ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 334 โลหิตดำ
ด้านทิศตะวันตกของเกาะตะพาบน้ำ
เทือกเขาสีเขียวทอดยาวจากทิศตะวันตกไปยังทิศตะวันออก
ยอดเขายักษ์พุ่งสูงเสียดฟ้าที่ตั้งอยู่ในสถานที่บางแห่งของเทือกเขา สูงราวๆ หมื่นกว่าจั้ง แลดูโดดเด่น และใหญ่โตเป็นอย่างมาก
กลางไหล่เขาที่ไม่รู้ว่าลึกเท่าไหร่ ผนังรอบด้านล้วนเป็นหลุมเป็นบ่อ ทางแคบยาวคดเคี้ยวไปด้านหน้า ดูจากหน้าผาที่ลาดเอียงเล็กน้อย ทำให้เห็นว่าทางเดินทอดไปยังส่วนลึกของไหล่เขา ทางเดินยิ่งลึกลงไป หลุมบ่อที่อยู่บนผนังก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ
ท้ายสุดแล้ว ผนังทั้งสองข้างก็เหลือเพียงร่องรอยร้อยกว่าแห่งที่ดูเหมือนถูกขุดขึ้นมา
ผนังหน้าผาทั้งสองข้าง เริ่มมีจุดแสงสีเขียวจางๆ ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารปรากฏออกมา แลดูคล้ายกับดวงดาวสีเขียว ทางเดินดูเหมือนตลบอบอวลไปด้วยไอสีเขียว
เสียงโลหะกระทบกัน และเสียงโลหะเคาะตีหินผา ก็เริ่มดังขึ้นมา
ที่แท้สถานที่แห่งนี้ก็เป็นสายแร่ผลึกหินตามธรรมชาติที่หาได้ยาก และซ่อนอยู่กลางไหล่เขา
จุดสิ้นสุดของทางเดินบางแห่ง มีคนงานเหมืองแร่สวมใส่เสื้อผ้าขาดๆ หลายสิบคน พวกเขากำลังถือเสียมที่ทำจากโลหะสีดำขุดแร่อย่างเงียบๆ มีเศษหินกลิ้งอยู่บริเวณเท้าตลอดเวลา ดูเหมือนว่าพวกเขาส่วนมากจะเป็นมนุษย์ และก็มีมนุษย์อสูร และเผ่าอื่นๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ด้วย ในกลุ่มมนุษย์ดูเหมือนจะมีคนแต่งกายเป็นผู้ฝึกฝน แต่กลับไม่มีกลิ่นไอพลังจิตวิญญาณแผ่ออกจากตัวเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังขึ้นมา คนงานเหมืองแร่ที่เป็นมนุษย์และสวมชุดผู้ฝึกฝนคนหนึ่งล้มไปกับพื้นไม่ขยับเขยื้อน
และคนงานที่อยู่ด้านข้าง ไม่มองดูเขาเลยแม้แต่น้อย ยังคงทำงานต่อราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ
……
และในขณะเดียวกัน สถานที่บางแห่งของเมืองหนานกู่ที่อยู่ทางด้านใต้ของหุบเขาผลึก ในวิหารหินขนาดสูงใหญ่ที่สร้างจากหินขนาดยักษ์ที่ไม่ทราบชื่อ
เงาร่างสูงใหญ่สวมชุดคลุมยาวสีม่วงอ่อน กำลังหันหลังให้กับคนต่างเผ่าที่ดูเหมือนจะเป็นองครักษ์ เขานำแผ่นหยกสีขาวติดหน้าผาก ดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมา ทำให้เห็นว่าเขาเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึก
ผ่านไปนานสองนาน เขาถึงนำแผ่นหยกออกมา
“ทางหุบเขากระตุ้นทาสเหมืองแร่ให้ทำงานหนักอีกแล้ว ช่วงนี้ค่อนข้างถี่ไปหน่อย เจ้าไปที่คุกจิตวิญญาณสักครา นำผู้ที่หาเรื่องตีกันในตลาดมาทำลายการฝึกฝน และคุมตัวไปรายงานที่หุบเขาซะ” เงาร่างสูงใหญ่ขยี้แผ่นหยกจนแตกละเอียด และค่อยๆ กล่าวออกมา น้ำเสียงดูแก่หง่อมเป็นอย่างมาก
“ทราบ ผู้อาวุโส!” องครักษ์ตอบรับแล้วก็ถอยออกมา จากนั้นก็ไปดำเนินการตามคำสั่ง
เงาร่างที่สวมชุดคลุมสีม่วงยังคงยืนหันหลังให้เช่นเดิม ดูเหมือนเขากำลังคิดอะไรอยู่
……
“อาจารย์อาเย่ เมืองด้านหน้าคงเป็นเมืองกู่หนานแล้ว”
