ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 340 อาวุธจิตวิญญาณห้าชิ้น
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงก็เดินออกมาจากร้าน แต่ในมือมีป้ายหยกสีขาวเพิ่มมาชิ้นหนึ่ง บนป้ายหยกมีสัญลักษณ์เดียวกันกับป้ายร้านจารึกอยู่
นอกจากนี้ ในหอยสังข์ย่อส่วนยังมีหินจิตวิญญาณระดับสูงเพิ่มขึ้นมาสองหมื่นกว่าหินจิตวิญญาณ
เมื่อหลิ่วหมิงได้รับสิ่งของที่ใช้ยืนยันและหินจิตวิญญาณแล้ว เขาก็ไปซื้อวัสดุหลอมอาวุธที่คิดว่าตนเองต้องใช้จากร้านอื่นๆ มาจำนวนหนึ่ง
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ วัสดุระดับสูงที่เขาต้องใช้ในการสร้างกระบี่บินกลับไม่มีเลย
แม้แต่ในหุบเขาเหล็กอัคคี วัสดุหลักที่ใช้สร้างกระบี่บินที่แท้จริง ยังเป็นสิ่งที่ขาดแคลนเป็นอย่างมาก ไม่สามารถหาได้โดยง่าย
ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงกลับที่พักของตนเอง และเริ่มทำการฝึกฝนโดยไม่ออกไปข้างนอกอีก
แต่ขณะที่งานประมูลใหญ่ของเหยียนเจวี๋ยใกล้จะมาถึงนั้น ผู้ฝึกฝนจากภายนอกก็เข้ามาในหุบเขาเหล็กอัคคีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มาคนเดียว หรือมาเป็นกลุ่มสามถึงห้าคน ล้วนดูลึกลับเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนจะไม่ต้องการให้คนนอกรู้สถานะของตนเอง
แต่สำหรับผู้พิทักษ์ของหุบเขาเหล็กอัคคีแล้ว ขอเพียงแค่คนเหล่านี้ไม่หาเรื่องในหุบเขา พวกเขาย่อมไม่ค่อยสนใจมากนัก
ในขณะนั้นเอง ไม่รู้ว่าเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับอาวุธจิตวิญญาณที่เหยียนจวี๋ยสร้างขึ้นมาในครั้งนี้ ถูกใครแพร่งพรายออกไป และกระจายไปทั่วหุบเขาอย่างรวดเร็ว
ว่ากันว่าครั้งนี้เหยียนเจวี๋ยสร้างอาวุธจิตวิญญาณทั้งหมดห้าชิ้น โดยเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางหนึ่งชิ้น ระดับสูงสามชิ้น และระดับสุดยอดหนึ่งชิ้น!
โซ่ตรวนสะกดวิญญาณยังไม่ต้องพูดถึง แม้จะเป็นแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง แต่ด้วยที่มันมีน้อย และมีพลังป้องกันการโจมตีจากเคล็ดวิชาที่ใช้พลังจิต ทั้งยังสามารถควบคุมการถูกชิงร่างได้ ย่อมมีคนสนใจเป็นจำนวนมาก
และอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงสามชิ้น ล้วนมีอานุภาพอันน่าตกใจ และมีชั้นจำกัดแฝงอยู่เป็นจำนวนมาก ดูเหมือนว่าจะอยู่ในระดับสูงสุดของอาวุธจิตวิญญาณระดับสูง
ส่วนอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด แม้จะไม่ได้บอกว่าเป็นของล้ำค่าระดับใด แต่ทองคำคลื่นทะเลที่ใช้เป็นวัสดุในการสร้างนั้นหาได้ยากยิ่ง มันช่วยเพิ่มพลังให้กับผู้ฝึกฝนพลังธาตุน้ำ หรือปีศาจอสูรในทะเลเป็นอย่างมาก สำหรับพวกเขาแล้ว ดูเหมือนจะมีพลังยั่วยวนจนไม่อาจต้านทานได้ และครั้งนี้ยังเป็นฝีมือของเหยียนเจวี๋ย ที่ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสามผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธของเขตทะเลชังไห่ ดังนั้นมูลค่ามันจึงสูงจนยากที่จะรับรู้ได้
แต่แน่นอนว่า สำหรับผู้ฝึกฝนคนอื่นหรือกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ แล้ว แม้อาวุธจิตวิญญาณหนึ่งชิ้นเพียงพอที่ทำจะให้หมดเนื้อหมดตัวได้ แต่ก็ยังประมูลเพื่อให้ได้มันมาอย่างไม่เสียดาย
ในห้องรับรองที่ตกแต่งอย่างหรูหราแห่งหนึ่ง เผ่าเจ้าสมุทรที่มีรูปร่างแตกต่างกันจำนวนมาก กำลังรวมตัวกันฟังชายรูปร่างกำยำเล่าอะไรบางอย่างอยู่
