ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 321 ดวงตาปีศาจ
หลังจากที่เขามีประสบการณ์ถูกชิงร่างไปครั้งหนึ่งแล้ว พอกลับไปนิกายก็ค้นหาคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องมาอ่านเป็นจำนวนมาก ในนั้นมีเรื่องเกี่ยวกับผู้ฝึกฝนที่ถูกชิงร่างล้มเหลวและเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดีในภายหลัง พอคนเหล่านี้ถูกชิงร่างแล้ว ก็มีพลังจิตที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หรือไม่ก็กลืนกินความจำส่วนหนึ่งของผู้ชิงร่างไป และเรียนเคล็ดวิชาบางอย่างได้โดยไม่มีมูลเหตุ
แน่นอนว่าย่อมมีผู้ถูกชิงร่างสำเร็จเช่นกัน แม้ตอนนั้นจะถูกชิงไม่สำเร็จ แต่ต่อมากลับได้รับผลกระทบจากพลังจิตของผู้ชิงร่างที่หลงเหลืออยู่ จนเป็นบ้าและเสียชีวิตไป
ตอนนี้ เขาได้รับความทรงจำเรื่องอักขระโบราณจากผู้ชิงร่าง ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่พอหลิ่วหมิงนึกถึงที่มาของอักขระสีม่วงโบราณนี้อย่างละเอียด กลับดูคลุมเครือเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงไม่ยอมพลาดโอกาสอันดีตรงหน้าไปแน่นอน เขาจ้องมองเกล็ดบนบาทายักษ์โดยไม่กระพริบตา
ขณะนี้ เขาถึงค้นพบว่า เกล็ดแผ่นนี้ใหญ่กว่าเกล็ดบริเวณใกล้เคียงเท่าตัวขึ้นไป และดำกว่าเล็กน้อย
เขาจ้องมองอยู่เช่นนี้ จนเวลาผ่านไปหนึ่งมื้อข้าว อักขระโบราณสีม่วงก็กระพริบออกมา มันคืออักขระตัวเดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา แต่ยังคงจ้องมองเกล็ดโดยไม่ขยับเขยื้อน
ผ่านไปซักระยะ เมื่ออักขระสีม่วงโบราณปรากฏออกมาอีกครั้ง เขาก็เปล่งพยางค์เสียงคลุมเครือที่เข้าใจยากออกมา
“ฟู่!”
อักขระสีม่วงโบราณที่เพิ่งปรากฏออกมา หยุดนิ่งอยู่บนเกล็ด ขณะเดียวกัน ก็มีลำแสงจางๆ พร่ามัวบนพื้นที่ว่างเปล่าเหนือเกล็ด อักขระสีม่วงโบราณอีกตัวที่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงปรากฏออกมา
หลิ่วหมิงค่อยๆ หดรูม่านตาลง แต่กลับเปล่งภาษาโบราณออกมาอย่างไม่ลังเล
อักขระสีม่วงโบราณตัวที่สองหยุดนิ่งอยู่เหนือเกล็ดเช่นกัน อักขระสีม่วงโบราณตัวที่สามตามออกมาติดๆ……
เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้ เมื่ออักขระแต่ละตัวปรากฏออกมา หลิ่วหมิงก็รีบร่ายคาถาขึ้นมา
ไม่นาน อักขระสีม่วงโบราณเก้าตัวก็เรียงอยู่บนเกล็ดไม่ขยับเขยื้อน แต่นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้นอีก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็อ้าปากอ่านอักขระทั้งเก้าตัวออกมาในอึดใจเดียว ดูเหมือนมันจะเป็นเคล็ดวิชาชนิดหนึ่ง
“เพล้ง!”
