ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 344 หมาซู่
หลังจากหลิ่วหมิงไปจากเมืองหนานกู่แล้ว เมืองหนานกู่ก็เงียบสงบมาก แม้จะยังมีคนเจตนาหาเรื่องจนถูกผู้พิทักษ์ในเมืองส่งตัวไปยังคุกจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่มีผู้ฝึกฝนหายตัวโดยไม่ทราบสาเหตุอีก
ในระหว่างที่หลิ่วหมิงเข้าร่วมงานประมูลในหุบเขาเหล็กอัคคี ท่ามกลางเทือกเขาที่ห่างจากเมืองกู่หนานหลายสิบลี้
ในถ้ำเร้นลับบางแห่งที่สร้างมาจากหินยักษ์แวววาว ถ้ำแห่งนี้อยู่ภายใต้ยอดเขาสีขาวที่สูงเสียดฟ้า หินเรืองแสงจำนวนมากฝังอยู่ตามผนังถ้ำ มันส่องแสงจนในนั้นดูสว่างเหมือนตอนกลางวัน
แต่ทว่าในขณะนี้ ภายในถ้ำที่สร้างอย่างโอ่อ่ารโหฐาน กลับมีเสียงร้องตื่นตระหนก และแหลมเศร้ากำสรดดังออกมา
หญิงชุดสีขาวทั้งตัวกำลังคีบกระบี่ยาวสีเงินอยู่เล่มหนึ่ง นางกำลังเดินไปมาอยู่ในถ้ำอย่างช้าๆ และมีแสงกระบี่สีเงินพุ่งออกมาเป็นเส้นๆ มันทำการสังหารข้ารับใช้ต่างเผ่าที่กระโจนเข้ามาด้วยความตระหนกตกใจ
หญิงนางนี้มีผิวขาวราวหิมะ ใบหน้างดงามดูเยือกเย็น แสงแวววาวเปล่งประกายอยู่ในลูกตา ขณะนี้มีเพียงแค่ไอสังหารที่เข้มข้น ทุกท่วงท่าการทำท่ามือ จะมีบุปผาโลหิตเปล่งประกายภายใต้กระบี่ยาวสีเงิน
หินเรืองแสงสะท้อนลงบนสายธารโลหิต จนทำให้ผนังถ้ำก็กลายเป็นสีแดงขึ้นมา
“ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย ไม่ทราบว่าพวกเราไปล่วงเกินอะไรท่าน ขอท่านโปรดให้อภัยด้วย” พอหญิงข้ารับใช้ต่างเผ่าสามคนเห็นว่าไม่มีทางหนีได้แล้ว ก็คุกเข่ากราบเย่เทียนเหมย
เย่เทียนเหมยเพิ่งเข้ามาเหยียบภายในถ้ำได้ไม่นาน แต่ข้ารับใช้ต่างเผ่าที่ตายภายใต้แสงกระบี่ของนาง กลับมีไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน
เมื่อเผชิญหน้ากับการร้องขอชีวิตของศิษย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสาม แววตาสังหารของนางก็ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย นางเพียงแค่สะบัดข้อมือด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“ฟู่!”
