ในสมัยบรรพกาล ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ปกครองทั่วทั้งแผ่นดินอวิ๋นชวน เส้นขนบนอวัยวะแค่เส้นเดียว ก็สามารถกลายเป็นมารอสรพิษอันน่าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ เขาย่อมระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงยืนรออยู่ที่เดิมเงียบๆ เป็นเวลานานสองนาน พอเห็นว่าบาทายักษ์บนแท่นบูชาไม่มีท่าทีแปลกประหลาดใดๆ เขาก็กัดฟันลอยไปยังแท่นบูชา
ตอนนี้เป็นโอกาสอันดี ที่เขาจะหาที่มาของฟองอากาศลึกลับให้ชัดเจน และอาจเป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แม้จะรู้ว่าการเข้าใกล้แท่นบูชา ต้องเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถคำนึงอะไรได้มากนัก
เพราะหลังจากที่ถูกชิงร่างในครั้งนั้น เขาก็รู้สึกหวาดกลัวฟองอากาศลึกลับเป็นอย่างมาก หากไม่ทำความเข้าใจให้กระจ่าง เกรงว่าต่อไปชีวิตเขาคงไม่สงบสุขแล้ว
พออยู่ห่างจากแท่นบูชาไม่กี่จั้ง หลิ่วหมิงก็เผยร่างออกมา ขณะเดียวกันก็แปะยันต์ไว้บนตัวเป็นจำนวนมาก ม่านแสงหลากสีปรากฏออกจากร่างของเขา
พอเขาทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำจำนวนมากก็พวยพุ่งออกมา มันหมุนติ้วๆ รวมตัวจนกลายเป็นมังกรหมอกดำ และแยกเขี้ยวยิงฟันลอยวนอยู่บริเวณนั้นไม่หยุด
หลังจากเขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ก็เหยียบลงบนบันไดด้านหนึ่งของแท่นบูชา หนึ่งก้าว สองก้าว…
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ หลิ่วหมิงก็เหยียบลงบนแท่นบูชา พอเท้าทั้งคู่หยุดชะงักลง เขาก็สังเกตดูค่ายกลกับบาทายักษ์ที่ถูกผนึกอยู่ตรงกลาง
อยู่ใกล้ขนาดนี้ เขายังคงไม่รับรู้ถึงความผิดปกติใดๆ ในทะเลจิตวิญญาณ หลังจากถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้ว ก็รู้สึกฉงนขึ้นมา
แต่ผ่านไปไม่นาน สายตาของเขาก็ตกอยู่บนสิ่งของหลายอย่างที่อยู่บนพื้น
สิ่งหนึ่งมองเห็นอย่างจัดเจนว่าเป็นล้อบินที่ชำรุดแล้ว อีกชิ้นหนึ่งเป็นหมอกดำที่ห่อหุ้มอะไรบางอย่างไว้ อีกชิ้นหนึ่งเป็นผลึกหินเปล่งแสงสีดำมันวาว
ล้อบินสีเงินนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาใช้พลังจิตกวาดดูเพียงเล็กน้อย ก็มองออกว่าอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ถูกทำลายไปแล้ว ซึ่งไม่สามารถนำกลับไปซ่อมแซมได้อีก
แต่สิ่งของที่อยู่ในกลุ่มหมอกดำ กับผลึกหินสีดำกลับทำให้จิตของเขาสั่นสะเทือนขึ้นมา
หลิ่วหมิงโบกมือข้างหนึ่ง จากนั้นพลังดึงดูดก็ม้วนตัวออกมา กลุ่มหมอกดำกับผลึกหินสั่นสะท้าน และลอยเข้าหาเขา
พริบตาที่หมอกดำตกอยู่ในมือ แขนของเขาก็ค่อยๆ หนักอึ้งขึ้นมา
ตาทั้งสองของหลิ่วหมิงเป็นประกาย เขาอ้าปากเป่ากลุ่มหมอกดำทันที
พายุบ้าระห่ำก่อตัวขึ้น!
“มุกพลังวารี! ที่แท้ก็เป็นมุกพลังวารีอีกหยดหนึ่ง แต่ดูเหมือนจะถูกปรับแต่งด้วยวิธีการพิเศษแล้ว” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา สีหน้าเขาเบิกบานใจเป็นอย่างมาก
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ก็ยังต้องใช้พลังไม่น้อยในการถือมุกพลังวารีหยดนี้ ดูท่ามูลค่าของมัน คงสูงกว่ามุกพลังวารีหยดแรกที่เขาได้รับ
………………………………………