ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 337 เหมิงหนิง
เห็นได้ชัดว่าหน้าโรงเตี๊ยมคลื่นสีครามเงียบสงัดมาก นอกจากมีคนสองสามคนผ่านมาเป็นครั้งคราแล้ว แม้แต่พ่อค้าที่ซื้อขายสดก็ไม่มีซักคน
ขณะนี้ ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเทา ใบหน้าธรรมดา กำลังก้าวมาที่นี่อย่างเร่งรีบ พอเขาหยุดชะงักตรงหน้าประตูเล็กน้อยแล้ว ก็สาวเท้าเข้าไปในโรงเตี๊ยม
เขาก็คือหลิ่วหมิงที่รีบกลับมาจากวัดร้างนอกเมืองนั่นเอง
พอเข้าไปในโรงเตี๊ยมแล้ว ก็เดินผ่านลานบ้านสองสามแห่ง และหยุดลงตรงหน้าห้องพักแห่งหนึ่ง
ประตูห้องพักที่เย่เทียนเหมยเช่าอยู่ปิดสนิท ดูท่าอาจารย์อาผู้นี้คงยังไม่กลับมาจากภายนอก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้สนใจมากนัก คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกผู้นี้ จะอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปข้างนอก ดังนั้นเขาจึงกลับไปยังห้องพักของตนเอง และรอคอยอย่างเงียบๆ
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง หลังจากสงบจิตได้แล้ว ก็นึกถึงคำพูดที่ผู้อาวุโสชุดเหลืองพูดขึ้นมาทั้งหมด จากนั้นเขาก็เริ่มทำใจให้สงบ
ดูจากข่าวคราวที่ได้รับในตอนนี้ ผู้ที่หายตัวไปอย่างน่าประหลาดใจ ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลว ทั้งยังเป็นผู้ที่มาซื้อทรัพยากร ณ สถานที่แห่งนี้ด้วย พวกเขาคงพกหินจิตวิญญาณมาไม่น้อย ดังนั้นผู้ที่ลงมือกับพวกเขา ถ้าไม่ใช่เพื่อหินจิตวิญญาณ ก็เป็นเพราะต้องการคน
หินจิตวิญญาณไม่ต้องพูดถึง ใครก็ตามที่ทราบว่ามีคนพกหินจิตวิญญาณมามากขนาดนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกหวั่นไหว แต่ในเมื่อคนเหล่านั้นถูกส่งมาซื้อทรัพยากร จะต้องรู้ว่าไม่ควรแสดงสมบัติออกมาในสถานที่ไม่คุ้นเคย นอกเสียจากว่า……ฝ่ายตรงข้ามที่ทำการค้ากับพวกเขา จะเป็นคนลงมือเอง แต่หุบเขาผลึกทำเรื่องเช่นนี้ เพียงเพราะหินจิตวิญญาณแค่นี้หรอกหรือ?
หลิ่วหมิงรู้จากหอเก็บคัมภีร์ในนิกายปีศาจตั้งแต่แรกแล้วว่า ผู้ฝึกฝนอิสระนอกรีตบางส่วน มีวิธีการแปลกประหลาดบางอย่าง ในการดึงเอาวิญญาณหรือโลหิตของผู้ที่มีชีวิตมาฝึกฝนวิชาปีศาจ แม้กระทั่งใช้กายเนื้อของพวกเขามาปรับแต่งเป็นหุ่น และอาวุธเวทย์ที่ใช้ในการโจมตี
เพราะผู้ฝึกฝนอิสระต้องการความแข็งแกร่ง ไม่ว่าวิธีการโหดร้ายเช่นใด ก็สามารถทำได้
จะเป็นหนึ่งในสองกรณีนี้ หรือกรณีอื่นๆ หรือไม่นั้น ยังไม่อาจให้คำตอบได้
แต่ภายใต้สถานการณ์อันแปลกประหลาดเช่นนี้ ตนเองคงต้องระวังตัวให้มากขึ้นแล้ว
พอหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญมาถึงจุดนี้ ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา เขาเก็บความคิดสับสนนี้ไว้ และเริ่มเข้าฌาน
……
ครึ่งวันต่อมา
“รีบออกมา ข้าจะพาเจ้าไปพบคนผู้หนึ่ง” น้ำเสียงเย็นยะเยือกของเย่เทียนเหมยดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบลุกไปเปิดประตูแล้วเดินออกไป
ขณะนี้ เย่เทียนเหมยที่สวมชุดสีขาวกำลังยืนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยม
ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะทักทายผู้ฝึกฝนระดับผลึกผู้นี้ เย่เทียนเหมยก็หมุนตัวเดินออกไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นก็เดินออกไปจากโรงเตี๊ยมคลื่นสีคราม