“อะไรนะ! ครั้งนี้คนของราชาปีศาจสมุทรก็มาถึงหุบเขาแล้ว และเป้าหมายของพวกเขาก็ดูเหมือนจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นนี้?” พอชายผู้นี้เล่าจบ ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งที่อยู่ตรงหน้าก็กล่าวออกมาด้วยประกายตาที่ดุร้าย
หากหลิ่วหมิงอยู่ที่นี่ด้วย ก็จะจำได้ว่าผู้อาวุโสตรงหน้าก็คือ ‘ลี่คุน’ ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกที่ตามล่าเขาพันลี้ในวันนั้นนั่นเอง
เพียงแต่ตอนนี้ เขาดูแก่กว่าตอนนั้นมาก เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะจิตที่แบ่งไปให้นักรบยันต์เกราะทองคำถูกทำลาย ส่งผลให้สูญเสียอายุขัยไปจำนวนมาก
“ใช่แล้วผู้อาวุโส ข้าดูไม่ผิดอย่างแน่นอน สองคนที่ข้าพบในก่อนหน้าราชาปีศาจเจ้าสมุทร หากข้าไหวตัวหลบไม่ทัน เกรงว่าคงถูกพวกเขาค้นพบแล้ว” ชายรูปร่างกำยำกล่าวอย่างนอบน้อม
“ฮึ! ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเขาจะต้องมาเพื่ออาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นนี้ ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่า แม้ราชาปีศาจสมุทรผู้นั้นจะเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว แต่อาวุธจิตวิญญาณที่ปรับแต่งในก่อนหน้านั้น ถูกทำลายในขณะที่ใช้ต้านทานด่านเคราะห์สวรรค์ ช่วงนี้กำลังตามหาอาวุธจิตวิญญาณที่เหมาะสมอยู่ ในเมื่อเขามาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ จะต้องมาเพื่ออาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่สร้างมาจากทองคำคลื่นทะเลอย่างแน่นอน เพราะเดิมทีราชาปีศาจสมุทรก็เป็นอสูรจิตวิญญาณธาตุน้ำ อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้มีประโยชน์ต่อเขาเป็นอย่างมาก” หญิงเผ่าเจ้าสมุทรที่มีคิ้วหนาสีดำกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ของมันแน่อยู่แล้ว ที่พวกเรามาในครั้งนี้ ก็ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกหรือ ครั้งนี้นับว่าทั้งสามเผ่าในอวิ๋นชวนของเรา ต่างก็ทำเพื่อราชวงศ์ จะต้องสำเร็จอย่างเดียวไม่อาจพ่ายแพ้ได้” ลี่คุนได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย
“ผู้อาวุโสลี่วางใจเถอะ! ครั้งนี้นายท่านเปิดคลังสมบัติให้พวกข้านำวัสดุล้ำค่ามาจำนวนไม่น้อย มันเพียงพอที่จะแลกอาวุธระดับสุดยอดได้ชิ้นหนึ่ง” พอหญิงเผ่าเจ้าสมุทรได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“ฮูหยินหลานอย่าได้ดูถูกชิงฉินผู้นี้โดยเด็ดขาด ด้วยสถานะผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเขา ในเมื่อมาที่นี่ด้วยตนเอง จะต้องเอาอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงชิ้นนี้ไปให้ได้ พวกเราก็อย่าได้ชะล่าใจไป” ลี่คุนส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมา
“อันนี้ข้าน้อยย่อมรู้ดี แต่ถ้าอยากได้อาวุธจิตวิญญาณในหุบเขาเหล็กอัคคี ยังต้องอาศัยวงศ์ตระกูลกับกำลังทรัพย์ด้วย ฮึ! เจ้าชิงฉินเดิมทีก็เป็นแค่ปีศาจในทะเลเท่านั้น ไหนเลยจะนำกำลังทรัพย์มาเทียบกับพวกเราได้” หญิงผู้นี้เบะปากกล่าวด้วยความไม่พอใจ
แม้ดูเหมือนการฝึกฝนของนางจะไม่เกินไปกว่าระดับของเหลวขั้นกลาง แต่เหมือนนางจะมีสถานะพิเศษ จึงดูไม่เกรงกลัวผู้แข็งแกร่งระดับผลึกอย่างลี่คุนเลย