แสงกระบี่เย็นสะท้านม้วนตัวออกมาท่ามกลางลำแสงสีเงิน มันดูราวกับว่ากระพริบผ่านร่างของทั้งสามไปในพริบตา
พอมีเสียง “ฟู่!” “ฟู่!” “ฟู่!” ดังขึ้น ร่างของทั้งสามก็ถูกปั้นจนกลายเป็นหมอกโลหิต พวกเขาถูกเย่เทียนเหมยสังหารอย่างไม่ปรานี จนไม่มีแม้แต่โอกาสจะร้องออกมาเลยด้วยซ้ำ
สุดท้ายเย่เทียนเหมยก็ค่อยๆ ละสายตาไปยังส่วนลึกของถ้ำ และทำท่ามือขึ้นมา กระบี่ยาวกลายเป็นสายรุ้งสีเงินหนึ่งเส้น มันพุ่งไปยังข้ารับใช้ต่างเผ่าที่ยืนตกตะลึงจนตัวสั่น
พริบตาที่แสงสีเงินกระพริบผ่านไป ศรโลหิตห้าลูกก็พุ่งออกมา
มันพุ่งติดต่อกันด้วยเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” รูเลือดขนาดเท่าลูกกำปั้นปรากฏบนหน้าอกของข้ารับใช้ต่างเผ่าห้าคน
ต่อมา เย่เทียนเหมยก็กระตุ้นท่ามืออีกที กระบี่ยาวโผล่ออกมาอีกครั้ง ภายใต้แสงสีเงินอันละลานตา ก็มีศีรษะหล่นลงพื้นสี่หัว และกลิ้งไปตามพื้นโดยที่ยังมีสีหน้าหวาดผวาค้างอยู่
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เย่เทียนเหมยก็ยังทำท่ามืออยู่ไม่หยุด กระบี่ยาวกลายเป็นแสงสีเงินฟาดฟันอยู่ในถ้ำตลอดเวลา ด้วยพลังอันแข็งแกร่ง มันกวาดล้างข้ารับใช้ต่างเผ่าที่เหลือจนราบคาบ
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชา เย่เทียนเหมยก็สังหารจนถึงส่วนลึกของถ้ำ ขณะนี้สิ่งที่อยู่ในสายตาของนางคือ ประตูหินยักษ์ที่สูงราวๆ สองจั้ง
ภายใต้แสงสีขาวที่หมุนวนอยู่บนบานประตู แสงทรงกลดสีเหลืองก็ค่อยๆ แผ่ขยายออกมา แสงทรงกลดนี้ดูเหมือนจะเป็นชั้นบางๆ แต่คลื่นพลังที่ส่งออกมาจากในนั้น ทำให้รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ยากจะทะลวงได้ ประจักษ์ชัดว่านี่เป็นม่านแสงป้องกันที่มีพลังน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง
สายตาที่เป็นประกายของเย่เทียนเหมยจ้องมองประตูยักษ์แค่ทีเดียว จากนั้นก็โยนกระบี่ยาวในมือออกไป ขณะเดียวกันก็เปลี่ยนท่ามืออย่างรวดเร็ว
ลำแสงสีเงินปกคลุมร่างนางในทันที หลังจากแสงสีเงินสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง ร่างบอบบางของนางก็พร่ามัวขึ้นมา จากนั้นก็หายตัวไป เหลือทิ้งไว้เพียงกระบี่ยาวสีเงินที่สั่นไหวอยู่กลางอากาศ
นี่ก็คือวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง ที่ผู้ฝึกกระบี่ระดับผลึกอย่างเย่เทียนเหมยแสดงออกมา
“ฟู่!”
ขณะนี้ กระบี่ยาวหยุดการสั่นไหว และพุ่งยิงไปยังประตูหินยักษ์ ภายใต้แสงสีเงินที่เปล่งประกาย มันก็จมหายเข้าไปในประตูหินยักหนาๆ บานนั้น
ขณะเดียวกัน รอยแตกลายงาจำนวนมากที่ปรากฏบนประตู และชั้นจำกัดอันน่าตกใจ ก็ถูกกระบี่ของเย่เทียนเหมยทำลายอย่างง่ายดาย!
หลังจากทำลายประตูได้แล้ว ร่างของเย่เทียนเหมยก็พร่ามัวออกมา นางค่อยๆ กวาดสายตามองไปทั่วห้องลับ ไม่นานสายตาของนางก็ตกอยู่บนเตียงตัวหนึ่งอย่างรวดเร็ว
พรมขนสุนัขจิ้งจอกที่ดูนุ่มสบายปูอยู่บนเตียงสีขาวหิมะ บนพรมมีหญิงนางหนึ่งนอนตะแคงอยู่
เอวของนางบางเล็ก ผิวเนียนนุ่ม หน้าท้องแบนราบไม่มีส่วนเกินแม้แต่น้อย ใบหน้าไม่มีริ้วรอยแม้แต่เส้นเดียว
ชุดคลุมยาวสีแดงสดที่นางสวม ปิดคลุมเตียงสีขาวหิมะไปกว่าครึ่งหนึ่ง
พอนางได้ยินเสียงที่ประตูถูกทำลาย ก็รีบเงยใบหน้างดงามอันน่าหลงใหลขึ้นมา
นางเป็นหญิงสวยหยาดเหยิ้มที่เป็นภัยต่อบ้านเมือง!
