ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 343 เจอเจียหลานอีกครั้ง
แต่เขาก็ยินดีที่จะให้พวกเขาแข่งประมูลต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาจะได้ไม่มีเวลาว่างมาสนใจโซ่ตรวนสะกดวิญญาณที่เขาประมูลมาได้
เหยียนเจวี๋ยจ้องมองการแข่งประมูลด้วยรอยยิ้ม ราคาที่สูงถึงสองล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณ เหนือความคาดหมายของเขาเล็กน้อย แต่ขณะที่กำลังจะอ้าปากประกาศผลการประมูลนั้น ชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีดำก็หัวเราะ “เฮ่อๆ!” ออกมา เขานั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน แต่กลับทำท่ามือด้วยมือเดียว และขยับแขนจนดูพร่ามัว จากนั้นก็ตบไปทางลี่คุนและคนเผ่าเจ้าสมุทรอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ขณะเดียวกันก็กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
“อยากได้โล่คลื่นทะเลนี้ไปหรือ? ได้! ให้ข้าดูก่อนว่าพวกเจ้ามีความสามารถหรือไม่?”
พอกล่าวจบ อากาศเหนือศีรษะกลุ่มคนเผ่าเจ้าสมุทรก็สั่นไหวอย่างรุนแรง จากนั้นฝ่ามือพร่ามัวสีดำก็ปรากฏออกมา นิ้วทั้งห้าแยกออกจากกันก่อนกดลงด้านล่าง
การลงมืออย่างกะทันหันของชิงฉิน เหนือความคาดหมายของป้าอวี๋และกลุ่มคนเผ่าเจ้าสมุทรไปหน่อย
แม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างลี่คุน ก็ไม่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามจะอาจหาญเช่นนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามออกมาด้วยความโมโห แขนเสื้อสะบัดขึ้นบนอากาศอย่างรวดเร็ว จากนั้นแสงสีเงินก็ม้วนตัวพุ่งขึ้นด้านบน
“ตู๊ม!”
มือสีดำกับแสงสีเงินปะทะกันอย่างรุนแรง แสงสีดำประสานกับแสงสีเงินอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้น คลื่นอากาศจำนวนหนึ่งก็ม้วนตัวออกไป ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่โงนเงนไปมา แม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางอย่างหลิ่วหมิง ก็ต้องทำท่ามือกระตุ้นให้ร่างกายหนักขึ้น ถึงพอจะทรงตัวให้อยู่นิ่งได้
แสงทรงกลดที่ปกคลุมร่างคนเผ่าเจ้าสมุทรไว้ ก็ถูกการประจัญบานของผู้แข็งแกร่งระดับผลึกปะทะใส่จนแตกสลายไป
แต่พอคลื่นอากาศปะทะมาถึงหน้าแท่นหินที่เหยียนเจวี๋ยยืนอยู่ ก็ถูกม่านแสงสีดำต้านทานเอาไว้
จากนั้นฝ่ามือยักษ์สีดำก็ค่อยๆ สลายไป สุดท้ายก็กลายเป็นไอสีดำหายไปในอากาศ
พอเหยียนเจวี๋ยเห็นเช่นนี้ ก็หน้าเสียเล็กน้อย
หลิ่วหมิงถือโอกาสนี้มองไปทางเผ่าเจ้าสมุทรทีหนึ่ง
คนแรกที่เขาเห็นก็คือลี่คุนที่ตามล่าเขาพันลี้ จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดผู้นั้น
ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นี้ มีใบหน้าแก่กว่าแต่ก่อนมาก แต่กลิ่นไอบนตัวยังคงน่ากลัวเช่นเดิม