พอเขาอ่านพยางค์สุดท้ายจบ อักขระสีม่วงโบราณทั้งเก้าตัวก็สลายไปพร้อมกัน แต่กลับมีเสียงดังมาจากบาทายักษ์ตรงหน้าเบาๆ
แม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่ไม่รู้ทำไมถึงทำให้หัวใจหลิ่วหมิงเต้นตามจังหวะของมัน
หลิ่วหมิงรีบถอยออกไปสองสามก้าวด้วยความตกใจ
แต่เพียงไม่กี่อึดใจ ก็มีเสียงมาจากบาทายักษ์ ซึ่งดูเหมือนจะดังกว่าเมื่อครู่
และหัวใจหลิ่วหมิงก็เต้นตาม
ครั้งนี้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
มีเสียงดังออกจากบาทายักษ์ และยิ่งดังและเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามีหัวใจแข็งแกร่งดวงหนึ่งค่อยๆ ฟื้นคืนชีพขึ้นมา
ผ่านไปไม่นาน ก็มีเสียง “ตึกตัก!” ดังก้องไปทั่วแท่นบูชา
หลิ่วหมิงเอามือแนบอกด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง
ตอนนี้หัวใจของเขา เต้นตามจังหวะเสียงที่ดังมาจากบาทายักษ์ แม้ว่าจะกระตุ้นพลังเวทย์ควบคุมอย่างสุดฤทธิ์ ก็ได้ผลไม่มากนัก
ขณะนี้ ทุกครั้งที่หัวใจเขาเต้น ล้วนทำให้โลหิตพวยพุ่งขึ้นมา และรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
“แย่แล้ว!”
หลิ่วหมิงหมุนตัวอย่างไม่ลังเล และพุ่งออกไปจากแท่นบูชา
แม้เขาไม่รู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ กับบาทายักษ์ แต่เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด ควรอยู่ห่างไว้จะดีที่สุด
แต่ขณะนั้นเอง เสียงที่ดังมาจากบายักษ์ก็หยุดลงโดยฉับพลัน จากนั้นไหมสีเงินจำนวนมากก็ปรากฏออกมาจากเกล็ดสีดำแผ่นนั้น พอมันรวมตัวเข้าด้วยกันแล้ว ก็กลายเป็นดวงตาสีเงินขนาดเท่าไข่ไก่ใบหนึ่ง ดวงตานี้จ้องมองหลิ่วหมิง และเปล่งประกายแสงสีเงินออกมา
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกว่าอากาศรอบด้านหนาแน่นขึ้น แรงดึงดูดมหาศาลม้วนตัวออกจากหลัง พริบตาเดียวก็ดึงร่างของเขากลับไป
สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
พอเขาหันหน้ากลับไป ก็พบว่าบนเกล็ดมีดวงตาสีเงินเพิ่มขึ้นมาอีกดวงหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกหนักใจมากกว่าเดิม
เขาตะโกนออกมาโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก พอมือทั้งสองกำแน่น ร่างของเขาก็หนักอึ้งขึ้นมา จากนั้นร่างของเขาก็หยุดชะงักลง พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น กระบี่สั้นสีทองก็ปรากฏออกมา และฟันออกไปด้านหลังอย่างรุนแรง
“ฉับ!”
พอแสงสีทองเปล่งประกายออกมา พลังไร้รูปก็ถูกฟันจนขาด
หลิ่วหมิงดีใจมาก เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวเพื่อที่จะทะยานออกไป
แต่ขณะนั้นเอง กลับมีเสียงดัง “ตู๊ม!” เกล็ดทั่วบาทายักษ์ลุกขึ้นมาพร้อมกัน และเปล่งประกายแสงสีเงินออกมา จากนั้นดวงตาสีเงินก็ปรากฏบนเกล็ดแต่ละแผ่น ซึ่งมีทั้งหมดราวๆ สามสี่ร้อยดวง และจ้องมองมาที่หลิ่วหมิงทั้งหมด
หลิ่วหมิงหันมาเจอกับฉากเช่นนี้ ย่อมรู้สึกเสียวสะท้านขึ้นมา อสรพิษหมอกดำที่หมุนวนรอบตัว กลายเป็นไอดำม้วนร่างเขาไว้และพาเขาจากไป พอเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็ออกไปไกลร้อยกว่าจั้ง
ขณะที่เขารู้สึกโล่งใจ และคิดว่าตนเองปลอดภัยแล้วนั้น แสงสีเงินก็เปล่งประกายในดวงตาบนบาทายักษ์ จากนั้นมันก็พ่นไหมสีเงินออกมา เพียงแค่สั่นไหวไม่กี่ที ก็จมหายไปในอากาศบริเวณนั้น
ครู่ต่อมา มีคลื่นสั่นไหวรอบตัวหลิ่วหมิง ไหมเงินจำนวนหลายร้อยเส้นพุ่งยิงออกจากอากาศ และเจาะม่านแสงที่ห่อหุ้มร่างเขาไว้ จากนั้นก็รัดพันไว้อย่างแน่นหนา ก่อนที่จะดึงเขากลับไปยังแท่นบูชา
หลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชาอย่างบ้าคลั่ง แต่พริบตาที่ถูกไหมเงินรัดพันไว้นั้น พลังเวทย์ในร่างก็หยุดชะงักลง ขณะเดียวกันพลังไม่ทราบชื่อบางอย่างก็พุ่งเข้าไปในร่างเขา ทำให้มือเท้าทั้งสี่อ่อนเปลี้ยขึ้นมา ราวกับว่าไม่มีแรงยกขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
ใจหลิ่วหมิงร่วงหล่นลงไป!