บนเรือรูปกระสวย หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีเทาทั้งตัวกำลังยืนอยู่ตรงส่วนหน้าของเรือ และมองออกไปไกลๆ ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมากล่าว
เย่เทียนเหมยที่สวมชุดสีขาวทั้งตัว กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงท้ายของเรือเหาะ เพื่อทำการพักผ่อน พอได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ นางก็เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ ราวกับคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่กล่าวอะไรออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มให้เล็กน้อย จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปมองด้านหน้าต่อ ในระยะเวลาหลายวันนี้ ดูเหมือนเขาจะคุ้นเคยกับท่าทีไม่สนใจใยดีของเย่เทียนเหมยแล้ว
พวกเขาจากท่าเรือในเมืองเล็กๆ แห่งนั้นมาได้ครึ่งเดือนกว่า และจากการสอบถามในระหว่างทาง ทำให้รู้สถานการณ์ของเกาะตะพาบน้ำกับเมืองกู่หนาวคร่าวๆ แล้ว
ปราณจิตวิญญาณบนเกาะหนาแน่นเป็นพิเศษ เป็นสถานที่สุดยอดสำหรับผู้ฝึกฝน ด้วยเหตุนี้ สัดส่วนของผู้ฝึกฝนบนเกาะจึงค่อนข้างน่าตกใจมาก โดยมีจำนวนมากกว่าเกาะอวิ๋นชวนสามสี่เท่า คนธรรมดาบนเกาะมักจะทำการแลกหินจิตวิญญาณอยู่บ่อยๆ จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรกับผู้ฝึกฝนตั้งแต่แรกแล้ว
และหุบเขาผลึกเป็นหนึ่งในสามกลุ่มอิทธิพลใหญ่บนเกาะตะพาบน้ำ แม้จะต่อสู้กับอีกสองกลุ่มอิทธิพลทั้งในที่ลับและที่แจ้งก็ตาม แต่ภายนอกยังต้องรักษาการทำการค้าไว้ ขณะเดียวกัน ทรัพยากรสายแร่หินจิตวิญญาณหายากที่พวกเขาครอบครองอยู่ ก็ดึงดูดให้นิกายต่างๆ ทั้งในเกาะและนอกเกาะมาทำการค้ากับพวกเขาอยู่บ่อยๆ
และเมืองหนานเฉิงเป็นฐานที่มั่นที่อยู่ใกล้กับหุบเขาผลึกมากที่สุด ทั้งยังเป็นเมืองที่หุบเขาผลึกก่อตั้งขึ้น ทำให้ยิ่งดึงดูดพ่อค้าต่างถิ่นที่มีชื่อเสียงเข้ามามาก หุบผลึกเองย่อมเห็นถึงความสำคัญของเมืองแห่งนี้ จึงส่งผู้แข็งแกร่งระดับผลึกขั้นต้นมาดูแลระยะยาว ด้วยเหตุนี้ โดยปกติแล้วผู้ที่มาจากภายนอก ย่อมไม่กล้าเจตนาหาเรื่องในเมืองแห่งนี้ มิเช่นนั้นผลลัพธ์ก็จะมีอยู่สองอย่าง
โทษอย่างเบาคือถูกขับไล่ออกจากเมือง โทษอย่างหนักคือถูกผู้แข็งแกร่งของหุบเขาผลึก ใช้พลังเวทย์ทำลายทะเลจิตวิญญาน ทำให้ระดับการฝึกฝนถูกทำลายจนหมดสิ้น
เพราะสถานที่อย่างเกาะตะพาบน้ำ ยอมรับแต่กำปั้นไม่ยอมรับคน กำปั้นใครแข็งแกร่งกว่า คนนั้นถึงจะมีชีวิตอยู่ได้ นี่คือหลักสัจธรรมที่ว่า ผู้ชนะเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์อยู่รอด
บริเวณรอบๆ เมืองหนานกู่ยังมีกลุ่มอิทธิพลระดับกลางและระดับเล็ก รวมถึงนิกายจำนวนหนึ่งยึดครองอยู่ หนึ่งในนั้นมีจำนวนไม่น้อยที่แอบพึ่งพาหุบเขาผลึก
“ดูท่าเรื่องราวคงจะซับซ้อนเล็กน้อย” หลิ่วหมิงกล่าวราวกับคิดะไรอยู่
……
ขณะนี้เป็นเวลาฟ้าสาง ท้องฟ้ากำลังสว่าง ตะวันสีแดงค่อยๆ โผล่ขึ้นมา แสงสีทองสาดลงมาในเมืองที่ด้านหนึ่งติดกับภูเขา อีกด้านหนึ่งติดกับทะเล