“ไม่รู้ว่าอาจารย์อาเย่จะพาข้าไปพบผู้ใดกัน?” ระหว่างทาง หลิ่วหมิงแอบสงสัยอยู่ในใจ
แต่เขาคิดว่าข่าวที่ได้รับมาจากผู้อาวุโสชุดเหลืองค่อนข้างมีประโยชน์ จึงใช้วิชาส่งเสียงบอกเย่เทียนเหมย
“อาจารย์อาเย่ หลายวันนี้ผู้น้อยได้ไปสืบหาข่าวที่เมืองกู่หนาน และพบเบาะแสบางอย่าง บางทีอาจเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของผู้ดำเนินการพันธมิตรทั้งสอง……อีกอย่าง ดูเหมือนว่าหุบเขาผลึกในเมืองกู่หนานจะไม่ได้สนใจในเรื่องนี้……”
ในขณะนั้น หลิ่วหมิงก็เล่าเรื่องราวที่สืบมาได้ในสองวันนี้ ให้เย่เทียนเหมยฟังอย่างละเอียด
เย่เทียนเหมยฟังจบ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับไม่กล่าวอะไรออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เดินตามไปอย่างเงียบๆ
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ทั้งสองมาถึงหน้าวิหารหินสูงใหญ่ที่อยู่ในเมืองกู่หนาน
วิหารหินสร้างมาจากหินยักษ์สีดำมืด ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่อง มันก็เปล่งแสงทรงกลดออกมาจางๆ คิดว่าในนั้นคงวางชั้นจำกัดไว้ไม่ใช่น้อย
นอกวิหารมีผู้พิทักษ์อยู่หลายคน แต่งตัวเหมือนกับผู้พิทักษ์ที่รักษาประตูเมือง เพียงแต่รูปร่างสูงใหญ่กว่า ภายใต้แสงตะวันที่สาดส่องลงมา ทำให้ชุดเกราะสีม่วงอ่อนที่สวมอยู่เปล่งประกายแสบตายิ่งนัก
ลำพังแค่กลิ่นไอที่แผ่อออกจากตัวของพวกเขา ก็ทำให้รู้ว่าผู้พิทักษ์เหล่านี้ ล้วนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย แม้กระทั่งมีบางคนที่เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นต้นแล้ว
หลิ่วหมิงแอบตกใจเล็กน้อย แต่ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
เย่เทียนเหมยเดินมาด้านหน้าผู้พิทักษ์เหล่านี้ และส่งเสียงพูดคุยกับผู้ที่เป็นหัวหน้า จากนั้นผู้พิทักษ์คนนี้ก็กลับไปรายงานด้วยสีหน้านอบน้อม
เย่เทียนเหมยรอนิ่งๆ อยู่ที่เดิม
ไม่นาน มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านใน ผู้พิทักษ์คนนั้นออกมาอย่างเรียบร้อน พอเขาโบกมือเสร็จ ผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ก็หลีกทางให้ และทำท่าทางเชิญชวนด้วยความเคารพ
เย่เทียนเหมยเดินเข้าไปข้างในโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลิ่วหมิงตามเย่เทียนเหมยเข้าไปติดๆ
พอเดินผ่านระเบียงยาวๆ ทั้งสองก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่ของวิหารหิน
ห้องโถงแห่งนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีพื้นที่ราวๆ หลายสิบจั้ง ทั้งสองด้านมีรูปปั้นสลักของอสูรแปลกประหลาดที่พบเจอได้น้อยมากตั้งอยู่ ใจกลางห้องมีแค่โต๊ะตัวหนึ่งกับเก้าอี้แปดตัวเท่านั้น ทำให้ห้องโถงดูกว้างโล่งเป็นอย่างมาก
ใจกลางห้อง มีเงาร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดคลุมสีม่วงอ่อน เขากำลังเอามือไขว้หลัง และมองออกไปด้านนอก อาจเป็นเพราะได้ยินเสียงฝีเท้า ผู้อาวุโสท่านนี้ถึงค่อยๆ หันตัวกลับมา ผิวของเขาเป็นสีเขียวมรกต ลูกตามีแสงสีทอง กลิ่นไอที่เขาแผ่ออกมาดูเหมือนจะล้ำลึกจนไม่อาจคาดเดาได้ และพลังกดดันเช่นนี้ หลิ่วหมิงเคยสัมผัสได้จากตัวเย่เทียนเหมย
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสผู้นี้ ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกเช่นกัน!
