ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 320 การปรากฏตัวของอักขระปีศาจ
ส่วนผลึกหินสีดำนั้น หลิ่วหมิงมองจากกลิ่นไอที่มันแผ่ออกมา ก็รู้ว่าเป็นเมล็ดปีศาจของมารอสรพิษตนนั้น
หลังจากอสรพิษดำกลับเข้าไปบนบาทายักษ์แล้ว ก็ทิ้งมันไว้ที่นี่
และหากเขามีของสิ่งนี้ล่ะก็ สามารถกลับไปรายงานประมุขนิกายหยวนหมัวได้แล้ว
หลิ่วหมิงเก็บทั้งสองเข้าไปในหอยสังข์ย่อส่วนอย่างระมัดระวัง พอกวาดสายตามองออกไปไม่ไกล ก็พบกับกองชิ้นส่วนสีดำ
ชิ้นส่วนเหล่านี้ คือน้ำเต้าสีดำที่ ‘ตันกาน’ นำออกมาในก่อนหน้านั้น ตอนนี้มันแตกละเอียดจนไม่รู้จะแตกอย่างไรแล้ว ซึ่งไม่สามารถใช้งานใดๆ ได้อีก
หลิ่วหมิงเดินวนรอบค่ายกลที่ถูกทำลายไปเกือบครึ่งหนึ่ง และแอบทำการเปรียบความแตกต่างระหว่างบาทายักษ์กับมือยักษ์ค้ำฟ้าที่เขาเห็นในตอนแรก
ในระหว่างเวลานี้ บาทายักษ์กลับนอนนิ่งอยู่กลางค่ายกล ราวกับว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิต
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
เขาสัมผัสไอปีศาจจากบาทายักษ์ไม่ได้เลย นี่คือสิ่งที่แตกต่างจากมือยักษ์ค้ำฟ้าเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงชะงักฝีเท้าลง หลังจากคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วแล้ว ก็พลิกมือฝ่ามือขึ้น เผยให้เห็นเข็มเงาหยกที่อยู่บนนั้น
มันคือเข็มเงาหยกที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ
พอเขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ก็สะบัดนิ้วมือยิงเข็มเงาหยกออกไป เป้าหมายคือใจกลางฝ่าเท้าของบาทายักษ์ที่ไม่มีเกล็ดห่อหุ้มอยู่
“ฟู่!”
เส้นขนที่อยู่ใกล้กลางฝ่าเท้ามากที่สุดขยายยาวขึ้นมา มันสะบัดแค่ทีเดียว ก็โจมตีเข็มเงาหยกจนกระเด็นออกไป
สีหน้าหลิ่วหมิงค่อยๆ เปลี่ยนไปเมื่อเห็นเช่นนี้ จากนั้นก็ถอยออกไปสองก้าว และรีบทำท่ามือกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง
เข็มเงาหยกหมุนวนไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งไปกลางบาทายักษ์อีกรอบ ครั้งนี้มันแค่พร่ามัวก็บังเกิดเสียงดังลั่น และกลายเป็นเงาเข็มหยกร้อยกว่าเล่ม
“ฟู่!”
ปลายเส้นขนแข็งๆ ที่ขยายใหญ่ ม้วนตัวกลายเป็นอสรพิษดำ และอ้าปากพ่นแสงสีดำออกมา
พอแสงสว่างม้วนตัวผ่านเข็มเงาหยกไป มันก็ค่อยๆ ดับสลายลง เหลือเพียงเข็มหยกเล่มสุดท้ายเท่านั้น ที่ถูกอสรพิษยักษ์กระโจนเข้ามา และกลืนเข้าไปในท้อง
หลิ่วหมิงที่กำลังทำท่ามืออยู่เห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา
ตอนนี้เขาขาดการเชื่อมต่อกับเข็มเงาหยกแล้ว
แต่หลังจากผ่านการแลกมือในครั้งนี้ เขาก็ทดสอบพลังของอสรพิษดำได้อย่างคร่าวๆ ซึ่งอยู่ราวๆ ระดับของเหลวขั้นกลาง
หลังจากอสรพิษดำกลืนเข็มเงาหยกลงไปแล้ว ก็ไม่ได้กลับมาเป็นเส้นขนดังเดิม แต่กลับชูคอส่งเสียง และจ้องมองหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง และเปลี่ยนท่ามือทันที ทันใดนั้นแสงสีเขียวก็ปรากฏตรงหน้า และก่อตัวเป็นคมวายุสิบกว่าเส้น
“ไป!”