หลิ่วหมิงใจเต้นแรงขึ้นมา เขาต้องใช้พลังจำนวนมาก ถึงบังคับไม่ให้สายตาของเขาแสดงพิรุธใดๆ ออกมา และค่อยๆ ละสายตาออกร่างคนผู้นั้น เพื่อดูคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้น
ครู่ต่อมา เมื่อเขามองเห็นหญิงสาวรูปร่างสูงบาง ใจเขาก็เต้นแรงขึ้นมาทันที นางคือหญิงสาวงดงามที่มีอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี คิ้วดกดำ จมูกได้รูป ผิวหนังเนียนนุ่ม เส้นผมดำขลับยาวเคลียบ่า ช่วงเวลานางยิ้มดูอ่อนหวานจนสั่นสะเทือนจิตใจคนได้ มือเรียวเล็กข้างหนึ่งของนางกำลังถือผ้าคลุมหน้าผืนบางๆ อยู่
เห็นได้ว่าการปะทะเมื่อครู่ ไม่เพียงแต่ทำให้แสงทรงกลดสีฟ้าที่ปกคลุมร่างของคนเผ่าเจ้าสมุทรสลายไป ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้ผ้าคลุมหน้าของหญิงสาวหลุดออกมาอย่างไม่คาดคิด
หลิ่วหมิงค่อยๆ หดรูม่านตาจ้องมองใบหน้างดงามที่ดูเหมือนจะรู้จักกันมาก่อน
หญิงสาวงดงามของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นี้ ย่อมเป็นเจียหลานนั่นเอง
แต่ขณะนี้ นอกจากดวงตาสดใสของนางจะดูสงบ และพยายามปลดปล่อยร่างละเมอฝันอันน่าตกใจที่ถูกอำพรางในตอนแรกออกมาแล้ว ระหว่างคิ้วยังมีเกล็ดสีเงินจางๆ อยู่แผ่นหนึ่ง ความใสซื่อของเด็กสาวในตอนนั้น ดูลดลงไปเล็กน้อย แต่กลับดูมีเสน่ห์ยั่วยวนขึ้นมา
“คิดไม่ถึงว่านางจะมาเกาะตะพาบน้ำพร้อมกับลี่คุน ช่างเหนือความคาดหมายยิ่งนัก” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา หลังจากค่อยๆ ละสายตากลับมาแล้ว ก็ระงับอาการตื่นตะลึงไว้
พอเห็นว่าลี่คุนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจากการโจมตี ชิงฉินก็ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม ขณะที่เขาทำท่ามือเพื่อจะโจมตีอีกครั้งนั้น หนึ่งในผู้แข็งแกร่งระดับผลึกที่นั่งอยู่ด้านหลังของเหยียนเจวี๋ย ก็มาปรากฏตัวท่ามกลางกลางระหว่างลี่คุนกับชิงฉินอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ ขณะเดียวกันผู้ที่ยังนั่งอยู่ด้านหลังของเหยียนเจวี๋ย ก็กล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เพื่อรักษากฎการประมูลในหุบเขาเหล็กอัคคี ขอสหายทุกท่านอย่าได้ลงมือในระหว่างการประมูล มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้า”
ขณะที่คนผู้นี้กล่าวออกมา กลิ่นไออันน่าหวาดกลัวที่มีเฉพาะผู้แข็งแกร่งระดับผลึก ก็ถูกปล่อยออกมาจากร่างของทั้งสาม หลังจากมันรวมตัวเข้าด้วยกันแล้ว ก็กดดันจนสีหน้าของชิงฉินกับลี่คุนค่อยๆ เปลี่ยนไป
“สหายทั้งสามอย่าได้เข้าใจผิด เป็นเพราะชื่อเสียงของราชวงศ์ชังไห่ เมื่อครู่ข้าจึงอดกลั้นไม่ไหว เลยอยากลองดูความสามารถของสหายผู้นี้เท่านั้น ขอสหายทั้งสามอย่าได้ถือสา” พอได้เห็นถึงพลังของผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั้งสาม กล้ามเนื้อบนใบหน้าของชิงฉินก็กระตุกเล็กน้อยแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