เมืองนี้มีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ มีขนาดไม่ต่ำกว่าหลายร้อยลี้ มองลงจากอากาศจะเห็นกำแพงเมืองสีเทาๆ สิ่งก่อสร้างในเมืองล้วนใช้หินสีดำขนาดใหญ่สร้างขึ้นมา ดูสะอาดเรียบร้อยเป็นอย่างมาก ขณะนี้ มีกลุ่มพ่อค้าและนักเดินทางเข้าออกตรงประตูเมือง
องครักษ์สิบกว่าคนสวมชุดเกราะแบบเดียวกันยืนอยู่หน้าประตูเมือง พวกเขากำลังจ้องมองกลุ่มคนที่หลั่งไหลไปมาด้วยลักษณะท่าทางที่น่าเกรงขาม และทำการตรวจสอบผู้คนที่เข้าเมืองอย่างละเอียด บางครั้งก็คุยอะไรกันเบาๆ แน่นอนว่าการตรวจสอบนี้ มีไว้สำหรับผู้เข้าเมืองเท่านั้น ส่วนผู้ที่ออกเมืองกลับไม่มีใครสอบถามเลย
ชุดเกราะที่องครักษ์เหล่านี้สวมอยู่ มีสีม่วงจางๆ มันห่อหุ้มอย่างแน่นหนาตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ดูจากรูปร่างแล้ว มันแตกต่างกันมาก ราวกับว่าไม่ใช่คนจากเผ่าเดียวกัน
การตรวจสอบที่พูดถึง คือการถือกระจกรูปร่างแปลกๆ ส่องไปบนใบหน้าของผู้คนเหล่านั้น
แม้ว่าอากาศเหนือเมืองหนานกู่จะว่างเปล่า และไม่มีม่านแสงของชั้นจำกัด แต่กลับไม่เห็นมีลำแสงพุ่งผ่านเหนือกำแพงหินสีดำที่สูงหลายสิบจั้งเลย
เรือเหาะที่เย่เทียนเหมยกับหลิ่วหมิงนั่งมา ไม่ได้ร่อนลงในทันที แต่กลับมองไปที่อากาศสักพักแล้วถึงร่อนลงพื้นที่บางแห่งที่อยู่บริเวณนั้น
เป็นแขกที่มาจากต่างถิ่น ย่อมไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตรวจสอบเจออะไร
หลังจากทั้งสองเก็บกลิ่นไอบางส่วนเข้าไปแล้ว ก็เดินตามคนอื่นๆ เข้าไปในเมือง
……
ขณะนี้ ถนนในเมืองหนานกู่ มีคนเคลื่อนไหวไปมา แลดูคึกคักยิ่งนัก
ร้านค้าตั้งเรียงรายอยู่ริมถนนทั้งสองด้าน ดูเหมือนว่าแต่ละร้านจะมีคนเข้าออกกันขวักไขว่
“ระยะห่างนี้ คงพอประมาณแล้วมั้ง” หลังจากเย่เทียนเหมยมาถึงถนนบางแห่งแล้ว ก็หยุดนิ่งอยู่ริมถนน
หลิ่วหมิวเลิกคิ้วขึ้น แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
เย่เทียนเหมยสะบัดแขนเสื้อ พอพลิกฝ่ามือ แผ่นหยกกลมๆ สีขาวที่มีขนาดชุ่นกว่าๆ ก็ปรากฏขึ้นมา ส่วนมืออีกข้างก็ทำท่ามือ
แผ่นกลมๆ เริ่มเปล่งแสงออกมา ไม่นานเงา ร่างเล็กๆ ก็พุ่งเข้ามาจากที่ไกลๆ เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ ก็จ้องมองแผ่นกลมๆ
แผ่นกลมๆ มีลักษณะกึ่งโปร่งแสงเล็กน้อย มีเงาร่างเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในนั้น จากนั้นก็ค่อยๆ หยุดลง และชี้ไปยังทิศทางบางแห่ง
ครึ่งชั่วยามต่อมา ภายใต้การบอกทางของแผ่นกลมๆ ทั้งสองก็มาหน้าประตูโรงเตี๊ยมริมถนนเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อว่า ‘คลื่นสีคราม’
โรงเตี๊ยมโดยทั่วไปไม่อาจตั้งอยู่ในสถานที่เปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ได้ เพราะสถานที่แบบนี้ แขกที่ไหนจะมาพักกัน แต่สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเป็นจุดสนใจ สถานที่แห่งนี้กลับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
