ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 329 การเปลี่ยนแปลงของหัวปีศาจ
ตอนอยู่ในแดนลึกลับที่เชื่อมต่อกับชั้นหกของเจดีย์กักปีศาจ หัวบินได้กลืนกินขี้เถ้าของบาทาปีศาจยักษ์ในสมัยบรรพกาลไป หลังจากนั้นก็หลับอยู่ในถุงหนังจนถึงวันนี้
ระหว่างเวลานี้ หลิ่วหมิงก็เคยพยายามใช้พลังจิตติดต่อกับมัน แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบสนองกลับมาเลย
ต่อมาเขาใช้จิตกวาดดูในถุงหนัง ถึงค้นพบว่าหัวปีศาจตนนี้ เพียงแค่หลับสนิทไปเท่านั้น และไม่ได้เป็นอะไรมาก เขาจึงรู้สึกวางใจขึ้นมา
เพราะเหตุการณ์เดียวกันนี้ ก็เคยเกิดขึ้นกับแมงป่องกระดูกหลายครั้ง
ครั้งนี้กลับมีเสียงดัง “หวึ่งๆ” มาจากถุงหนัง ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก และแสดงสีหน้าเบิกบานใจโดยไม่รู้ตัว
หลิ่วหมิงเลิกให้ความสนใจกับการถูของเหลวจิตวิญญาณบนตัว และตบลงบนถุงหนังทันที
กลุ่มแสงสีดำพุ่งออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็มีเสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังขึ้น ศีรษะผู้ชายที่มีผมสีเขียวปรากฏขึ้นกลางอากาศ
มันคือหัวบินที่หลับไปเกือบสองปีนั่นเอง!
เพียงแต่ตอนนี้ ร่างของมันมีไอดำจางๆ ปรากฏออกมา
พริบตาที่หัวบินปรากฏออกมา ทะเลจิตวิญญาณของหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ สั่นไหว
ซึ่งเหมือนกับตอนที่เข้านิกายหยวนหมัวครั้งแรก และเดินผ่านเขาปีศาจยักษ์ที่กลายร่างมาจากหัวปีศาจในสมัยบรรพกาลตนนั้น
แม้มันจะเกิดขึ้นแค่ประเดี๋ยวเดียว แต่ก็ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
เมื่อเขาสงบจิต และสังเกตดูหัวบินแล้ว ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
อย่างที่รู้ว่า ตอนที่ได้หัวปีศาจตนนี้จากการทดสอบความเป็นความตายนั้น หลิ่วหมิงใช้พลังจิตสื่อสารกับมัน ก็รู้ว่าแต่เดิมมันเป็นหัวปีศาจระดับสี่ และมีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นต้นนั่นเอง
สมัยก่อนมันต่อสู้กับศัตรูจนได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นระดับของมันก็ร่วงลงมาอยู่ที่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย
เพื่อที่จะค่อยๆ ทำให้มันฟื้นกลับมาที่ระดับของเหลว กุยหรูฉวนและคนอื่นๆ ได้ผนึกมันมาโดยตลอด โดยไม่ปล่อยมันออกมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ก่อนการประลองใหญ่ของนิกาย ก็ได้ทุ่มอย่างสุดตัว เพื่อที่จะกอบกู้ตำแหน่งของสาขาเก้าทารกในนิกาย จึงได้มอบโซ่สยบปีศาจที่ทำมาจากเหล็กแสงเย็นทะเลลึกให้กับศิษย์พี่สือชวน
ตอนที่หลิ่วหมิงยังไม่ได้เข้าสู่ระดับของเหลว หัวบินก็ทำการต่อสู้กับศัตรูได้อย่างดีเยี่ยม อีกอย่างด้วยระดับการฝึกฝนของหลิ่วหมิงในตอนนั้น ก็ไม่เคยค้นพบอะไรที่ไม่เหมาะสม
พลังระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายของหัวบิน ออกจะมีอุปสรรคเล็กน้อยสำหรับหลิ่วหมิงในตอนนี้
แต่หลิ่วหมิงก็ยังรอคอยพลังที่มีศักยภาพในอนาคตของมันมาโดยตลอด
ติดอยู่ที่ผลึกปีศาจที่สามารถช่วยมันฟื้นคืนได้นั้น หาได้ยากมาก แม้ว่าผลึกปีศาจที่ได้มาจากนิกายหยวนหมัว จะถูกหัวปีศาจกลืนกินไปหมดแล้ว แต่หลิ่วหมิงยังไม่ค่อยมั่นใจว่า จะสามารถฟื้นฟูระดับของหัวบินได้