ขณะเดียวกัน หลังจากดวงตาปีศาจบนบาทายักษ์พ่นไหมเงินออกมาแล้ว โซ่อาญาสิทธิ์ที่จมเข้าไปในร่างกว่าครึ่งหนึ่ง ก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา
จากนั้น สีของโซ่ก็เปลี่ยนเป็นเจ็ดสี พร้อมกับปล่อยเปลวเพลิงสีทองจางๆ ออกมา และรัดแน่นขึ้นมาทันที
เมื่อถูกโซ่อาญาสิทธิ์เจ็ดสีรัดแน่น บวกกับเปลวเพลิงสีทองที่เผาไหม้ ดวงตาหลายร้อยลูกก็เปล่งประกายออกมา พร้อมส่งเสียงดัง “ซิ้วๆ!” และหดลงอย่างรวดเร็ว
และในขณะเดียวกัน มีรอยร้าวสีเงินปรากฏตรงใต้บาทายักษ์ พอมันแยกออกจากกัน ปากขนาดเท่าอ่างล้างหน้าที่มีไอดำพวยพุ่ง ก็อ้าไปทางหลิ่วหมิงที่ถูกไหมเงินดึงเข้ามา
พอหลิ่วหมิงเห็นเหตุการณ์แปลกประหลาดบนแท่นบูชา กับปากขนาดเท่าอ่างล้างหน้าที่อ้าออกมา ก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ร่างกายถูกควบคุมไว้ จึงทำได้แต่มองดูตนเองถูกดึงไปยังแท่นบูชา
เขาคิดไปมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่กำลังถูกดึงเข้าใกล้บาทายักษ์นั้น ก็กัดฟันพยายามพ่นตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งที่อยู่ในร่างออกมา
ตามที่เขาคิดไว้ หากปล่อยพลังที่แฝงอยู่ในตัวอ่อนกระบี่ออกมาทั้งหมด คงเป็นวิธีการเดียวที่สามารถทำร้ายบาทายักษ์นี้ได้
และเพียงแค่เขาสามารถผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ โซ่อาญาสิทธิ์เจ็ดสีเหล่านั้น คงจะสยบบาทายักษ์นี้ได้อีกครั้ง
ในขณะนั้นเอง ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างแปลกประหลาด ก็ออกมาจากร่างหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา พอส่งพลังจิตกวาดดูในร่าง กลับค้นพบว่า มีฟองอากาศแวววาวขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารปรากฏอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ และขณะที่ค่อยๆ เปล่งประกายออกมานั้น ความรู้สึกกระหายอย่างรุนแรงก็พุ่งออกมา เป้าหมายคือบาทายักษ์ที่ถูกผนึกอยู่บนแท่นบูชา
หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ขณะที่กำลังคิดจะทำอะไรบางอย่างนั้น ฟองอากาศลึกลับในทะเลจิตวิญญาณก็ค่อยๆ หมุนวนขึ้นมา
“ฟู่!”