พอเขาสะบัดแขนเสื้อ และตะโกนออกมา คมวายุตรงหน้าก็พุ่งยิงออกไป
อสรพิษยักษ์สีดำโมโหอย่างสุดขีดหลังจากส่ายไปมาอย่างรวดเร็ว ก็มีเงาหัวอสรพิษโผล่ออกมาหลายหัว แต่ละหัวอ้าปากงับคมวายุในพริบตา และกลืนลงท้องไป
จากนั้นเงาหัวอสรพิษก็พร่ามัวกลับมาเป็นหัวเดียวดังเดิม และกลายร่างเป็นไอดำกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง ร่างกายส่วนบนไม่เคลื่อนไหว แต่เท้าทั้งคู่ไถลไปข้างหลังราวกับติดสปริง
“ฟู่!”
ไอดำสั่นสะท้านอยู่ตรงขอบค่ายกล และกลายเป็นอสรพิษดำใบหน้าดุร้ายอีกครั้ง
แต่ต่อให้มันจะพยายามดิ้นรนแค่ไหน ร่างกายส่วนล่างยังคงติดแน่นอยู่กับบาทายักษ์ ซึ่งไม่อาจพุ่งไปไกลได้แม้แต่ชุ่นเดียว
ครู่ต่อมา อสรพิษดำก็อ้าปากออกมา แสงสีดำเปล่งประกายอยู่ในนั้น และดูเหมือนว่าจะถูกพ่นออกมา
“ตุ๊บ!”
เงากำปั้นสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งยิงออกไป และโจมตีหัวอสรพิษดำอย่างรุนแรง
มันคือกำปั้นที่หลิ่วหมิงทุบออกไป พอหัวของมันสั่นสะเทือน แสงสีดำที่อยู่ในนั้นก็สลายไป
แสงสีทองเปล่งประกายขึ้นในมือ กระบี่สั้นสีทองปรากฏออกมา พอพลิกฝ่ามือขึ้น มันก็กลายเป็นแสงกระบี่อันครั่นคร้าม และม้วนตัวออกไป
“ฟู่!”
แสงกระบี่เลี้ยวไปฟันรอยต่อระหว่างอสรพิษดำกับขนแข็งที่ยังไม่แปลงร่าง จนขาดออกเป็นสองส่วน
หลังจากที่อสรพิษดำส่งเสียงร้องออกมา มันก็กลายเป็นขนแข็งที่ยาวสองฉื่อ และตกลงมา
แต่การโจมตีในครั้งนี้ เหมือนกับไปแหย่รังแตนเข้า ทำให้ขนแข็งเส้นอื่นๆ ที่อยู่ตรงฝ่าเท้าค่อยๆ สั่นไหวกลายเป็นอสรพิษดำ พวกมันชูคอแลบลิ้นกระโจนเข้ามา แต่พอมาถึงขอบค่ายกล ก็ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้อีก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ
ประจักษ์ชัดว่า อสรพิษดำเหล่านี้ไม่ค่อยมีสติปัญญามากนัก มันใช้วิธีการโจมตีที่ธรรมดามาก ระยะของการโจมตีก็ถูกจำกัดไว้
หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ เขาก็ไม่ต้องหวาดกลัวมันแล้ว
หลิ่วหมิงแผดเสียงออกมา พอเขากระตุ้นเคล็ดกระบี่ กระบี่สั้นสีทองในมือก็สั่นไหว และกลายเป็นสายรุ้งอันน่าหวาดกลัวพุ่งยิงออกไป
เงากระบี่เปล่งประกายเต็มท้องฟ้าไปชั่วขณะหนึ่ง
นี่คือวิชาขี่กระบี่ ที่มีแต่ผู้ฝึกฝนกระบี่ถึงสามารถแสดงออกมาได้!