กลิ่นไอที่หัวบินแผ่ออกมาในตอนนี้เป็นของระดับของเหลวที่แท้จริง ทั้งยังดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ขั้นต้นด้วย
นี่ก็สามารถพูดได้ว่า อาการบาดเจ็บที่มันได้รับในก่อนหน้านั้น ได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็นหัวปีศาจระดับสี่ที่แท้จริง แล้วจะไม่ให้หลิ่วหมิงดีใจได้อย่างไร
ขณะนั้นเอง มีเสียงฟ้าร้องดังแว่วๆ มาจากอากาศที่อยู่ไกลๆ
แม้เขาจะอยู่ในส่วนลึกของไหล่เขา แต่เสียงนี้ดูไม่เหมือนเสียงฝนตกฟ้าร้องทั่วไป
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
พอแหงนหน้าขึ้น กลับพบว่ามีเปลวเพลิงสีแดงลุกไหม้อยู่ในดวงตาของหัวปีศาจ มันแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา และเปลี่ยนเป็นสีหน้าดุร้ายในทันที
“ดูท่าคงถึงคราวโชคดีของเจ้าแล้ว คงเป็นผลลัพธ์จากการกลืนกินขี้เถ้าของบาทาปีศาจยักษ์สินะ”
หลิ่วหมิงใช้จิตสื่อสารกับหัวบิน หลังจากได้รับการตอบรับแล้ว ความหวาดระแวงก็หายไปจนหมดสิ้น สีหน้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
ตอนอยู่ในนิกายปีศาจ หลิ่วหมิงเคยอ่านเจอในคัมภีร์ว่า ปีศาจอสูรบางชนิดก็สามารถบรรลุขั้นได้เหมือนมนุษย์
เดิมทีการฝึกฝนก็ต้องฝืนชะตาฟ้า ถึงจะรอดจากปากเหยี่ยวปากกาได้
และพวกภูตผีปีศาจฝึกฝนยากลำยากกว่ามนุษย์มาก และจะนำมาซึ่งด่านเคราะห์ สวรรค์เมื่อพวกมันเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือบรรลุขั้น
และด่านเคราะห์สายฟ้าเป็นสิ่งที่พบเจอได้บ่อยมาก
เป็นถึงการทดสอบจากฟ้า คนรอบข้างไม่อาจยื่นมือช่วยได้
แต่เขาสามารถวางค่ายกล และปกป้องมันในขณะผ่านด่านได้บ้างเล็กน้อย
“ไป!”
หลิ่วหมิงไม่ลังเลอีกต่อไป เขากลายป็นลำแสงสีขาวพุ่งออกไปทางปากถ้ำ หัวบินที่อยู่ด้านหลังก็ตามติดออกไป
คิดจะหลบสายฟ้าสวรรค์อยู่ในไหล่เขาเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ถ้ำจะถูกทำลายโดยสายฟ้าสวรรค์เท่านั้น ห้องหินก็แคบเกิน ไม่เหมาะกับการผ่านด่านเคราะห์ของหัวบิน
ไม่นาน หลิ่วหมิงกับหัวบินก็มาถึงสถานที่ที่ค่อนข้างราบเรียบแห่งหนึ่ง
พายุพัดกระหน่ำกลางอากาศ มีเมฆดำปรากฏอยู่เหนือถ้ำ สายฟ้าเปล่งประกายอยู่ในก้อนเมฆ ราวกับว่าจะฟาดฟันลงมาได้ทุกเมื่อ
หลิ่วหมิงหยิบธงค่ายกลออกจากยันต์เก็บของโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากปักลงรอบๆ บริเวณที่หัวบินอยู่แล้ว ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว จากนั้นธงค่ายกลก็หายไปอย่างรวดเร็ว
อักขระสีแดงจางๆ ปรากฏออกมาตามคลื่นที่สั่นสะเทือน และกลายเป็นม่านแสงสีแดงปกคลุมหัวบินไว้ อุณหภูมิด้านนอกสูงจนอากาศดูบิดเบี้ยวขึ้นมา
“ค่ายกลเมฆอัคคีชุดนี้ ซื้อมาจากผู้ฝึกฝนอิสระคนหนึ่งเมื่อครึ่งปีก่อน มันควบคุมพลังสายฟ้าได้เล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ใช้มัน”
เมื่อหลิ่วหมิงกล่าวจบ ก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณตรงเอวอีกครั้ง พอแสงสีดำม้วนตัวผ่านไป แมงป่องกระดูกก็ปรากฏออกมา
“ครั้งนี้เป็นเจ้า ที่ต้องคอยเฝ้าอยู่ที่นี่แล้ว” หลิ่วหมิงสั่ง
แมงป่องกระดูกฟังจบ ก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมา มันยืนมั่นอยู่ห่างจากม่านแสงสีแดงสามจั้งด้วยท่าทีระแวดระวัง