ลี่คุนได้ยินเช่นนี้ ก็เพียงแค่พยักหน้าโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
“เจียหลาน ตามที่ข้าทราบมา แม้ระดับของโซ่ตรวนสะกดวิญญาณชิ้นนั้นจะไม่สูง แต่คงจะคู่ควรกับร่างละเมอฝันของเจ้าเป็นอย่างมาก หากเป็นไปได้ล่ะก็ ประมูลมันมาด้วยเถอะ!” หญิงเผ่าเจ้าสมุทรหันมากล่าวกับหญิงสาวชุดสีฟ้าอย่างเป็นกันเอง
“ขอบคุณป้าอวี๋มาก หากได้อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้มาล่ะก็ ย่อมเพิ่มอานุภาพของพลังที่ข้าฝึกฝนได้ถึงสามส่วนอย่างแน่นอน” หญิงสาวชุดฟ้าเงยหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
นางดูมีอายุไม่เกินยี่สิบปี คิ้วดำจมูกสวยราวกับหยก ผิวหนังอ่อนนุ่ม ดวงตาเปล่งประกายแวววาว ริมฝีปากแดง เส้นผมสีดำยาวจรดบ่า พอยิ้มออกมาแลดูน่าหลงใหลยิ่งนัก
นางคือเจียหลานที่เคยเป็นไส้ศึกของเผ่าเจ้าสมุทรในปีนั้น!
……
อีกด้านหนึ่ง ภายในห้องหินที่ค่อนข้างเย็น ชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีดำกับหญิงกระโปรงแดง กำลังนั่งขัดสมาธิหันหน้าเข้าหากัน
“ชื่อลี่ เจ้าดูดีๆ หรือยัง เจ้าเด็กที่แอบตามมาเป็นคนเผ่าเจ้าสมุทรจริงๆ หรือ?” ชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีดำถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ไม่ผิดอย่างแน่นอน ผู้น้อยเผ่าเจ้าสมุทรตายในเงื้อมมือข้ามานักต่อนักแล้ว ดูจากกลิ่นไอแล้ว เขามีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลว หากไม่กลัวแหวกหญ้าให้งูตื่น จนดึงความสนใจจากผู้พิทักษ์โลหิตเหล็กล่ะก็ ข้าสังหารเขาไปตั้งนานแล้ว” หญิงกระโปรงแดงทำเสียงฮึดฮัด และกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย
“ในเมื่อตามข้ามาลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ ย่อมไม่ใช่เผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่บนเกาะนี้อย่างแน่นอน คงเป็นคนของราชวงศ์ชังไห่เหล่านั้น” ชายชุดคลุมสีดำกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่
“ตอนนี้ราชาปีศาจสมุทรเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว หากไม่ใช่ว่าอาวุธจิตวิญญาณถูกทำลายในขณะผ่านด่านเคราะห์สรรค์ และร่างกายได้รับบาดเจ็บจนต้องฟื้นฟูสักระยะหนึ่งล่ะก็ พวกราชวงศ์ชังไห่จะกล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้หรือ!” หญิงกระโปรงแดงกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
“ครั้งนี้ พวกเราทั้งสองรับคำสั่งให้มาที่นี่ และต้องได้อาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้มาให้ได้ หากราชาปีศาจสมุทรได้ของล้ำค่าชิ้นนี้ไป ก็เหมือนเสือที่ติดปีก แม้ภายหน้าจะไม่สามารถครอบครองทะเลชังไห่ได้ แต่ก็เหลือเฟือกับการรับมือราชวงศ์ชังไห่แล้ว” ชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีดำเงียบไปครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“มันย่อมเป็นเช่นนั้น! ราชวงศ์ชังไห่อะไรกัน ถุย!” หญิงกระโปรงแดงหัวเราะเบาๆ
“แต่เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด หากแพ้การประมูลล่ะก็ คงต้องใช้แผนสองแล้ว” ชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีดำกล่าว
