ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 331 ออกทะเล
หลายปีมานี้ แม้หลิ่วหมิงจะบรรลุขั้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ฝนระดับต่างๆ ในนิกายปีศาจตื่นตระหนกตกใจ แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งระดับอาจารย์อาเยี่ยน และเย่เทียนเหมยยังมองเขาด้วยสายตาที่น่าทึ่ง
แต่เรื่องที่เกือบถูก ‘ตนเอง’ อีกคนชิงร่างไปนั้น รบกวนจิตใจเขามาโดยตลอด
พอนึกถึงใบหน้าขนาดยักษ์ที่พบเจอในห้องว่างเปล่าลึกลับกับไหมดำที่ปรากฏในทะเลจิตรับรู้ เขาก็รู้สึกเหมือนมีก้างมาติดคอ
เพราะหากหาวิธีจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ ต่อให้ระดับการฝึกฝนของเขาจะสูงแค่ไหน ท้ายสุดแล้วก็ต้องเป็นของคนอื่นอยู่ดี
แม้ว่าหลังจากช่วยให้จางซิ่วเหนียงออกจากโลกมายาที่แมลงพาฝันสร้างขึ้นได้แล้ว เขาจะได้รับยันต์พิเศษที่มีผลช่วยควบคุมการถูกชิงร่างจากเย่เทียนเหมยมาสามผืน หลายปีมานี้ก็ติดตัวไว้ตลอดเพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด แต่หลิ่วหมิงก็รู้ดีว่า มันเป็นแค่แผนที่ใช้รับมือไปพลางๆ เท่านั้น
ประการแรกคือ ยันต์เหล่านี้ใช้ได้แค่ครั้งเดียว ดูจากที่เขาฝันประหลาดในครั้งก่อน เงาดำที่คุกคามเขาดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่เงาเดียว
ประการที่สอง เขาไม่ค่อยมั่นใจว่าอานุภาพของยันต์เหล่านี้ จะสามารถรับมือกับผู้ชิงร่างได้มากน้อยแค่ไหน แต่ในสถานการณ์ที่ไม่มีวิธีการอื่น ก็ต้องลองใช้ชั่วคราวก่อน
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และรู้สึกหนักใจโดยไม่รู้ตัว ผ่านไปสักพักถึงทำสีหน้าครุ่นคิดออกมา สายตาตกลงบนตัวเย่เทียนเหมยอีกครั้ง
“ดูท่าศิษย์หลานจะตัดสินใจได้แล้ว” เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ ก็เลิกคิ้วแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ใช่แล้ว! อาจารย์อาเย่ แม้จะบอกว่าการเดินทางในครั้งนี้ ไม่รู้จะมีอันตรายหรือไม่ แต่ผู้น้อยจำเป็นต้องได้อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้มา ดังนั้นย่อมไม่เสียดายค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น
“อืม! ศิษย์หลานหลิ่วมีปณิธานหนักแน่นเช่นนี้ ข้าย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ แต่อันตรายของการเดินทางในครั้งนี้ อาจจะเหนือความคาดหมายของเจ้าก็ได้” พอเย่เทียนเหมยได้ยิน ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็กล่าวชมเชยหลิ่วหมิง
“ขออาจารย์อาเย่โปรดให้ความกระจ่าง” หลิ่วหมิงป้องมือไปทางเย่เทียนเหมย และกล่าวอย่างนอบน้อม
“เจ้าก็รู้ว่าหลังจากทำศึกกับเผ่าเจ้าสมุทรเมื่อหลายปีก่อน มนุษย์ในแผ่นดินอวิ๋นชวนก็ก่อตั้งพันธมิตรอวิ๋นชวนขึ้นภายใต้การชี้แนะของหยวนหมัว เพื่อให้นิกายใหญ่รวมตัวกัน เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งในอนาคต จะได้มีทางหนีทีไล่ในการรับมือศัตรู ตอนนี้การคัดเลือกหกศิษย์ได้สิ้นสุดลงแล้ว พันธมิตรก็ได้วางแผนใช้ทรัพยากรจากทั่วทั้งอวิ๋นชวนมาบ่มเพาะอย่างไม่เสียดาย และการเตรียมการในก่อนหน้านั้นก็เกือบสำเร็จแล้ว แต่ทรัพยากรในแผ่นดินอวิ๋นชวนขาดแคลนมากจริงๆ วัตถุที่สำคัญยังขาดแคลน และไม่อาจรวบรวมมาได้”