ดูจากรูปลักษณ์ของผู้อาวุโสท่านนี้แล้ว หลิ่วหมิงสามารถมองออกว่า ฝ่ายตรงข้ามเป็นมนุษย์อสูรผู้หนึ่ง
ในระหว่างทางที่มา หลิ่วหมิงได้สอบถามอย่างชัดเจนแล้วว่า ความจริงแล้วมนุษย์อสูรเป็นแค่วิธีการเรียกอีกแบบหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ว่ารูปลักษณ์ของพวกเขาจะเหมือนกับมาร อสูร ปีศาจจริงๆ หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาอาจมีสายสัมพันธ์ทางโลหิตกับอสูรจริงๆ
แต่มนุษย์อสูรในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะด้านคุณสมบัติที่ติดตัว ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทั่วไปจะสามารถทัดเทียมได้
แต่มนุษย์อสูรโดยทั่วไปแข็งแกร่งตั้งแต่กำเนิด กระดูกก็แข็งแกร่งมาก และพอเหยียบเท้าเข้ามาในโลกผู้ฝึกฝน วิชาที่ฝึกฝนส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการฝึกร่าง สิ่งนี้ค่อนข้างคล้ายกับการฝึกฝนของมนุษย์ แต่ไม่เหมือนกับมนุษย์ตรงที่มีข้อผิดพลาดทำให้ร่างพังทลายเองได้ และอานุภาพก็ไม่สามารถนำมาเทียบกันได้
มนุษย์อสูรผู้นี้สวมชุดคลุมสีม่วงทั้งตัว ปากกระบอกแขนเสื้อมีรูปผลึกหินสีเงินประดับอยู่ก้อนหนึ่ง ดูเหมือนกับว่าเขามีสถานะไม่ด้อยในหุบเขาผลึก
ตอนนี้หลิ่วหมิงรู้แล้วว่า เย่เทียนเหมยพาเขามาสถานที่แห่งใด ประจักษ์ชัดว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่หุบเขาผลึกควบคุมเมืองกู่หนานอย่างแท้จริง
พอเย่เทียนเหมยเห็นผู้อาวุโส สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่านางจะรู้สึกแปลกใจเช่นกัน แต่พริบตาเดียวก็กลับมามีสีหน้าเป็นปกติ และกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นสหายเหมิงหนิง ไม่เจอกันนาน คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ”
ฟังจากคำพูดของนางแล้ว เห็นได้ชัดว่ารู้จักกับมนุษย์อสูรผู้นี้
พอผู้อาวุโสมนุษย์อสูรที่มีชื่อว่าเหมิงหนิงได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นก็กล่าวด้วยความซาบซึ้งใจเล็กน้อย
“ท่านเซียนเย่พูดตลกแล้ว ข้าติดอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลายมานานหลายสิบปี หากไม่ใช่ว่าได้พบกับโอกาสอันดีในภายหลัง เกรงว่าคงจะหมดอายุขัยไปนานแล้ว นอกจากนี้ หากตอนนั้นท่านเซียนเย่ไม่ยื่นมือเข้าช่วย เหมิงหนิงคง……”
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วหยุดพูดไปพลางๆ ก่อน วันนี้ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญอยากถามเจ้า” ดูเหมือนเย่เทียนเหมยจะทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดอันซาบซึ้งใจของเหมิงหนิง นางโบกมือขัดจังหวะของฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เกรงใจ
“ท่านเซียนมีสิ่งใดอยากจะถาม ก็เอ่ยปากมาเถอะ เรื่องที่เหมิงหนิงทราบจะต้องบอกท่านอย่างแน่นอน” เหมิงหนิงพอจะรู้นิสัยของเย่เทียนเหมยอยู่บ้าง พอได้ยินเช่นนี้จึงไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่กลับค่อยๆ พยักหน้าแล้วกล่าวออกมา
แม้เขาจะรู้ว่าที่เย่เทียนเหมยช่วยชีวิตเขาในปีนั้น เป็นเพราะถือโอกาสสะดวกมือเท่านั้น แต่เขายังคงรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก
มิเช่นนั้น ด้วยตำแหน่งของเขาในตอนนี้ กับพลังระดับผลึกของเขา ไม่จำเป็นต้องนอบน้อมกับเย่เทียนเหมยถึงเพียงนี้
“เรื่องที่ข้าถามไม่ใช่เรื่องอื่นใด คิดว่าเจ้าก็คงจะรู้แล้ว ช่วงหนึ่งปีมานี้ มีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวหายตัวในเมืองกู่หนานจำนวนไม่น้อยใช่ไหม?” เย่เทียนเหมยถามเหมิงหนิงด้วยตาที่เป็นประกาย
“อืม! เรื่องนี้ข้าเคยได้ยินมาจริงๆ ไม่ทราบว่าท่านเซียนเย่จะถามอะไรหรือ?” เหมิงหนิงไม่ได้ตอบคำถามเย่เทียนเหมยโดยตรง แต่กลับเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงค่อยๆ กล่าวออกมา
“หนึ่งในผู้สูญหายเป็นผู้ดำเนินการของพันธมิตรอวิ๋นชวนสองคน” เย่เทียนเหมยจ้องมองเหมิงหนิง และค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
พอเหมิงหนิงได้ยินเช่นนี้ กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็กระตุกโดยไม่รู้ตัว
แม้ว่าพันธมิตอวิ๋นชวนจะก่อตั้งได้ไม่นาน แต่หลังจากปรับกระบวนการของแต่ละนิกายในแผ่นดินอวิ๋นชวนแล้ว ก็ดูเหมือนจะกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเขตทะเลชังไห่ที่รองมาจากราชวงศ์ชังไห่กับราชาปีศาจสมุทร
แม้ว่าหุบเขาผลึกจะติดต่อกับพันธมิตรอวิ๋นชวนไม่มาก แต่ย่อมไว้หน้ากลุ่มพันธมิตรนี้อยู่บ้าง ยิ่งไปกว่านั้นเขากับเย่เทียนเหมยก็รู้จักกันมาก่อน และรู้ถึงความน่ากลัวของนางดี
“ตอนนี้ข้าได้ตรวจสอบจนกระจ่างแล้ว ผู้ดำเนินการของพันธมิตรอวิ๋นชวนทั้งสอง เข้าเมืองกู่หนานเมื่อหลายเดือนก่อน หลังจากนั้นไม่นาน ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เดิมทีพวกเขาคิดจะทำการค้ากับหุบเขาผลึกด้วย ไม่ทราบสหายเหมิงจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?” น้ำเสียงของเย่เทียนเหมยสูงขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่าต้องการเตือนเหมิงหนิง
“อืม! ข้ากลับคิดไม่ถึงว่าผู้ดำเนินของพันธมิตรทั้งสองก็หายตัวในเมืองด้วย มันช่างเหนือความคาดหมายของข้ายิ่งนัก ไม่ทราบว่าผู้ดำเนินการทั้งสอง ได้สร้างศัตรูอะไรไว้ในเมืองกู่หนานหรือไม่ บางทีอาจถูกศัตรูล้างแค้นก็เป็นได้” สีหน้าของเหมิงหนิงดูแปลกๆ หลังจากเงียบไปพักหนึ่งแล้ว ก็ค่อยๆ กล่าวออกมา
พอเย่เทียนเหมยได้ยิน ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา กลิ่นไออันน่าตกใจแผ่ออกจากร่างในทันที กลิ่นไอของนางดูแหลมคมราวกับคมกระบี่ และนางก็กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
“เหมิงหนิง เจ้าคิดว่าการอธิบายเช่นนี้ จะทำให้ข้าเชื่อได้หรือ? หากวันนี้เจ้าไม่พูดให้กระจ่าง เกรงว่าคนที่พันธมิตรจะส่งมาในครั้งหน้าคงไม่ใช่ข้าคนเดียว ประจวบเหมาะกับที่พันธมิตรเราเพิ่งก่อตั้งไม่นาน จะได้หาโอกาสแสดงพลังให้คนนอกดูบ้างแล้ว”
“ท่านเซียนอย่าได้เข้าใจผิดไป! ข้าได้ยินเรื่องนี้มาบ้างเท่านั้น ข้าเพิ่งถูกทางหุบเขาส่งตัวมาที่นี่ได้ไม่นาน ด้วยเหตุนี้ ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากท่านเซียนเย่ไม่เชื่อ ก็ไปสอบถามดูได้ว่า ตั้งแต่ข้ามาประจำการเมืองนี้ ยังมีคนหายไปอีกหรือไม่!” เหมิงหนิงถอนหายใจแล้วกล่าวอย่างไม่มีทางเลี่ยง
……………………………………