“ท่านบุกรุกถ้ำข้าเช่นนี้ เกรงว่าคงเสียมารยาทไปหน่อยมั้ง” พอหญิงสวยหยาดเยิ้มเห็นหญิงชุดขาวที่ถือกระบี่ยาวสีเงินเดินเข้ามา นางก็ตกใจจนหน้าถอดสี จากนั้นก็กล่าวออกมาพร้อมกับลงมือในทันที
พริบตาที่นางเพิ่งทำท่ามือนั้น กลิ่นไอบนตัวก็สำแดงออกมาจนหมด คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย แต่กลิ่นไอบนตัวสับสนปนเปกันจนดูไม่บริสุทธิ์ พลังที่แท้จริงดูเหมือนค่อนข้างอ่อนแอ ภายใต้การกวาดดูของพลังจิตเย่เทียนเหมย ก็มองออกว่า นางใช้วิธีที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมในการก้าวมาสู่ระดับนี้
เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น มือหยกสีขาวของนางค่อยๆ ชี้ไปทางหญิงสวยหยาดเยิ้ม ทันใดนั้นแสงสีเงินก็เปล่งประกายรอบๆ ตัวนาง
“ไม่”
ซักพักร่างของนางก็ไม่สามารถทำการเคลื่อนไหวใดๆ ได้ ทั่วทั้งร่างเหมือนตกอยู่ในบ่อโคลน
“ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย ข้าเป็นคู่รักฝึกฝนของหมาซู่ที่เป็นรองเจ้าหุบเขาผลึก ขอท่านเซียนเห็นแก่หน้าของหมาซู่ ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ข้าน้อยจักต้องซาบซึ้งอย่างถึงที่สุด” พอได้เห็นถึงพลังของเย่เทียนเหมย หญิงสาวสวยหยาดเยิ้มก็รู้สึกตกใจจนตัวสั่นสะท้าน นางร้องขอชีวิตกับเย่เทียนเหมยอยู่ไม่หยุด
พอได้ยินชื่อหมาซู่ ประกายอันเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเย่เทียนเหมย กลิ่นไอสังหารบนตัวดูเหมือนจะเข้มข้นขึ้นมาเล็กน้อย นางทำท่ามือโดยไม่สนใจการร้องขอชีวิตของหญิงสวยหยาดเยิ้ม
แสงสีเงินรอบๆ ตัวหญิงสาวก่อตัวเป็นมือยักษ์ข้างหนึ่ง และยกตัวนางขึ้นมา จากนั้นร่างของเย่เทียนเหมยก็กลายเป็นแสงสีเงินพุ่งกลับมา เพียงแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็มาปรากฏตัวนอกถ้ำ และพุ่งขึ้นฟ้าไปด้วยเสียงที่ดังก้อง
“ใคร? ใครกันแน่ที่ถือโอกาสตอนข้าออกไปข้างนอกก่อเรื่องเช่นนี้ภายในถ้ำ” หลังจากที่เย่เทียนเหมยจับตัวหญิงสาวสวยหยาดเยิ้มไปได้ครึ่งวัน เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความโมโหก็ดังขึ้นในถ้ำอันโออ่ารโหฐานแห่งนี้
ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำ หน้าตาเหี้ยมเกรียม จ้องมองศพที่กองเต็มพื้นด้วยสีหน้าดุร้าย
คนผู้นี้ก็คือหมาซู่นั่นเอง
“ใจกล้ายิ่งนัก ไม่เพียงแต่สังหารข้ารับใช้ในถ้ำของข้า ยังจับคู่รักของข้าไปด้วย ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ถ้าข้าจับได้ล่ะก็ จะต้องสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น เพื่อระบายความแค้นในใจข้า!” เมื่อหมาซู่ก้าวเท้ามาถึงห้องลับของหญิงสวยหยาดเยิ้ม และเห็นเศษหินที่กองเต็มพื้น แต่กลับไม่มีร่องรอยของหญิงสาวเลย เขาก็แผดเสียงออกมา
จากนั้น มือขวาอันผอมแห้งของเขาก็ตบลงบนเอว แผ่นค่ายกลสีทองขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏออกมา พอทำท่ามือเบาๆ พลังเวทย์สายหนึ่งก็พุ่งออกจากปลายนิ้ว และเข้าไปในแผ่นค่ายกลสีทอง
ท่ามกลางเสียงที่ดัง “อู้ๆ!” แผ่นค่ายกลขยายใหญ่ตามแรงลม พริบตาเดียวก็มีขนาดเท่าอ่างล้างหน้า ขณะเดียวกันอักขระสีทองก็ลอยขึ้นมา
……………………………………