“ย่อมเป็นเช่นนั้น เจ้าไปร่วมงานประมูลอย่างสบายใจเถอะ! หากไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ พวกเราคนหนึ่งอยู่ในที่ลับ อีกคนอยู่ในที่แจ้ง อาวุธจิตวิญญาณระดับสูงชิ้นนี้ไม่หลุดมือพวกเราไปอย่างแน่นอน” หญิงกระโปรงแดงหุบยิ้มแล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ฉากเดียวกันเกิดขึ้นในพื้นที่เร้นลับอีกสองสามแห่ง ดูเหมือนว่ากลุ่มอิทธิพลแต่ละกลุ่ม ต่างก็คิดที่จะประมูลอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นนี้มาให้ได้
……
ครึ่งเดือนผ่านไป ในที่สุดงานประมูลก็มาถึง
หลิ่วหมิงถือสิ่งของยืนยันเดินลัดเลาะมาตามทางที่เถ้าแก่ร้านบอก จนมาถึงทางเข้าถ้ำใต้ดินบางแห่งของหุบเขาเหล็กอัคคี
ขณะที่หลิ่วหมิงยืนอยู่สถานที่แห่งนี้ ก็ไม่ได้รีบร้อนเข้าไปแต่อย่างใด เพียงแค่ยืนสังเกตอยู่บริเวณปากถ้ำ
ผู้เข้าประมูลต่างก็ใช้เคล็ดวิชาต่างๆ ปกปิดใบหน้าที่แท้จริงของตนเองไว้ และค่อยๆ เดินเข้าไปข้างใน โดยมีผู้พิทักษ์เหล็กอัคคีคอยจ้องมองอยู่
หลิ่วหมิงเองก็ได้เปลี่ยนโฉมกลายเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำ และปล่อยไอสีดำจางๆ อำพรางร่างของตนเองไว้
“ดูท่าสถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะคุ้มกันแน่นหนา ทั้งยังวางชั้นจำกัดไว้หลายชั้น ฟังจากคำพูดของเถ้าแก่ร้าน วังเพลิงดำยังส่งผู้แข็งแกร่งระดับผลึกมาประจำการที่นี่สามคน มิเช่นนั้น เกรงว่าคงไม่อาจสยบจิตใจผู้คนจำนวนมากเช่นนี้ได้” หลิ่วหมิงแอบคิดใคร่ครวญด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก
ดูจากการจัดวางกำลังแล้ว คงไม่ค่อยมีใครกล้าก่อเรื่องในงานประมูล แต่หากออกจากงานประมูลไปแล้วก็ไม่แน่
แต่ขอเพียงแค่ยังไม่ออกไปจากหุบเขาเหล็กอัคคี ก็จะยังมีปลอดภัยอยู่
เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ จากนั้นก็ก้าวไปด้านหน้าอย่างเงียบๆ
พอเดินไปได้สองสามก้าว สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขากวาดตามองไปด้านข้างราวกับค้นพบอะไรบางอย่าง
ห่างออกไปไม่ไกล มีเงาร่างจำนวนมากยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ รูปร่างของหญิงสาวกระโปรงสีฟ้า สวมผ้าคลุมหน้าสีเขียวที่อยู่ในนั้น ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยและแปลกหน้าอยู่เล็กน้อย
“นางคือ……” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คิดถึงที่มาของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง
ตอนนี้ เขาเดินมาถึงปากทางเข้าแล้ว ภายใต้การจ้องมองของผู้พิทักษ์เหล็กอัคคีหลายคน เขาก็นำป้ายหยกออกมา
ผู้พิทักษ์เหล็กอัคคีตรงปากทางเข้าตรวจสอบดูสัญลักษณ์บนแผ่นหยกเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าและหลีกทางให้หลิ่วหมิงเข้าไปด้านใน
……
“ได้เวลาแล้ว งานประมูลเริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”
เสียงทุ้มต่ำดังมาจากแท่นสูงที่อยู่ด้านหน้า
เสียงกระซิบกระซาบค่อยๆ เงียบลง
ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวสีแดง ใบหน้าดูธรรมดา มีอักขระสีแดงจางๆ อยู่บนแก้ม กำลังยืนอยู่บนแท่นสูงด้านหน้าด้วยท่าทีที่สุขุมเยือกเย็น
และผู้เข้าประมูลเหล่านั้น ต่างก็แยกย้ายกันนั่งบนตั่งหินที่จัดเรียงเป็นแถวๆ
ผู้ฝึกฝนแต่ละเผ่าที่เข้าร่วมประมูล มีราวๆ สองร้อยกว่าคนเท่านั้น และต่างก็แยกย้ายกันนั่งตามที่นั่งต่างๆ
……………………………………