เทือกเขาแห่งนี้อยู่ห่างจากผู้คนมาก อีกอย่างปราณฟ้าดินก็ไม่เพียงพอ แม้โดยปกติจะไม่มีผู้ฝึกฝนผ่านมาบริเวณนี้ แต่ปรากฏการฟ้าดินที่เกิดขึ้น สามารถล่อปีศาจอสูรบางส่วนที่อยู่บริเวณนี้ได้
และในขณะที่หัวบินผ่านด่าน ย่อมต้องหลีกเลี่ยงการรบกวนจากภายนอก
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว หลิ่งหมิงก็ขยับตัว จากนั้นไอดำก็พุ่งขึ้นใต้เท้า และประคองเขาพุ่งขึ้นฟ้าไป
เมฆดำกลางอากาศรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นสายฟ้าสีเงินก่อตัวขึ้นมา เมฆดำเริ่มพวยพุ่ง สายฟ้าสีเงินแต่ละเส้นตกลงจากท้องฟ้า
สายฟ้าพุ่งมาทางหัวบิน ขณะที่โจมตีใส่ม่านแสงสีแดงนั้น ก็บังเกิดเสียงดังขึ้น อักขระเคลื่อนไหวอยู่มนม่านแสงสีแดง เมื่อสายฟ้าจำนวนมากพุ่งผ่านไป มันก็แตกกระจายออกมาเป็นจุดแสงก่อนที่จะสลายไป
หัวบินที่อยู่ในค่ายกลค่อยๆ แหงนหน้าขึ้นมา พอปากขนาดใหญ่อ้าออกแล้วหุบลง สายฟ้าสีเงินก็ถูกไอสีเขียวที่มันพ่นออกมาปกคลุมไว้ จากนั้นก็กลืนกินลงไป
หัวบินส่งเสียงประหลาดออกมา ราวกับว่ากำลังยั่วยุเมฆบนอากาศ
หลิ่วหมิงอยู่กลางอากาศห่างจากเมฆราวๆ สิบแปดสิบเก้าจั้ง เขาคอยระมัดระวังพื้นที่บริเวณเทือกเขาอยู่ ขณะเดียวกันก็มองเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนพื้น และก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
ไม่นาน เมฆดำกลางอากาศก็พวยพุ่งอีกครั้ง ขนาดของเมฆและจำนวนของสายฟ้าดูเหมือนจะลดลงไปมาก
พอมีเสียงดังขึ้น สายฟ้าสีเงินสามเส้นที่มีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้น ก็พุ่งลงไป
หัวบินเห็นเช่นนี้ ก็ไม่กล้ารีรออะไรอีก เส้นผมสีเขียวบนศีรษะพุ่งยิงขึ้นเต็มฟ้า และกลายเป็นตาข่ายที่แน่นขนัด เพื่อรับมือกับสายฟ้าทั้งสาม
พอตาข่ายสีเขียวสัมผัสกับสายฟ้า มันก็ส่งเสียงดังปังๆ ก่อนกลายเป็นขี้เถ้า ขณะเดียวกันพลังของสายฟ้าก็หมดลง และแตกกระเจิงไป
หัวบินเปลี่ยนเส้นผมสีเขียวที่เหลือให้กลายเป็นตาข่ายอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ เมื่อสายฟ้าทั้งสามพุ่งผ่านไป เส้นผมบนหัวของหัวบินก็เหลือไม่มากแล้ว
ยังไม่ทันที่หัวบินจะได้ตั้งตัว เสียงฟ้าร้องในเมฆดำก็ดังขึ้นกว่าเดิม ชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ก็ผสานกันเป็นเมฆสายฟ้ากลุ่มเล็กๆ
พริบตานั้น เสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้นมา สายฟ้าสีเงินขนาดเท่าปากถ้วยฟาดฟันออกไปอย่างบ้าคลั่ง และพุ่งไปยังหัวบิน
ดูเหมือนว่าในสายฟ้าสีเงินจะมีแสงสีทองจางๆ ปะปนอยู่
สีหน้าของหัวปีศาจที่ดูสงบในก่อนหน้านั้น เปลี่ยนเป็นหวาดกลัวขึ้นมา แต่เปลวเพลิงที่ลุกไหม้ในดวงตา กลับคุโชนมากขึ้นกว่าเดิม ไอดำจางๆ บนตัวของมันรวมตัวเข้าด้วยกัน และพุ่งออกไปรับมือสายฟ้า
สายฟ้าพุ่งเข้าหาหัวบินอย่างอย่างไม่ลังเล พอเสียงดังเปรี้ยงปร้างพุ่งยิงออกไป สายฟ้าสีเงินเล็กๆ ที่มีแสงสีทองปะปนอยู่ ก็เคลื่อนไหวอยู่บนพื้นผิวของหัวบิน และผสานเข้ากับไอดำ จนทำให้ใบหน้าอัปลักษณ์ของหัวบินดูน่ากลัวยิ่งนัก มันส่งเสียงแปลกประหลาดออกมาอยู่ไม่หยุด ราวกับกรีดร้องอย่างโหยหวน
หลิ่วหมิงที่อยู่กลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่สามารถช่วยอะไรได้ แมงป่องกระดูกที่อยู่ห่างจากหัวบินสองสามจั้ง ก็อยู่เหมือนจะนั่งอยู่กับที่ไม่ติด
ในขณะนั้นเอง ฉากเหนือความคาดหมายก็ได้บังเกิดขึ้น!