“สถานที่ที่ผู้ดำเนินการทั้งสองของพันธมิตรอวิ๋นชวนทิ้งสัญลักษณ์ไว้ครั้งสุดท้าย คงเป็นที่นี่สินะ” เย่เทียนเหมยยืนนิ่งด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก รูม่านตาค่อยๆ หดลง และกล่าวออกมา
……
ลานอันเงียบสงบในโรงเตี๊ยมบางแห่ง
ในโรงเตี๊ยมมีพันธุ์ไม้งามและไม้ดอกปลูกอยู่เป็นจำนวนมาก ดอกไม้หลากสีสันที่ไม่ทราบชื่อบานเต็มไปหมด
ทางเดินคดเคี้ยวเล็กๆ ทอดไปยังประตูห้องพักที่ดูธรรมดาห้องหนึ่ง
ในห้องพัก ชายหญิงสองคนกำลังยืนตรวจสอบอะไรบางอย่าง พวกเขาก็คือหลิ่วหมิงกับเย่เทียนเหมยนั่นเอง
“ดูท่าผู้ดำเนินการทั้งสอง ก็เป็นที่ผู้ที่ละเอียดรอบคอบยิ่งนัก ไม่เพียงแต่เลือกโรงเตี๊ยมที่เปล่าเปลี่ยวเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ แม้แต่ที่พักก็เงียบสงบเช่นนี้” หลิ่วหมิงวางถ้วยชาลงแล้วกล่าวออกมา
ก่อนเข้าโรงเตี๊ยม ทั้งสองได้ไปสอบถามกับเถ้าแก่มารอบหนึ่ง หลังจากอธิบายลักษณะเกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการทั้งสองแล้ว ก็ทราบว่าหลายเดือนก่อนทั้งสองมาพักอยู่ที่นี่จริงๆ
ทั้งสองเช่าห้องขนาดไม่ใหญ่มากนัก หลังจากจ่ายค่าห้องหนึ่งเดือนแล้ว ก็ขอร้องไม่ให้รบกวน แต่พอผ่านไปสามสี่วันก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โดยที่ยังไม่ได้คืนห้องเลย ตอนนั้นเถ้าแก่คิดว่า ทั้งสองออกไปทำธุระ เลยไม่คิดอะไรมาก จนเมื่อผ่านพ้นไปหนึ่งเดือน ทั้งสองก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา เถ้าแก่ถึงค้นพบว่ามีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้องแล้ว พอตรวจสอบดูห้องของทั้งสองก็ไม่พบสัมภาระใดๆ พอนานเข้าก็ปล่อยเลยตามเลย
แต่พอทราบว่าตอนนี้ห้องพักแห่งนั้น มีเผ่าเจ้าสมุทรหลายคนเช่าอยู่ หลิ่วหมิงก็ไปหาคนเหล่านั้นโดยที่เย่เทียนเหมยไม่ต้องสั่ง พอหลิ่วหมิงหาพวกเขาพบ ก็แสดงพลังเล็กน้อย ทำให้พวกเขาตกใจจนหนีไป
……
หลังจากตรวจสอบไปหนึ่งรอบ ก็ดูเหมือนว่าไม่พบอะไร
“ดูท่าทั้งสองคงไม่ได้ทิ้งเบาะแสอะไรไว้ในสถานที่แห่งนี้”
หลิ่วหมิงถอนหายใจ และกล่าวอย่างช่วยไม่ได้
เย่เทียนเหมยไม่ได้กล่าวอะไรออกมา หลังจากลังเลเล็กน้อยก็พลิกฝ่ามือขึ้น เตาหลอมขนาดเล็กที่ปกคลุมด้วยไหมเงินพุ่งออกจากมือของนาง หลังจากมันพร่ามัวแล้ว ก็ลอยอยู่กลางอากาศ
มือทั้งสองของเย่เทียนเหมยทำท่ามืออยู่ไม่หยุด หลังจากร่ายคาถาไปสองสามประโยค ก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่เตาหลอมกลางอากาศ ทันใดนั้นแสงสีเงินก็เปล่งประกายออกมา
“อาวุธเวทย์ชิ้นนี้ มีโลหิตของผู้ดำเนินการที่ออกทะเลแต่ละคนอยู่ อาจจะมีผลในขอบเขตที่แน่นอน” เย่เทียนเหมยมีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย แต่กลับกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
เตาหลอมเล็กๆ กลางอากาศส่งเสียงดังออกมา แสงสีเงินเปล่งประกายระยิบระยับ ลูกแสงสีเลือดขนาดเท่านิ้วโป้งสองลูก ค่อยๆ ลอยขึ้นจากเตาหลอม จากนั้นก็กลายเป็นเงาโลหิตสองเงาพุ่งยิงออกมา และจมหายไปมุมห้องบางแห่งที่ดูไม่เตะตา
พอมองออกไปมุมห้องแห่งนั้น ก็เห็นว่ามีโลหิตสีดำปรากฏอยู่หลายหยด
……………………………………