ไหมเงินที่รัดพันร่างหลิ่วหมิงอยู่ เผาไหม้ท่ามกลางเปลวเพลิงสีดำอันพวยพุ่ง และกลายเป็นควันสีดำก่อนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
และพอไม่มีไหมเงินเหล่านี้ ร่างที่ถูกดึงเข้ามาก็หยุดชะงักลง พลังเวทย์กับแขนขาทั้งสี่กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
และในขณะเดียวกัน ดวงตาสีเงินนับร้อยดวงบนบาทายักษ์ที่ถูกเปลวเพลิงสีทองเผาไหม้ ก็สลายไปพร้อมกับไหมเงิน แต่ภายใต้การบีบรัดของโซ่อาญาสิทธิ์เจ็ดสี บาทายักษ์กลับดิ้นรนอย่างสุดชีวิต
ปากขนาดเท่าอ่างล้างหน้าตรงฝ่าเท้า ก็อ้าปากพ่นไอดำออกมามากขึ้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจระคนดีใจเป็นอย่างมาก
ที่แท้ฟองอากาศลึกลับ ก็มีความเกี่ยวข้องกับอวัยวะของปีศาจยักษ์ที่ถูกผนึกอยู่!
แต่ครู่ต่อมา ปากขนาดใหญ่ตรงฝ่าเท้า ก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาด พอมีเสียงดัง “ฟู่!” ลำแสงสีดำก็ถูกพ่นออกมา มันพุ่งเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิงที่อยู่ห่างออกไปร้อยจั้ง และทะลักเข้าไปในฟองอากาศลึกลับตรงทะเลจิตวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่า มีแสงสว่างปรากฏตรงหน้า หูทั้งสองดัง “หวึ่ง!” ขึ้นมา จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดลง
ปากขนาดใหญ่ยังคงพ่นลำแสงสีดำใส่ร่างหลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด บาทายักษ์ก็หดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็ว และเริ่มเหี่ยวแห้งเล็กน้อย
และในขณะเดียวกัน โซ่อาญาสิทธิ์เจ็ดสีเหล่านั้นกลับส่งเสียงดังหวึ่งๆ และปล่อยเปลวเพลิงสีทองออกมามากกว่าเดิม ราวกับว่าทั่วทั้งแท่นบูชา กลายเป็นทะเลเพลิงสีทองไปในพริบตา
……
พอหลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ก็สังเกตดูรอบๆ ด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
ตอนนี้เขามาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าอันลึกลับอีกครั้ง
ห้องนี้แตกต่างจากครั้งก่อนไม่มากนัก
พอหลิ่วหมิงสังเกตดูรอบหนึ่งแล้ว ก็หาที่นั่งขัดสมาธิลงไปอย่างไม่ใส่ใจ และเริ่มคิดไตร่ตรองถึงเรื่องที่เพิ่งเผชิญมา
ที่เขาถูกดึงเข้ามาในห้องว่างเปล่านี้ จะต้องมีความสัมพันธ์กับลำแสงสีดำที่บาทายักษ์พ่นออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย! แม้พริบตาที่เขาสัมผัสโดนลำแสงนี้ จิตของเขาจะถูกดึงเข้ามาในห้องว่างเปล่า แต่พลังจิตของเขายังรับรู้ได้ถึงไอปีศาจอันน่ากลัวที่แฝงอยู่
หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ดูจากการถูกฟองอากาศลึกลับกลืนกินพลังเวทย์ในหลายครั้งก่อน กับเรื่องมือยักษ์ค้ำฟ้าที่หายไป คิดว่าเงื่อนไขที่เขาถูกดึงเข้ามาในห้องว่างเปล่า คงเป็นเพราะพลังที่ถูกดูดกลืน
และทุกครั้งที่ฟองอากาศลึกลับดูดกลืนพลัง ก็จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในห้องว่างเปล่านี้ ซึ่งมันอาจเกี่ยวข้องกับการดูดกลืนพลังที่แตกต่างกัน
……………………………………