หลิ่วหมิงฟังโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
เพราะเขารู้ดีว่า ในเมื่อเย่เทียนเหมยเอ่ยปากถึงเรื่องนี้ นางจะต้องอธิบายให้เขาเข้าใจอย่างแน่นอน
เย่เทียนเหมยหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวต่อ
“หนึ่งปีก่อน ทางพันธมิตรเคยส่งกองกำลังจำนวนมากไปหาทรัพยากรตามเกาะต่างๆ ในทะเลชังไห่ ในนั้นมีคนผู้ดำเนินการของพันธมิตรสองคน นำหินจิตวิญญาณ จำนวนมากเข้าไปในเกาะตะพาบน้ำแห่งนี้ และซื้อทรัพยากรที่ต้องใช้เร่งด่วนจากกลุ่มอิทธิพลบนเกาะที่มีชื่อว่า ‘หุบเขาผลึก’ มาเป็นจำนวนมาก หลายเดือนก่อน เมื่อเขาส่งข่าวเกี่ยวกับการเตรียมประมูลขายอาวุธจิตวิญญาณของ ‘เหยียนเจวี๋ย’ ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธผู้นี้แล้ว ก็หายตัวไปโดยฉับพลัน และขาดการติดต่อกับทางพันธมิตรไปเลย”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย!” หลิ่วหมิงกรอกลูกตาไปมา และจ้องมองเย่เทียนเหมยต่อ
“ผู้ที่ถูกเลือกเป็นผู้ดำเนินการของพันธมิตร ย่อมมีระดับการฝึกฝนที่ไม่เบา อย่างน้อยก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว อีกอย่างเรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญมาก ผู้ที่ถูกส่งไปทำการค้าบนเกาะตะพาบน้ำทั้งสองคน คนหนึ่งเป็นอาจารย์จิตวิญญาณขั้นปลาย อีกคนเป็นอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลาง”
ขณะนี้ หลิ่วหมิงที่สุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยแล้ว
อย่างที่รู้ว่า ถึงแม้ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวจะไม่ได้มีน้อยเหมือนระดับผลึก แต่ก็เป็นส่วนสำคัญของนิกายต่างๆ ซึ่งไม่อาจดูเบาได้
ทั่วทั้งแผ่นดินอวิ๋นชวน หากวิ่งหนีด้วยพลังทั้งหมดล่ะก็ ในสถานการณ์ปกติไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเอาชีวิตไม่รอด นอกเสียจากว่าจะเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับผลึก
ในเมื่อพันธมิตรมอบหมายให้ผู้ดำเนินการทั้งสองไปทำเรื่องสำคัญเช่นนี้ คิดว่าทั้งสองจะต้องเป็นหนึ่งในบุคคลที่โดดเด่นอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางกับขั้นปลาย เดิมทีก็น่าจะรับรองได้ว่าไม่มีทางพลาดโดยเด็ดขาด แต่กลับหายตัวบนเกาะอย่างไร้ร่องรอย ทั้งยังไม่ทันได้ส่งข่าวอะไรกลับมา เช่นนี้ก็เห็นชัดว่าเกาะนี้อันตรายเป็นอย่างมาก
ขณะที่หลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ผู้ฝึกฝนระดับสูงในพันธมิตรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก กังวลว่าจะเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดกับพวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงส่งข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้บนเกาะ คาดหวังว่าจะหาเบาะแสของทั้งสองพบ เห็นแก่ที่เจ้าเสี่ยงอันตรายช่วยจางซิ่วเหนียงโดยไม่คิดชีวิตในปีนั้น และในเมื่อทางนั้นก็มีสิ่งที่เจ้าต้องการ ครั้งนี้ข้าจะพาเจ้าไปด้วย ส่วนจะประมูลมาได้หรือไม่นั้น ก็แล้วแต่โชคของเจ้าแล้ว ไม่ทราบว่าเจ้ายินยอมหรือไม่?” เย่เทียนเหมยยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม
“ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยต้องขอบคุณอาจารย์อาเย่แล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และดูเหมือนจะตอบรับอย่างไม่ลังเล
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ และมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกออกเดินทางไปด้วยกัน ย่อมไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องหวาดกลัว
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าออกไปก่อนเถอะ ครึ่งเดือนให้หลังค่อยออกเดินทาง พอถึงเวลาข้าจะส่งคนไปบอกเจ้า” เย่เทียนเหมยจ้องมองหลิ่วหมิง และโบกมือให้เขาก่อนกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงลุกขึ้นมาทันที หลังจากป้องมือคารวะเย่เทียนเหมยแล้วก็คำอำลา
ดูเหมือนเย่เทียนเหมยจะส่งเสียงมาสั่งหูชุนเหนียง ที่รออยู่นอกประตูห้องหินตั้งแต่แรกแล้ว พอเห็นหลิ่วหมิงเดินออกมา ก็พูดคุยกันสองสามประโยค จากนั้นก็พาไปยังที่พักชั่วคราวในนิกายจันทราสวรรค์
……
ภายในห้องหิน เย่เทียนเหมยที่สวมชุดสีเงินนั่งขัดสมาธิอยู่ ดวงตาทั้งคู่สว่างสุกใสราวดับดวงดาว นางแสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา
พริบตาที่หลิ่วหมิงเข้ามาห้องหินในตอนแรก กลิ่นไอกระบี่อ่อนๆ ที่เขาเคยสัมผัสได้ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังดูแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
ที่สำคัญก็คือ กลิ่นไอนี้ไม่ได้ขาดๆ หายๆ เหมือนครั้งนั้น
พอนางกระตุ้นเคล็ดวิชากวาดดูทั่วร่างหลิ่วหมิงอย่างเงียบๆ ก็มั่นใจว่ากลิ่นไอกระบี่นี้ มาจากร่างหลิ่วหมิงอย่างไม่ต้องสงสัย
ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีก
“ดูท่าเจ้าเด็กนี่คงจะดูลึกลับจริงๆ แม้จะยังไม่สามารถเกาะผนึกออกมาได้ แต่ก็คงจะชัดเจนบ้างแล้ว”
เย่เทียนเหมยหลับตาทั้งสองลง และนั่งเข้าฌานโดยไม่คิดอะไรอีก
……
หลิ่วหมิงถูกหูชุนเหนียงจัดให้พักอยู่ในหอที่สร้างติดกับเขาในนิกายจันทราสวรรค์ ตอนนี้เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง และกำลังครุ่นคิดเรื่องที่เย่เทียนเหมยพูดในวันนี้
โชคดีที่เขามีกระบี่จันทราทองคำที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด และมุกพลังวารีที่ผสมดินปราณทองคำบริสุทธิ์เม็ดนั้น บวกกับเกราะหนังมังกรที่มีพลังป้องกันอันน่าตกใจ ทั้งยังมีแมงป่องกระดูกกับหัวบินที่เข้าสู่ระดับของเหลวแล้ว มิเช่นนั้นการเดินทางไปเกาะตะพาบน้ำในครั้งนี้ คงต้องลำบากหน่อยแล้ว
แม้จะบอกว่าออกเดินทางกับผู้แข็งแกร่งอย่างเย่เทียนเหมย ด้วยการฝึกฝนระดับผลึกของนางที่ตะลุยไปทั่วอวิ๋นชวนได้อย่างอิสระ คงไม่ปล่อยให้เขาเสียชีวิตในระหว่างทาง แต่การเดินทางในชังไห่ไม่เหมือนกับในอวิ๋นชวน ลำพังแค่ดูจากข่าวที่รับมาจากเกาะตะพาบน้ำ บนนั้นมีหลากหลายเผ่า มีภัยปะปนอยู่ทุกที่ สิ่งเหล่านี้มีตัวแปรมากเกินไป
เพราะเทียนเหมยรับปากแค่พาเขาไปถึงเกาะ และนางเองก็มีภารกิจของพันธมิตรที่ต้องทำ คงไม่อาจอยู่ข้างกายเขาได้ตลอด
ในระยะเวลาสิบกว่าปีที่หลิ่วหมิงเหยียบเท้าเข้ามาในโลกของผู้ฝึกฝน ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่า ทุกเรื่องราวต้องพึ่งพาตนเอง