ลี่คุนได้ยินกลับยืนเอามือไขว้หลัง และเผยรอยยิ้มเยือกเย็นโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
แม้ตัวเขาจะไม่ได้สังกัดราชวงศ์ชังไห่ แต่เวลานี้ย่อมไม่อาจอธิบายออกมาได้
ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกของวังเพลิงดำ พูดทักทายปราศรัยไปตามพิธีสองสามประโยค จากนั้นถึงกลับไปนั่งบนเก้าอี้ไม้สีดำที่อยู่ด้านหลัง
“เอาล่ะ! ในเมื่อโล่คลื่นทะเลชิ้นนี้มีเจ้าของแล้ว ข้าก็จะไม่อยู่ที่นี่นาน ลาก่อน!” เวลาต่อมา ชายฉกรรจ์ชุดดำก็ไม่พูดอะไรให้มากความอีก พอสะบัดแขนเสื้อแล้ว ก็เดินออกไปจากถ้ำโดยไม่หันกลับมามองเลย
คนสวมหมวกคลุมสีเหลืองทั้งสามหัวเราะเบาๆ พอชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีดำจากไปไม่นาน พวกเขาก็ตามออกไปเช่นกัน
ขณะนี้ เหยียนเจวี๋ยก็รีบประกาศผลการประมูล โล่คลื่นทะเลชิ้นนั้น ย่อมถูกลี่คุนประมูลไปด้วยราคาที่สูงถึงสองล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณ
“เอาล่ะ! งานประมูลครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว เชิญสหายที่ชนะการประมูลทุกท่าน ไปชำระหินจิตวิญญาณเพื่อรับอาวุธจิตวิญญาณ ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ไม่อาจอยู่คอยรับใช้ได้ เชิญสหายทุกท่านตามสบาย” ขณะนี้ เหยียนเจวี๋ยกวาดสายตามองผู้เข้าร่วมการประมูล และกล่าวด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็เดินออกไปจากประตูที่อยู่ด้านข้าง
หลังจากเหยียนเจวี๋ยไปแล้ว ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหลัง ก็สบตากันครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นพร้อมกัน จากนั้นถึงเดินออกไปตรงประตูที่เหยียนเจวี๋ยออกไปในก่อนหน้านั้น
หลิ่วหมิงย่อมถูกผู้เกี่ยวข้องในงานประมูลพาไปยังประตูที่อยู่อีกข้าง เพื่อเข้าไปในห้องลับแห่งหนึ่ง หลังจากหลิ่วหมิงเสนอใช้ทรัพยากรแทนหินจิตวิญญาณ คนผู้นั้นก็บอกว่าทรัพยากรของเขา ต้องผ่านการประเมินมูลค่าจากเหยียนเจวี๋ยก่อน ถึงจะนำมาใช้แทนกันได้
หลังจากรออยู่ในห้องลับไม่นาน หลิ่วหมิงก็ถูกพาไปยังห้องที่เหยียนเจวี๋ยอยู่
“ได้ยินว่าสหายคิดจะใช้ทรัพยากรชำระโซ่ตรวนสะกดวิญญาณแทนหินจิตวิญญาณ ไม่ทราบว่าเป็นทรัพยากรแบบใดหรือ?” พอหลิ่วหมิงเข้าไปในห้อง เหยียนเจวี๋ยที่สวมชุดคลุมยาวสีแดงทั้งชุดก็หันมากล่าวกับหลิ่วหมิง
ได้ยินเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบกล่องหยกที่ใส่ขนแข็งของบาทาปีศาจสองเส้นออกมา และค่อยๆ เปิดต่อหน้าเหยียนเจวี๋ย
ในขณะที่ขนแข็งปีศาจยักษ์เลื้อยขยุกขยิกตกอยู่ในสายตาของเหยียนเจวี๋ยนั้น เขารู้สึกตกใจมาก สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
“ท่านผู้เชี่ยวชาญ ไม่ทราบว่าของสิ่งนี้ใช้แทนหินจิตวิญญาณจำนวนหกแสนห้าหมื่นหินจิตวิญญาณได้ไหม?” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างสงบ