สายรุ้งอันน่ากลัวม้วนตัวกลับมา และกลายเป็นกระบี่สั้นตกอยู่ในมือหลิ่วหมิง อสรพิษดำทั้งหมดถูกฟันจนขาด บนพื้นมีขนแข็งที่ยาวสองสามฉื่อปรากฏอยู่สิบกว่าเส้น
เส้นขนส่วนที่ยังเชื่อมต่อกับบาทายักษ์ ค่อยๆ ดีดตัวกลับไป และหดตัวหายเข้าไปในบาทายักษ์อย่างไร้ร่องรอย
ราวกับว่าหลังจากที่พวกมันถูกหลิ่วหมิงโจมตีอย่างบ้าคลั่งแล้ว ก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หลังจากคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อออกไป จากนั้นไอดำก็ลอยออกไป และม้วนเอาขนแข็งที่ถูกฟันขาดเส้นหนึ่งเข้ามา หลิ่วหมิงใช้มือทั้งสองจับมันไว้
แต่ฉากที่ทำให้เขารู้สึกตกใจก็ได้บังเกิดขึ้น!
พริบตาที่นิ้วมือสัมผัสกับขนแข็งๆ เหล่านั้น แสงสีดำก็เปล่งประกายออกมา ปลายขนแข็งทั้งสองด้าน กลายเป็นหัวอสรพิษดำ และพุ่งมากัดฝ่ามือหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว
แต่เหมือนหลิ่วหมิงจะป้องกันไว้แต่แรกแล้ว พอสะบัดข้อมืออย่างรวดเร็ว คลื่นสั่นสะเทือนก็พุ่งออกจากมือทั้งสอง และพุ่งเข้าไปในหัวอสรพิษทั้งสอง
“ฟู่!”
หัวทั้งสองของอสรพิษดำสั่นสะเทือน และสลายตัวเป็นไอดำ จากนั้นก็กลับมาเป็นขนแข็งๆ อีกครั้ง และบิดตัวไปมาอยู่ไม่หยุด
ขณะนี้ หลิ่วหมิงเก็บกระบี่สั้นสีทองเข้าไป และหยิบยันต์สีเหลืองออกมา มันพุ่งยิงไปแปะอยู่บนเส้นขนแข็งๆ
อักขระสีเงินพุ่งออกจากยันต์ และหายเข้าไปในเส้นขนอย่างไร้ร่องรอย
อักขระสีเงินขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร โผล่ขึ้นบนพื้นผิวที่มันวาวของเส้นขน จากนั้นมันก็หยุดคลื่นไหว ราวกับสิ่งไม่มีชีวิต
ขนแข็งดูแปลกประหลาดถึงเพียงนี้ ทั้งยังมาจากอวัยวะของปีศาจยักษ์ในสมัยบรรพกาล หลิ่วหมิงจึงไม่อาจละเลยมันไปได้
เขาหยิบยันต์มาแปะลงบนนั้นอีกสองสามผืน จากนั้นก็นำขนแข็งใส่ลงไปในกล่องหยกใบหนึ่ง
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงใช้วิธีการเดียวกัน จัดการกับขนแข็งส่วนที่เหลือบนพื้น
ส่วนการใช้งานมันนั้น หลิ่วหมิงได้คิดไว้แต่แรกแล้ว
ขนของปีศาจหนูขนเขียวตนนั้น สามารถนำมาสร้างเป็นเข็มเงาหยกได้ ขนแข็งของปีศาจยักษ์เหล่านี้ ย่อมเป็นวัสดุชั้นยอดในการทำเข็มบินที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณได้
หากเขาหาผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่เหมาะสมได้ ไม่แน่อาจสร้างเข็มบินที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดได้
พอหลิ่วหมิงจัดการขนแข็งเหล่านี้เสร็จ ก็มองไปยังบาทายักษ์อีกครั้ง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือไปทางอากาศ คมวายุสีเขียวเส้นหนึ่งปรากฏออกมา พอสะบัดข้อมือ มันก็พุ่งยิงออกไป
“เพล้ง!”