เรื่องที่ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกปิดทางเข้าแดนลึกลับก่อนกำหนดในการทดสอบความเป็นความตายในปีนั้น ยังเป็นภาพติดตาราวกับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ ยังสามารถกลับคำพูดได้ นับประสาอะไรกับการรักษาสัญญาล่ะ
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มคิดพิจารณาเรื่องการประมูลอาวุธจิตวิญญาณ ที่มนุษย์เผ่าอัคคีบริสุทธิ์ผู้นั้นสร้างขึ้นมา
ในเมื่อโซ่ตรวนสะกดวิญญาณที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางนั้น เป็นอาวุธจิตวิญญาณประเภทป้องกันที่พบเจอได้น้อยมาก ทั้งยังมีผลในการควบคุมการถูกชิงร่าง มูลค่าของมันสูงเช่นนี้ ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก ก็คงต้องตาร้อนเป็นผะผ่าว
ในเมื่อเป็นการประมูล ผู้ที่ให้ราคาสูงย่อมได้มันไป
แม้จะบอกว่าตนเองมีหินจิตวิญญาณที่สะสมไว้อยู่ แต่เทียบกับตระกูลใหญ่และกลุ่มผู้มีอิทธิพลแล้ว ไม่สามารถเทียบกันได้เลย
ดีที่ว่าในตอนนั้น เขาได้มุกพลังวารีจากแดนลึกลับที่เชื่อมต่อกับเจดีย์กักปีศาจมาอีกเม็ด ของล้ำค่าระดับนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ตามที่ผู้เชี่ยวชาญการประเมินค่าของหอหมื่นหลอมในเมืองเสวียนจิงกล่าวไว้ มันสามารถแลกหินจิตวิญญาณจำนวนมากได้อย่างไม่มีปัญหา
แม้กระทั่งหากไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ เขาก็ยังสามารถนำยันต์พลังผ้าเหลืองผืนนั้น หรือไข่เทพอสูรใบนั้นออกขายได้
แต่หากทำเช่นนั้นล่ะก็ เกรงว่าคงจะต้องเผชิญกับอันตรายไม่ใช่น้อย
เพราะของล้ำค่าทั้งสองอย่าง ต่างก็ได้มาจากผู้แข็งแกร่งระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทร ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันคงไม่ใช่สิ่งของไร้นาม และเกาะตะพาบน้ำก็มีเผ่าเจ้าสมุทรครอบครองอยู่ หากไม่อยากให้เป็นจุดสนใจมากนัก ย่อมต้องคิดอย่างรอบคอบ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เขาถึงถอนหายใจและหลับตาลง จากนั้นก็ทำการฝึกฝนอย่างเงียบๆ
เวลาสิบกว่าวันไปอย่างรวดร็ว
ในระหว่างเวลานี้ เฉียนหรูผิงก็มาหาหลิ่วหมิงอยู่บ่อยๆ
ส่วนเรื่องการออกทะเล หลิ่วหมิงก็ไม่คิดจะปิดบังนาง เพียงแค่กำชับไม่ให้บอกคนอื่นเท่านั้น และเขายังเล่าเรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินอวิ๋นชวนและทะเลชังไห่ให้ฟังเล็กน้อย ทำให้นางตื่นเต้น และประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังรู้สึกเป็นห่วงความปลอดภัยของหลิ่วหมิง
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก และรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
ดูเหมือนว่า เขาไม่ได้สัมผัสรสชาติของการที่มีคนเป็นห่วงมานานแล้ว
หูชุนเหนียงก็ปรากฏตัวครั้งหนึ่ง หลิ่วหมิงคุยกับนางสองสามประโยค และถือโอกาสสอบถามตำแหน่งของตลาดที่อยู่บริเวณนี้
เนื่องจากเป็นแขกที่มาจากภายนอก หลิ่วหมิงย่อมปฏิบัติตนอย่างว่านอนสอนง่าย ดูเหมือนว่าหลายวันนี้ เขาจะอยู่แต่ในหอ นอกจากออกไปซื้อสิ่งของบางอย่างที่ตลาดหนึ่งครั้งแล้ว ก็ไม่ได้ออกไปไหนอีกเลย
……
ครึ่งเดือนต่อมา เรือเหาะรูปกระสวยลำหนึ่งได้กลายร่างเป็นแสงสีขาว พุ่งออกไปจากนิกายจันทราสวรรค์ และมุ่งไปทางทิศตะวันออก
……………………………………