“ให้ข้าตรวจสอบดูก่อน แล้วค่อยพูดเรื่องนี้ก็ยังไม่สาย” เหยียนเจวี๋ยจ้องมองขนแข็งในกล่องหยกแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงย่อมตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ และมอบกล่องหยกในมือให้กับเหยียนเจวี๋ย
เหยียนเจวี๋ยเองก็สามารถเก็บอาการไว้ได้ เขารับกล่องหยกมาด้วยสีหน้าสงบ นิ้วมือทั้งสองค่อยๆ คีบเอาขนสีดำที่บิดไปมาราวกับมีชีวิตออกจากกล่องหยก พอขนสีดำถูกนิ้วคีบอยู่ มันก็ยิ่งบิดตัวรุนแรงมากกว่าเดิม ราวกับจะดิ้นให้หลุดออกจากมือของเขา
เหยียนเจวี๋ยเห็นเช่นนี้ก็อึ้งไปเล็กน้อย เขามองดูมันอย่างละเอียดด้วยความดีใจ
ผ่านไปซักพัก ก็เห็นเหยียนเจวี๋ยพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา คทาหยกสีขาวยาวชุ่นกว่าๆ ที่มีลักษณะโปร่งใสเล็กน้อยปรากฏบนฝ่ามือ
เขาวางขนสีดำไว้บนคทาหยก ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมืออีกข้าง
คทาหยกเปล่งแสงสีขาวออกมา และแผ่แสงทรงกลดสีขาวออกมาเป็นวงๆ จากนั้นแสงทรงก็กลดพร่ามัวกลายเป็นแสงสายฟ้าขนาดเล็ก และห่อหุ้มขนสีดำไว้ ดูเหมือนว่าขนสีดำจะรับรู้อะไรบางอย่างได้ จึงบิดตัวอย่างรวดเร็ว แต่ไม่สามารถออกจากคทาหยกไปได้เลยแม้แต่น้อย
พอแสงสายฟ้าละลายเข้าไปในขนสีดำ คทาหยกสีขาวที่โปร่งใส ก็ค่อยๆ เริ่มกลายเป็นสีแดง
จากนั้นก็กลายเป็นสีส้ม สีเหลือง……
จากการที่มันเปลี่ยนสีอยู่ไม่หยุด เหยียนเจวี๋ยก็ตาร้อนขึ้นมา
“แม้ข้าจะไม่รู้ที่มาที่ไปที่เป็นรูปธรรมของวัสดุชิ้นนี้ แต่ดูจากปฏิกิริยาของคทาหยกเจ็ดสีที่ใช้ประเมินค่าของข้า บวกกับประสบการณ์ในการหลอมอาวุธมานานหลายปี ของสิ่งนี้จะต้องเป็นวัสดุจิตวิญญาณชั้นดี ในการสร้างอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด ขนสองเส้นนี้พอที่จะใช้แทนหินจิตวิญญาณจำนวนหกแสนห้าหมื่นหินจิตวิญญาณได้”
“เช่นนี้ก็ดี” หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขายื่นกล่องหยกให้เหยียนเจวี๋ยด้วยสีหน้าสงบ
สำหรับเขาแล้ว แม้ขนแข็งปีศาจยักษ์เส้นนี้ จะเป็นวัสดุหลอมอาวุธจิตวิญญาณขั้นสูงที่พบเจอได้น้อยมาก แต่เทียบกับโซ่ตรวนสะกดวิญญาณที่ทำให้เขาไม่ต้องกังวลว่าจะถูกชิงร่างในภายหลังแล้ว มันคุ้มที่จะแลกมา
ขณะเดียวกัน หลังจากมองเห็นสีหน้าประหลาดใจของเหยียนเจวี๋ยที่ถูกกลบเกลื่อนเอาไว้ เขาก็พอจะประเมินมูลค่าขนแข็งของปีศาจยักษ์ขึ้นมาใหม่ได้
“สหายท่านนี้ ช่วงนี้ข้ายังมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงอยู่สองชิ้น ไม่ทราบว่าสหายสนใจดูสักหน่อยหรือไม่?” เหยียนเจวี๋ยเก็บกล่องที่หลิ่วหมิงยื่นให้อย่างระมัดระวัง และพลันกล่าวกับหลิ่วหมิง
“อาวุธจิตวิญญาณระดับสูง?” พอได้ยินเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ใจเต้นเล็กน้อย สายตาเขาดูลังเลขึ้นมา แต่ก็รีบยิ้มอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา “ท่านผู้เชี่ยวชาญ บอกตามตรง ข้ามีหินจิตวิญญาณจำกัด ไม่สามารถซื้ออาวุธจิตวิญญาณระดับสูงได้อีกแล้ว”