ท่ามกลางการผสานกันของสายฟ้าสีเงินกับไอดำ หัวบินก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา
กระโหลกสีขาวสองใบ ผุดออกจากทั้งสองข้างของศีรษะอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ขยายจนมีขนาดเท่าศีรษะทารก และเขาโค้งสีขาว ก็ค่อยๆ โผล่ออกจากทั้งสองข้างของศีรษะเช่นกัน
สายฟ้าสีเงินกับไอดำค่อยๆ ก่อตัวเป็นระลอกคลื่นสองสามแห่ง ไม่นานก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีเงินหกสาย และจมหายเข้าไปในศีรษะทั้งสาม
ในที่สุดหัวบินก็บรรลุขั้นสำเร็จ!
หลังจากบรรลุขั้น หัวบินก็กลายเป็นหัวปีศาจระดับห้าแล้ว ตามหลักแล้ว มีพลังเทียบเท่ากับระดับของเหลวขั้นกลาง แต่จากการที่มันกลืนกินขี้เถ้าของบาทาปีศาจยักษ์ในสมัยบรรพกาล พลังของมันจึงแข็งแกร่งมาก คงไม่ด้อยไปกว่าระดับของเหลวขั้นปลาย
หัวบินฟื้นคืนกลับมา ทั้งยังบรรลุขั้นสองขั้นติดต่อกัน สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตื่นเต้นไม่หยุด ขณะเดียวกัน ก็แอบตัดสินใจนำหัวปีศาจตนนี้ เข้าร่วมแผนการฝึกร่างของเขา
……
“พี่หมิง เป็นท่านจริงๆ ด้วย!”
สามปีต่อมา นอกนิกายจันทราสวรรค์ที่อยู่ในแคว้นต้าเสวียน ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเขียวยืนอยู่บนเรือกลเหาะ และกำลังจะสอบถามอะไรบางอย่างกับศิษย์ที่เฝ้าประตูนิกาย แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็มีเสียงไพเราะของผู้หญิงดังมาจากด้านหลัง
“เจ้าคือ……หรูผิง!”
หญิงสาวใบหน้างดงาม อายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี สวมชุดศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ กำลังลอยอยู่กลางอากาศ ซึ่งห่างจากเขาไปไม่ไกล นางกำลังจ้องมองเขาด้วยสีหน้าดีใจ ซึ่งนางก็คือเฉียนหรูผิง ที่จากกันตอนอยู่ในเมืองหลวงของแคว้นต้าเสวียนนั่นเอง
เจ้าหนูน้อยในปีนั้น วันนี้ได้กลายเป็นหญิงงามนางหนึ่ง ทำให้หลิ่วหมิงเกือบจะจำไม่ได้
นางคุยกับหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ สองสามประโยค จากนั้นก็เหาะมาทางเรือเหาะ และกระโดดไปยืนอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง
ที่แท้ก่อนหน้านั้นไม่นาน หลิ่วหมิงได้รับข่าวจากเย่เทียนเหมยว่า ช่วยเขาหาเบาะแสของอาวุธจิตวิญญาณที่ช่วยควบคุมการถูกชิงร่างได้แล้ว จึงได้เรียกเขามาพูดคุย
หลังจากเขาคิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้ว ก็รีบมานิกายจันทราสวรรค์ทันที คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันจะเข้าประตูนิกาย ก็พบกับคนคุ้นเคย
……………………………………