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีสิ่งใดมาต้านทานไว้ คมวายุก็ฟันลงใจกลางเท้า และกระเด็นกลับมา
หลิ่วหมิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่กลับร่ายคาถาออกมา พอประกบมือทั้งสองแล้วแยกออกจากกัน คมวายุยักษ์ขนาดยาวครึ่งจั้ง ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา มีเส้นสีเขียวเปล่งประกายขึ้น จากนั้นคมวายุยักษ์ก็ฟันเข้ากลางเท้า และกระเด็นกลับมาเช่นเดิม
ดูเหมือนว่า ต่อให้ไม่มีเกล็ดมาบดบังไว้ บาทายักษ์ก็แข็งแกร่งกว่าที่คนทั่วไปคิดไว้มากนัก
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
ดูท่าเรื่องที่ผู้มีพลังในสมัยบรรพกาลไม่สามารถทำลายร่างของปีศาจยักษ์ได้ ถึงได้นำมันมาผนึกไว้ คงจะเป็นเรื่องจริงแปดถึงเก้าส่วน
หลิ่วหมิงพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งด้วยตาที่เป็นประกาย กระบี่จันทราทองคำปรากฏขึ้นในมือ พอสะบัดข้อมือ แสงกระบี่สีทองก็ม้วนตัวออกไป
“ตู๊ม!”
แสงกระบี่อันคมกริบฟันลงบนบาทายักษ์ แม้ว่าจะไม่กระเด็นกลับมา แต่กลับหายวับไปในนั้นอย่างไร้ร่องรอย
ครั้งนี้ หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างขึ้นมาจริงๆ แล้ว
เขากระบัดข้อมืออย่างไม่คาดคิด จากนั้นแสงกระบี่จำนวนมากก็ฟันออกไปอีกครั้ง และหายไปในบาทายักษ์เช่นกัน
ครั้งนี้หลิ่วหมิงรู้สึกท้อใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว
หากกระบี่จันทราทองคำที่คมกริบที่สุดในมือเขา ไม่สามารถทำอะไรมันได้ เกรงว่าคงจะไม่มีวิธีการอื่นแล้ว
ส่วนโซ่อาญาสิทธิ์สีขาวที่รัดพันบาทายักษ์อยู่นั้น หากเขาไม่เป็นบ้า ก็คงไม่สามารถทำลายมันได้โดยเด็ดขาด
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงลองใช้วิชากระสุนไฟ วิชาแท่งวารี และวิชาอื่นๆ โจมตีดู
แต่ก็ไม่ได้ผลใดๆ เช่นกัน
หลิ่วหมิงเดินวนรอบขอบค่ายกลอีกครั้ง เขาค่อยๆ กวาดดูทั่วทุกพื้นที่ของบาทายักษ์
ส่วนที่บาทาถูกตัดขาดออกมา ได้ถูกผิวหนังที่ห่อหุ้มด้วยเกล็ดปกคลุมไว้แล้ว ซึ่งมองไม่เห็นเนื้อด้านในเลยแม้แต่น้อย ส่วนพื้นที่อื่นๆ ก็ไม่มีรอยแผลใดๆ ซึ่งหาจุดอ่อนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นเขาก็หยุดฝีเท้าลง สายตาเขาจ้องไปยังเกล็ดขนาดเท่าอ่างล้างหน้าบนพื้นที่มุมหนึ่งของบาทายักษ์ เขาแสดงสีหน้าตกใจออกมา
หากเขาดูไม่ผิดล่ะก็ เมื่อครู่มีอักขระสีม่วงไม่ทราบชื่อปรากฏขึ้นมาบนเกล็ด และกระพริบหายไป
แต่ที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกบ้าคลั่งเล็กน้อยก็คือ เส้นขีดของอักขระตัวนี้ยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นอักขระโบราณที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เขากลับรู้ความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น ราวกับว่ารู้จักมาตั้งแต่เกิด
เผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันน่าแปลกประหลาดเช่นนี้ ย่อมทำให้เขารู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา!
แต่พอหลิ่วหมิงครุ่นคิดอีกครั้ง ก็พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง
ที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น แปดถึงเก้าในสิบส่วน ล้วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เขาถูกชิงร่างในครั้งก่อน
ไม่ใช่ว่าเขารู้จักอักขระสีม่วงนี้ แต่เป็นเพราะว่าผู้ที่ชิงร่างในตอนนั้น รู้จักอักขระโบราณประเภทนี้ และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ถึงได้ทิ้งความทรงจำส่วนหนึ่งไว้ให้หลิ่วหมิง
………………………………………