“ไม่เป็นไร เรื่องหินจิตวิญญาณสามารถคุยกันได้ สหายยังคงสามารถใช้วัสดุที่มีมาแลกได้” เหยียนเจวี๋ยกล่าวอย่างไม่ลังเล
หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย สำหรับเขาแล้วอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงค่อนข้างจะยั่วยวนใจเขามาก
แน่นอน! ในใจเขาย่อมรู้ดีว่าคำพูดของผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธท่านนี้ ต้องการทดสอบดูว่าเขายังมีขนปีศาจยักษ์หรือไม่
ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงจึงส่ายหน้าและยิ้มออกมาอย่างขมขื่นก่อนกล่าวออกมา “ท่านผู้เชี่ยวชาญ บนตัวข้ามีทรัพยากรเพียงเท่านี้ ดูท่าคงไม่มีวาสนากับอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงของท่านแล้ว”
“เฮ้อ! น่าเสียดายจริงๆ บอกสหายตามตรง แม้อาวุธจิตวิญญาณที่ข้าพูดมาเมื่อครู่จะเป็นแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับสูง แต่อานุภาพบางส่วนที่อยู่ในนั้น กลับเทียบติดอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดโดยทั่วไปได้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ข้าไม่ได้นำออกมาประมูลด้วย วันนี้ข้าเห็นว่าอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ มีวาสนากับสหาย ถึงได้กล่าวออกมาเช่นนี้” เหยียนเจวี๋ยถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
พอได้ยินเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ เลิกคิ้วขึ้น ดูท่าเหยียนเจวี๋ยคงสนใจขนปีศาจยักษ์ไม่น้อย หากตนเองคิดจะปลีกตัวออกไปคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
แต่พอมีแสงสว่างวาบขึ้นมาในสมอง เขาก็คิดหาวิธีรับมือได้ จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มในทันที
“ในเมื่อท่านผู้เชี่ยวชาญกล่าวเช่นนี้ คิดว่าอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนั้นจะต้องไม่ธรรมดา ได้! ข้าจะจองอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ไว้ ต่อไปท่านอย่าได้ขายให้คนอื่นอีก ส่วนขนแข็งนั้น ข้าจะออกไปแดนไกลอีกครั้ง ดูว่ายังโชคดีหามันมาได้หรือไม่ พอหามาได้ ข้าจะต้องนำมาแลกอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงของท่านอย่างแน่นอน”
พอเหยียนเจวี๋ยได้ยินเช่นนี้ ดวงตาก็เป็นประกาย จากนั้นจึงฟั่นหนวดกล่าวออกมา “ได้! ข้าจะเก็บอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ไว้ให้สหาย พอสหายหาวัสดุที่เหมือนกันมาได้ ก็นำมาแลกที่หุบเขาเหล็กอัคคีได้ตลอดเวลา ข้ายินดีจะรอท่าน”
หลิ่วหมิงย่อมพยักหน้าติดต่อกัน และแสดงสีหน้ารอคอยการแลกเปลี่ยนในภายหน้า เช่นนี้แล้วสีหน้าของเหยียนเจวี๋ยถึงได้ดูเหมือนไม่มีความคิดจะรั้งเขาเอาไว้อีก
ต่อมา หลิ่วหมิงกับเหยียนเจวี๋ยพูดคุยกันต่อเล็กน้อย จากนั้นถึงกล่าวคำอำลาออกมา ในที่สุดเขาก็สามารถปลีกตัวไปจากถ้ำใต้ดินได้
……………………………………